หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 23 ทะลายความลับ
หานจิ้งซูเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการปลูกฝังมารยาทของชนชั้นสูงตั้งแต่ยังเล็ก ที่นางเอ่ยว่าจะไปส่งด้วยตนเอง ก็ไม่เหมือนอวี๋หวั่นที่ยกถาดไปให้ด้วยตนเอง ความจริงการเข้ากันและรสนิยมของอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ตระกูลผู้สูงศักดิ์ไม่อาจเลียนแบบได้เลย
หานจิ้งซูอยู่ด้านหน้า ลวี่เอ้อถือถาดเดินตามอยู่ด้านหลัง สองนายบ่าวมุ่งหน้าไปที่เรือนของเยี่ยนไหวจิ่ง
เรือนของเยี่ยนไหวจิ่งจะว่าไกลก็ไม่ไกล อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน ไหนเลยเรือนทั้งสองจะตั้งไว้ห่างจนไม่อาจพบหน้ากันชั่วชีวิต?
เพียงแต่ขณะที่หานจิ้งซูกำลังผ่านสะพานข้ามสระบัวเล็กๆ บังเอิญเห็นเงาดำด้านหลังภูเขาจำลอง เงานั้นแวบผ่านไปเร็วจนน่าประหลาด
หานจิ้งซูหยุดชะงัก
เงานั้นไม่ได้สังเกตเห็นนาง แต่นางกลับเห็นว่าเงานั้นมุ่งหน้าไปทางสวนทิศตะวันออก
ทิศตะวันออก?
นั่นไม่ใช่ที่ที่เหล่าผู้ช่วยอาศัยอยู่หรอกหรือ?
เยี่ยนไหวจิ่งยึดมั่นความจริงใจ ผู้ช่วยในจวนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ มีถึงยี่สิบสามสิบคน ล้วนอาศัยอยู่ทางตะวันออกจวน จวนรัชทายาทกว้างใหญ่พอ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะอยู่กันอย่างแออัด เพียงแต่จวนที่ผู้ช่วยอาศัยอยู่ก็ถูกแบ่งตามความแข็งแกร่งและการได้รับความเคารพยามอยู่ต่อหน้าเยี่ยนไหวจิ่ง ผู้ช่วยขั้นสามอยู่เรือนเหมย ผู้ช่วยขั้นสองแบ่งกันไปที่เรือนจู๋และเรือนหลัน ผู้ช่วยขั้นหนึ่งมีเรือนเดี่ยวของตนเองได้
ชายสวมชุดคลุมที่เคยขัดแย้งกับหานจิ้งซูเป็นผู้ช่วยระดับสูงคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ในหอวั่งเยว่ มีองครักษ์และคนของตน เงาที่ผ่านไปเมื่อครู่คล้ายกับลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งของเขายิ่งนัก
อาจเพราะหานจิ้งซูมีอคติต่อคนผู้นี้ นางมักรู้สึกว่าลูกน้องผู้นั้นดูลับๆ ล่อๆ ดูไม่เหมือนกำลังทำเรื่องดีอะไร!
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมของ เจ้านำแกงไก่ตุ๋นโสมไปส่งให้องค์รัชทายาทก่อน ข้ากลับไปหยิบของแล้วจะตามไป”
“หากไม่รีบร้อน ให้บ่าวไปหยิบให้เถอะเจ้าค่ะ”
“รอให้เจ้าถือไปหยิบของกลับมา แกงก็คงจะเย็นแล้ว”
“เอ่อ…ก็ได้เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้ออยากเอ่ยว่า ข้าคิดจะนำแกงไปส่งให้องค์ชายก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับเรือนไปหยิบของให้ ทว่าในเมื่อนายสั่งเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านกล่าวเถิดเจ้าค่ะ
“เดินระวังนะเจ้าคะ” ลวี่เอ้อเอ่ยพลางมองท้องของนาง
หานจิ้งซูพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เจ้ารีบนำแกงไปส่งให้องค์รัชทายาทเถิด”
ลวี่เอ้อเดินไปพร้อมกับแกงไก่ตุ๋นโสม
เมื่อแน่ใจว่าลวี่เอ้อหันหลังเดินหายไปจนสุดทาง หานจิ้งซูก็ยกกระโปรงเดินไปที่หอวั่งเยว่อย่างระแวดระวัง
เยี่ยนไหวจิ่งไว้วางใจผู้ช่วยท่านนี้มาก นอกหอวั่งเยว่จึงไม่มีองครักษ์เฝ้าจวน คนของเขาเองก็ไม่ได้เฝ้าประตู คงไม่คิดว่าในจวนรัชทายาทจะมีภัยคุกคามต่อพวกเขา จึงไม่ได้มีการป้องกันเช่นนั้น
ความจริงหากหานจิ้งซูไม่ได้ตามมาด้วยความอยากรู้ หอวั่งเยว่ก็ยังไม่มีผู้ใดบุกเข้าไปข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาต
หานจิ้งซูแอบย่องเข้าไปในเรือน
นางไม่เคยมาที่หอวั่งเยว่ จึงไม่แน่ใจว่าผู้ช่วยผู้นั้นอาศัยอยู่ห้องใด แล้วลูกน้องลับๆ ล่อๆ ผู้นั้นไปที่ใดกันแน่
ขณะที่นางยังทำอะไรไม่ได้ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังมาจากหัวมุม
“คราวนี้ตรวจพบสิ่งใดบ้าง?”
นั่นก็คือผู้ช่วยที่สวมเสื้อคลุมผู้นั้น!
หานจิ้งซูเห็นเขาจากระยะไกลครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเขาไม่ได้คารวะหานจิ้งซู ทว่าหลังจากนั้น หานจิ้งซูและเยี่ยนไหวจิ่งนั่งรถม้าออกจากจวนด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงเดียวกันนี้ เมื่อนางเปิดม่านมองออกไป อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้ว ทว่ามองจากเงาหลัง หานจิ้งซูบอกได้ว่าเขาก็คือผู้ช่วยที่สวมเสื้อคลุมผู้นั้น!
“เรียนใต้เท้า บัดนี้ยังไม่พบขอรับ”
“ไม่พบอีกแล้วหรือ? นานเช่นนี้แล้วก็ยังหาไม่พบ?”
คนที่ถูกถามต้องเป็นเงาที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เมื่อครู่นี้แน่ ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง พวกเขากำลังหาสิ่งใด? แล้วกำลังหาที่ใด? จวนรัชทายาท? เมืองหลวง?
หานจิ้งซูไม่มีคำตอบ แต่ที่แน่ๆ แรงจูงใจในการมาจวนจิ้งอ๋องไม่ธรรมดา ดูภายนอกคล้ายมาพึ่งพิงเยี่ยนไหวจิ่ง ทว่าแท้จริงกำลังตามหาสิ่งที่พวกเขาเอ่ยถึง
“ใต้เท้า หลายปีแล้ว ท่านคิดว่า…ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะถูกคนผู้นั้นกลั่นไปแล้วหรือไม่?”
เป็นเสียงของลูกน้องที่เอ่ยอีกครั้ง
หมูผสมที่เหลือ[1]?
พวกเขากำลังหาหมู?!
ไม่สิ หมูจะถูกกลั่นได้อย่างไร? กลั่น…น้ำมันหมู?
เวลานี้ ผู้ช่วยที่สวมเสื้อคลุมเอ่ยต่อว่า “คิดจะกลั่นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น? ต่อให้มีความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่หากไม่ใช่คนเผ่าเรา ไม่มีสายเลือดของเผ่าเรา ก็ไม่มีทางจะกลั่นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้”
คนในเผ่า? สายเลือด?
ตามจริงแล้ว ในต้าโจวมีเผ่ามากมาย อาทิเช่น เผ่าเหมียว เผ่าไป๋ แต่ไม่รู้เหตุใดหานจิ้งซูกลับรู้สึกว่า ‘เผ่า’ ที่อีกฝ่ายหมายถึง ไม่ใช่สิ่งที่ตนเข้าใจ
จู่ๆ ความคิดคาดเดาครั้งใหญ่ก็ผุดขึ้นในใจหานจิ้งซู : คงมิใช่ว่าผู้ช่วยสวมเสื้อคลุมผู้นี้ไม่ใช่คนจงหยวนกระมัง? หากไม่ใช่ เช่นนั้นเขามาจากที่ใด? เยี่ยนไหวจิ่งรับรู้หรือไม่?
หานจิ้งซูไม่ทันจัดการกับเบาะแส เสียงพูดคุยของทั้งสองก็ดังมาอีกครั้ง
คนที่เริ่มเอ่ยปากในคราวนี้ก็ยังเป็นลูกน้องคนเดิม
“ข้าได้ยินมาว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถฟื้นชีพให้หน่วยกล้าตาย ทว่าไม่อาจแยกจากเผ่า หากแยกไปแล้วก็จะสูญเสียประสิทธิภาพที่ควรมี เว้นเสียแต่ว่าจะใช้เลือดของยอดฝีมือหล่อเลี้ยง ทว่าคนผู้นั้นจะสามารถหล่อเลี้ยงมันได้หรือ? คงมิได้ถูกไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กินไปแล้วกระมัง? หรือว่า…การหล่อเลี้ยงไม่ได้ผล จึงทิ้งไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว? หรือว่า…ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงเพียงพอจนกลายเป็นของตายไปแล้ว?”
ถึงจุดนี้ ในที่สุดหานจิ้งซูก็ได้ยินเบาะแสของหมู
หานจิ้งซูยิ่งแปลกใจ หมูเป็นๆ อันใดต้องใช้เลือดมนุษย์หล่อเลี้ยง? นี่เกรงว่าคงเป็นหมูทองกระมัง?!
ชายสวมชุดคลุมเอ่ย “เรื่องไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ทีหลัง รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม มันก็จะปรากฏออกมาเอง พวกเราไม่จำเป็นต้องตั้งใจค้นหา ก็สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ แล้วอีกเรื่องหนึ่งเจ้าสืบได้เช่นไรบ้าง?”
อะไรนะ? ตามหาหมูยังไม่พอ? ยังตามหาอย่างอื่นอีกหรือ? เป้าหมายในการมาต้าโจวของคนพวกนี้มีมากเพียงใดกันแน่?
“ค้นหาไม่ง่ายขอรับ เมืองหลวงแตกต่างจากเมืองอื่นๆ สถานที่ที่เราตามหาได้มีจำกัด อีกอย่างจวนใหญ่ๆ ในเมืองหลวงก็ซ่อนยอดฝีมือไว้ไม่น้อย เราไม่กล้าเคลื่อนไหวให้อึกทึกนัก”
หานจิ้งซูสรุปข้อมูลใหม่ที่ได้ฟังจากการสนทนาของพวกเขา นั่นคือสิ่งที่สองที่พวกเขากำลังตามหาจำต้องเกิดเสียงดัง
หานจิ้งซูเป็นบุตรีจวนมหาเสนาบดี นางเคยเห็นยอดฝีมือมากมาย ทว่าไม่มีผู้ใดเก่งกาจเช่นลูกน้องเมื่อครู่นี้เลย ขณะที่ร่างของเขากำลังเข้าสู่ฉากมืด นางโชคดีที่ได้พบเข้าโดยบังเอิญ หากตั้งใจจะใช้สัมผัสจริง เกรงว่าต่อให้เป็นจวินฉางอันก็ยังยากจะรับรู้กลิ่นอายของอีกฝ่าย
ยอดฝีมือเช่นนี้ ค้นหาสิ่งของย่อมไม่เคลื่อนไหวเสียงดังนัก เว้นเสียแต่ว่า…สิ่งนั้น หากไม่เกิดเสียงก็จะหาไม่พบ
หานจิ้งซูมองลงมองพื้นใต้เท้าตน หรือต้องขุดให้ลึกสามฉื่อ?
สิ่งที่พวกเขากำลังมองหาคือ…หลุมศพ?!
“ฮัดชิ่ว!” ชายสวมชุดคลุมและลูกน้องต่างจามติดๆ กัน
และไม่รู้ว่าหานจิ้งซูติดหวัดด้วยหรือไม่ นางจามตามพวกเขาไปครั้งหนึ่ง!
หานจิ้งซูอยากกลั้นไว้ ทว่าคนที่มีประสบการณ์ย่อมรู้ดีว่าการจามนั้นยากจะควบคุม แม้จะไม่จามออกมา ก็ยังสั่นไหวไปทั้งตัว!
หานจิ้งซูที่จามเสร็จก็ตกตะลึง
“ผู้ใดน่ะ?!”
ชายสวมชุดคลุมตะโกนเสียงแข็ง ลูกน้องของเขาแวบหายตัวมาอยู่ต่อหน้าหานจิ้งซูราวกับผี
หานจิ้งซูไม่มีแม้แต่ช่องว่างจะให้หลบหนี ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามขวางไว้
หานจิ้งซูพยายามตั้งสติ เบิกตากว้างมองอีกฝ่าย “ข้า…ข้ามาตามหาองค์รัชทายาท พวกเจ้าเห็นองค์รัชทายาทหรือไม่”
ลูกน้องส่งสายตาขอความเห็นจากชายสวมชุดคลุม ชายสวมชุดคลุมไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง เดินไปทางหานจิ้งซูอย่างช้าๆ เอ่ยด้วยสีหน้ามืดมน “คำพูดเมื่อครู่นี้ พระชายาองค์รัชทายาทได้ยินหมดแล้วรึ?”
ดูแล้ว คนผู้นี้รู้ว่านางคือพระชายาองค์รัชทายาท! เช่นนั้นเมื่อก่อนเขาก็จงใจไม่ทำความเคารพนาง! ช่างเหิมเกริมนัก!
หานจิ้งซูเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คำพูดอันใด? พวกเจ้าพูดจาไม่ดีถึงข้ารึ? ท่าทางกังวลว่าข้าจะมาพบเข้าเช่นนี้ กลัวข้าจะขับไล่พวกเจ้าออกไปรึ?”
หานจิ้งซูเป็นบุตรีจวนมหาเสนาบดีไม่ผิด นางไม่เคยพบกับคลื่นใหญ่ลมแรง แต่นางถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างดี มีลักษณะหลายอย่างที่กุลสตรีไม่มี เช่น อารมณ์สงบนิ่งและความกล้าหาญที่ไม่แพ้บุรุษ
กระทั่งการแสดงนางก็ยังทำได้อย่างราบรื่น
ทว่าเสียดาย นางประเมินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนพวกนี้สูงเกินไป
ภารกิจของพวกเขาเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของทั้งชนเผ่า พวกเขาจึงยอมฆ่าคนนับพัน ไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!
“ไปหาที่ปลอดภัย จัดการซะ” ชายสวมชุดคลุมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยจบก็หันหลังกลับเรือน
บัดนี้หานจิ้งซูรู้แล้วว่าความกล้าหาญของอีกฝ่ายมิได้ยิ่งใหญ่ธรรมดา ไม่คำนับตนยังนับว่าเป็นสิ่งใด? เพียงเรื่องเล็กๆ เอะอะก็จะฆ่าตนให้ตาย! ที่นี่คือจวนรัชทายาท! น้ำเสียงสั่งฆ่านาง เหมือนกับสั่งฆ่านกกระจอกสักตัว?
ง่ายดายเช่นนี้หรือ?
ลูกน้องสะกดจุดหานจิ้งซู ทันใดนั้นนางก็ไม่อาจขยับหรือส่งเสียงใดๆ
ชายผู้นั้นอุ้มหานจิ้งซูออกจากเรือนไปในตอนกลางคืน
ราวๆ ครึ่งเค่อต่อมา ชายผู้นั้นก็กลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง และเข้าไปในห้องของชายสวมชุดคลุม
“มีอันใด?” ชายสวมชุดคลุมถาม
ลูกน้องเอ่ยว่า “พบองครักษ์ข้างกายรัชทายาทที่มีนามว่าจวินฉางอันขอรับ! ข้าเกรงว่าจะถูกพบ จึงไม่ทันได้ฆ่านาง! แต่ข้าวางยาพิษนางแล้ว! พิษชนิดนั้น คนต้าโจวไม่อาจถอนออกไปได้!”
…………………………