หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 3.1 ความรักของเทพเซียน (1)
“มิผิด” เห้อเหลียนเป่ยหมิง “ขาของข้ามีแรงมากกว่าแต่ก่อน บางครั้งยืนก็ไม่เจ็บเหมือนที่เคยเป็น”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงยืนได้ เพียงแต่เมื่อยืนขึ้นแล้วขาของเขามักจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงไม่อาจเดินได้ และต้องนั่งบนรถเข็นตลอดเวลา ทว่าหลายวันมานี้ มีครั้งหนึ่งที่นางถานไม่อยู่ในห้อง เห้อเหลียนเป่ยหมิงล้มลงบนพื้น เขาพยายามกลับขึ้นไปบนรถเข็นก่อนที่นางถานจะกลับห้องมา จากนั้นก็พบว่าเมื่อตนเองยืนขึ้นมา ก็มีแรงมากกว่าปกติ และไม่เจ็บเหมือนแต่ก่อนแล้ว
หากจะบอกว่าไม่เจ็บแล้วก็คงไม่ใช่ เพียงแต่ก็เป็นความเจ็บปวดที่ทนได้
เขาก็ไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเขาไม่ได้บอกกับนางถาน เขากังวลว่าหากเขาพูดไป นางถานจะมีความหวังว่าขาของเขาจะรักษาหาย ทั้งที่จริงแล้วเขาหมดหวังกับการรักษาขาของตนเองมาตั้งแต่แรกแล้ว เขากลัวว่าจะทำให้นางผิดหวังอีกครั้ง
หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้ลองเดินดูอีก เพราะกลัวว่าจะผิดหวัง วันนี้เมื่ออวี๋หวั่นถามขึ้น เขาจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมา
“ทำไม…ทำไมท่านไม่บอกข้าเล่า” นางถานถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะต้องผิดหวัง ขาของข้า…” เห้อเหลียนเป่ยหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ไม่ดีขึ้นหรอก”
เขาธาตุไฟเข้าแทรก ปราณพิษเข้าไปอยู่ในพลังภายในของเขา เพื่อที่จะกำจัดปราณพิษ จึงจำต้องสลายพลังภายในออกไป หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ได้รับความเสียหาย ส่วนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็คือขาทั้งสองข้าง ซึ่งไร้หนทางรักษา แม้แต่หมอเทวดาอย่างชุยเฒ่าก็ทำไม่ได้
อวี๋หวั่นจ้องมองขาของลุงใหญ่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอสัมผัสได้ว่ามันได้จุดไฟแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านลุงใหญ่เจ้าคะ พวกเราไปที่ชีสยาย่วนกันเถอะเจ้าค่ะ จะได้ให้ชุยเฒ่าช่วยดู”
เพื่อความมั่นใจ อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจไปหาชุยเฒ่า
อวี๋หวั่นเข้าไปเข็นรถ
นางถานรีบบอกว่า “เจ้ากำลังท้องกำลังไส้ ให้ข้าเข็นเถิด”
ครั้นเข้ามาในจวนก็ได้ยินจากบ่าวซึ่งเฝ้าหน้าประตูแล้วว่าอาหวั่นตั้งครรภ์ เมื่อครู่ถูกขัดจังหวะ ทั้งสองจึงไม่ทันได้ไต่ถามถึงสุขภาพของอวี๋หวั่น
สายตาอ่อนโยนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงมองไปยังอวี๋หวั่น “เดินทางลำบากกระมัง?”
เป็นสตรีที่ตั้งครรภ์เดิมทีก็ลำบากมากอยู่แล้ว แต่อวี๋หวั่นมักจะทำนั่นทำนี่อยู่เสมอ เพียงแค่คิด เขาก็เหนื่อยแทนแล้ว
อวี๋หวั่นยิ้ม “สบายมากเจ้าค่ะ”
นี่ไม่ใช่คำพูดปลอบใจตามมารยาท เธอสบายดีจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลูกในท้องสงสารเธอหรือเปล่า แต่เธอไม่มีอาการแพ้ท้อง นอกจากการกินและการนอนที่เปลี่ยนไปแล้ว คล้ายกับว่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอื่นอีก อาการปวดแข้งขา หรือขาบวมน้ำก็ไม่มีให้เห็น ร่างกายของเธอเบาราวกับนกนางแอ่น
จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่ใช่หรือ!
เลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเธอได้ตื่นขึ้นแล้ว ท้องนี้จะเหมือนกับท้องก่อนหน้าไหมนะ?
เยี่ยนเสี่ยวซื่อในท้องของเธอพ่นฟองออกมา แล้วกอดสายสะดือผล็อยหลับไป
ชุยเฒ่าลงมือตรวจให้เห้อเหลียนเป่ยหมิง “อาการดีขึ้นจริงด้วย เจ้ากินยาอะไรหรือ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่ายหน้า “เปล่า ข้าไม่ได้กินยา”
“โอ้” ชุยเฒ่าเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็แปลกเสียจริง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่เกินสองปี เจ้าก็น่าจะกลับมาเดินได้ปกติ”
“หมอชุย เจ้า…เจ้าพูดจริงหรือ?” คนที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือนางถาน นางเป็นห่วงขาของสามีมากที่สุด ไม่ใช่เพราะนางรังเกียจเขาเพราะเขาจะเดินไม่ได้เหมือนคนอื่น แต่นางสงสารสามี เทพสงครามซึ่งออกรบบนหลังม้ากลับต้องมาใช้ชีวิตบั้นปลายบนรถเข็น เขาไม่ควรต้องมาแบกรับความทุกข์ทรมานเช่นนี้
ทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอดชีวิต ไฉนสวรรค์จึงต้องลิขิตให้เขามีจุดจบที่เจ็บปวดเช่นนี้ด้วย?
ใบหน้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่อาจเก็บงำความตื่นเต้นไว้ได้เช่นกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีหมอมาบอกเขาว่าขาของเขาสามารถรักษาหายได้ เขาคงไม่มีทางเชื่อ แต่ไม่นานมานี้ขาของเขาก็เริ่ม ‘ตอบสนอง’ ขึ้นมาแล้ว
เขา…เขาพยายามแสร้งทำเป็นเมินเฉยมาตลอด เพียงเพราะไม่อยากผิดหวัง แต่ถ้าอาหวั่นกับหมอชุยบอกเช่นนั้น เขา…เขา…
เมื่ออวี๋หวั่นเห็นว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงพยายามกดความตื่นเต้นไว้ในใจ เธอยิ้ม แล้วพูดว่า “ลุงใหญ่เจ้าคะ ท่านตื่นเต้นได้เจ้าค่ะ เพราะขาของท่านดีขึ้นแล้วจริงๆ! อาจพูดไม่ได้เต็มปากว่ามีความหวังเปี่ยมล้น แต่ก็มีความหวังเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ข้า…ข้าไม่ได้กินยา…ไม่ได้ทำอะไรเลยนี่…” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเค้นสมองหวนนึกถึงครึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากการที่เขาเข้าวังบ่อยกว่าปกติ ไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าบ่อยครั้งกว่าที่ผ่านมา และกลับไปบ้านเดิมของนางถานแล้ว ก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนี่
จิ้งจอกหิมะน้อยขดตัวเป็นก้อนกลม นอนอยู่บนตักของเขาด้วยท่าทางสบาย หลับตาพริ้ม สัญลักษณ์รูปเปลวเพลิงบนหน้าผากของมันส่องสว่างใต้แสงเทียน
“เป็นเพราะเซิงเอ๋อร์สวดมนต์ขอพรให้ท่านทุกวัน…” นางถานกระซิบถาม
พูดถึงสวดมนต์ อวี๋หวั่นหรี่ตา “พี่ใหญ่ยังไม่ลาสึกอีกหรือเจ้าคะ?”
ก่อนหน้านี้เขาถูกไล่ออกจากบ้านจึงไร้ทางเลือก ตอนนี้เรื่องราวได้คลี่คลายลงแล้ว เขาก็น่าจะกลับมาสืบทอดสกุลเห้อเหลียน อีกอย่าง ถ้าอวี๋หวั่นจำไม่ผิด เห้อเหลียนเซิงพัวพันกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หากเป็นเช่นนี้จะครองเพศบรรพชิตต่อไปได้หรือ?
“เฮ้อ ยังไม่สึกเลย” นางถานทอดถอนใจ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะทอดถอนใจ แต่นางก็มิได้รู้สึกทุกข์ใจแต่อย่างใด ลูกหลานย่อมมีเส้นทางชีวิตของตนเอง เรื่องนี้นับว่านางกระจ่างดี ครอบครัวที่มีความสุขนับเป็นโชคเหนือสิ่งใด นอกจากนั้นแล้วเซิงเอ๋อร์ก็มิใช่ไม่กลับบ้าน เขากตัญญูรู้คุณ ทุกเดือนจะกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเขาหลายครั้ง และทุกครั้งก็จะถูกแม่นางที่ชื่อว่าต่งเซียนเอ๋อร์จับได้ทุกครั้ง หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็จะจบลงที่ความโกลาหล
พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเล็กแหลมของสตรีดังขึ้นจากตรอกด้านนอกชีสยาย่วน “ภิกษุ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
นางถานกระแอม พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาทันที
“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นดวงตาเป็นประกาย แล้วหันหลังเดินออกไปจากชีสยาย่วน
เห้อเหลียนเซิงซึ่งสวมชุดสีขาวของภิกษุกำลังถูกต่งเซียนเอ๋อร์ใช้วิชาตัวเบาไล่ตาม อาจเป็นเพราะนางไล่ตามเห้อเหลียนเซิงอยู่บ่อยครั้ง อวี๋หวั่นจึงรู้สึกว่าวิชาตัวเบาของนางพัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนมาก นางคว้าแขนของเห้อเหลียนเซิง “ข้าคอยจะดูว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีไปไหน”
แต่น่าเสียดาย ที่วรยุทธ์ของเห้อเหลียนเซิงนั้นเหนือชั้นกว่านางมาก อวี๋หวั่นมองไม่ทันว่าเห้อเหลียนเซิงเคลื่อนไหวอย่างไร ทว่าเพียงพริบตาเดียว เขาก็หลุดจากพันธนาการของต่งเซียนเอ๋อร์แล้ว
ต่งเซียนเอ๋อร์กระทืบเท้า!
“พี่ใหญ่” อวี๋หวั่นร้องเรียก
เห้อเหลียนเซิงชะงักฝีเท้า แล้วหันไปมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าฉงนใจ
เพื่อที่จะหลบหลีกต่งเซียนเอ๋อร์ซึ่งมักจะดักรออยู่ที่จวนเห้อเหลียน เขาจึงไม่เข้าทางประตูใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ได้ยินบ่าวพูดกันว่าอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาแล้ว
“อาหวั่น” เห้อเหลียนเซิงเดินเข้าไปหาอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นสาบานว่าเธอไม่ได้ช่วยเปิดโอกาสให้ต่งเซียนเอ๋อร์ แต่ต่งเซียนเอ๋อร์ก็จับเห้อเหลียนเซิงได้
“เจ้า…ปล่อยนะ!” เห้อเหลียนเซิงบอก
ต่งเซียนเอ๋อร์ดึงดัน “ข้าไม่ปล่อย!”
เห้อเหลียนเซิงหน้าซีดเผือด เขาอยากสนทนากับอวี๋หวั่นสักหน่อย แต่กลับถูกต่งเซียนเอ๋อร์ตามรังควานจนทำตัวไม่ถูก “อาหวั่นเจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด ไว้ข้ามาหาเจ้าวันหลัง”
พูดจบเขาก็สำแดงวิชาตัวเบาหายวับไป
เป็ดที่เพิ่งจับได้บินหนีไปแล้ว ต่งเซียนเอ๋อร์โมโหจนแก้มพอง
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันกับท่าทางของนาง จึงหยอกล้อนางว่า “พี่ใหญ่ของข้าเข้าใจอะไรยาก มิสู้แม่นางต่งไปหาบุรุษอื่นเถิด อย่างไรเสียเขาก็ซื่อบื้อเกินเยียวยา”
“ใครบอกกัน เขาไม่ได้ซื่อบื้อสักหน่อย! ห้ามเจ้าพูดถึงพี่ใหญ่เจ้าเช่นนี้นะ!” ต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนว่าร้ายเห้อเหลียนเซิงต่อหน้านางเป็นอันขาด แม้แต่น้องสาวของเห้อเหลียนเซิงก็ห้ามพูด
“ก็ได้ๆ” อวี๋หวั่นพ่ายแพ้ต่อนาง ต่งเซียนเอ๋อร์จริงใจกับพี่ชายพี่ใหญ่ของเธอ ภาษิตโบราณกล่าวว่า ชายจีบหญิงห่างกันดังภูผากั้น หญิงจีบชายง่ายดังข้ามใยป่าน นอกจากนั้นรูปร่างหน้าตาและนิสัยของต่งเซียนเอ๋อร์นับว่าดี อวี๋หวั่นเชื่อว่านางทำได้
“จะว่าไป พวกเจ้าหายไปไหนกันตั้งครึ่งค่อนปี แล้วเจ้าท้องหรือ? กี่เดือนแล้ว จะคลอดหรือยัง?” ต่งเซียนเอ๋อร์สังเกตเห็นหน้าท้องของอวี๋หวั่น ด้วยความตกใจ นางจึงไม่อาจยั้งปาก และรัวคำถามใส่อวี๋หวั่นเสียยกใหญ่
อวี๋หวั่นแลดูมีน้ำมีนวลกว่าเดิมมาก แต่เพราะตั้งท้องไม่ใช่หรือ หากจะอ้วนขึ้นก็มิใช่เรื่องแปลก
เรื่องเกี่ยวกับพิษในร่างของเยี่ยนจิ่วเฉา ต่งเซียนเอ๋อร์พอรู้มาบ้าง และอวี๋หวั่นก็ไม่คิดจะปิดบังนาง “ข้าไปตามหาตัวยา ข้าเพิ่งรู้ว่าตั้งท้องหลังจากที่เดินทางออกจากหนานจ้าว อีกประมาณหนึ่งเดือนก็ครบกำหนดคลอดแล้ว”
……………