หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 30 การปลิดชีพของสัตว์พิษตัวน้อย!
การเป็นแมลงน้อยน่ารักไม่ดีหรือ? ต้องมาเรียนรู้การฆ่าปล้นชิงทรัพย์?
ฆ่าอย่างเดียวไม่พอหรือ? ยังต่อรองกับเธออีก?
นี่มันแมลงเช่นไรกัน?
อวี๋หวั่นเท้าเอวมองอย่างดุดัน “ข้าจะพูดครั้งสุดท้าย ให้ฆ่าได้คนเดียว! หากเจ้ากล้าฆ่ามากกว่านั้น ข้าจะไม่ต้องการเจ้า!”
ไม่ต้องการมันอีกแล้ว ใช้อุบายใหม่บ้างได้หรือไม่?
สัตว์พิษตัวน้อยฮึดฮัดหันหลังหนี
เจ้านี่! ยังจะงอนอีก?
อวี๋หวั่นโกรธแทบหงายหลัง แต่อวี๋หวั่นก็เข้าใจ ไม่ว่าเจ้าตัวเล็กนี้จะใช้ไม้อ่อนไม้แข็งอย่างไร ตนก็ไม่มีวันยอมอ่อนข้อเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากทำให้เคยตัว วันหลังคงได้คืบจะเอาศอก ผู้ใดจะรั้งมันได้? เยี่ยนจิ่วเฉารึ?
อวี๋หวั่นอยากก้มลงไปจิ้มมัน แต่ก็พบว่าท้องตนใหญ่จนก้มไม่ลงเสียแล้ว จึงยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “ขึ้นมา!”
สัตว์พิษตัวน้อยแวบขึ้นไป
แต่ท่าทางที่ขึ้นมา…กลับหันหลังให้อวี๋หวั่น!
ทำไม? อยากเล่นสงครามเย็นงั้นรึ? หน้าก็ไม่ให้มอง?
อวี๋หวั่นใช้นิ้วจิ้มร่างเล็ก “ข้าจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ฆ่าผู้ที่ใช้กู่ หากไม่เชื่อฟัง ข้าจะเอาเจ้าให้ไก่กิน!”
สัตว์พิษตัวน้อยขนลุกซู่!
ศัตรูในธรรมชาติของกู่คืออะไร? ก็ไก่อย่างไรละ!
แน่นอน ด้วยระดับของมัน ไก่ธรรมดาไม่อาจไล่ตามมันทัน แต่มันก็ยังเป็นเพียงกู่อายุน้อย จิตใจน้อยๆ ยังคงหวาดกลัว
สัตว์พิษตัวน้อยหันกลับไปอย่างไม่พอใจ มองอวี๋หวั่นด้วยสายตาขมขื่นปราดหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงไปที่พื้นและเริ่มภารกิจลอบสังหาร
มันเดินคอตก ใช้กิ่งไม้เป็นมีดยาวชั่วคราว เดินบนพื้นหญ้าด้วยหัวที่เต็มไปด้วยฝุ่นทั้งสองด้าน มันเป็นนักดาบผู้โดดเดี่ยว!
เดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ อวี๋หวั่นก็เรียกหยุดมัน “ช้าก่อน เจ้าเอานี่ไปด้วย!”
อวี๋หวั่นก้าวไปข้างหน้า หยิบขวดหยกเล็กออกจากกระเป๋า ดึงจุกฝา เทราชันพันสัตว์พิษออกมาตัวหนึ่ง
“ข้าคิดดูแล้ว แม้ว่ายามนี้เจ้าสามารถระงับกลิ่นอายของตนได้ แต่ยามที่เจ้าลงมือกลิ่นอายก็จะถูกปลดปล่อยออกมา หากเป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญ ไม่แน่อาจรู้ว่าเจ้ามีร่างจักรพรรดิสัตว์พิษ เจ้าให้มันไปจัดการ! ข้าเดาว่าความสามารถของอีกฝ่ายไม่น่าเอาชนะราชันพันสัตว์พิษได้!”
อวี๋หวั่นเอ่ยจบก็กะพริบตามองมัน
สัตว์พิษตัวน้อยกำลังจะขว้างมีดยาวลงกับพื้น!
นี่มันอะไรกัน! แม้แต่คนเดียวก็ไม่ให้ฆ่าแล้วหรือ? ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่?!
ท้ายที่สุดสัตว์พิษตัวน้อยก็พาราชันพันสัตว์พิษตัวนั้นไปสังหารผู้ใช้กู่ โดยไม่หันกลับไปหาอวี๋หวั่น
เป็นอาหารของตนแท้ๆ อาหารตัวหนึ่งกลับสง่างามยิ่งกว่าจักรพรรดิสัตว์พิษเช่นมัน! ให้ตายสิ!
สัตว์พิษตัวน้อยเสนอตัวไปต่อสู้ อวี๋หวั่นไม่ได้กังวล ที่นี่ไม่ใช่หมิงตูหรือเผ่าพ่อมด จะมียอดฝีมือที่สามารถจัดการราชันพันสัตว์พิษง่ายๆ ได้อย่างไร?
ความจริงปรากฏว่าอวี๋หวั่นพูดถูก
สัตว์พิษตัวน้อยหาคนลงกู่จนพบ จากความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์พิษในกายหานจิ้งซูกับเจ้านายของมัน คนผู้นั้นก็คือลูกน้องที่มีนามว่าเลี่ยเฟิง
เขาฝึกฝนกู่และใช้มันด้วยตนเองเช่นเดียวกับอาเว่ย ทั้งสองต่างก็เป็นปรมาจารย์พิษที่รู้วรยุทธ์ ปรมาจารย์พิษเช่นนี้หาได้ยากนัก ไม่แปลกที่เยี่ยนไหวจิ่งจะไม่สงสัยแม้แต่น้อย เพราะแม้แต่เยี่ยนไหวจิ่งก็รู้ว่าร่างกายของปรมาจารย์พิษอ่อนแอยิ่งนัก
ระดับของเลี่ยเฟิงไม่ต่ำ เป็นถึงระดับปรมาจารย์พิษเทพแล้ว กล่าวตามตรง ราชันพันสัตว์พิษจะจัดการกับเขาก็ไม่ง่ายดายนัก
แต่ราชันพันสัตว์พิษที่อวี๋หวั่นนำออกมาเป็นสัตว์พิษธรรมดาหรือ? มันคือราชันพันสัตว์พิษที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดหยินบริสุทธิ์ของเธอ และเคยถูกสัตว์พิษตัวน้อยข่มขู่ให้หวาดกลัวและกระทำย่ำยี จนกระตุ้นให้เกิดพลังไร้เทียมทาน!
“นั่นใครน่ะ?!”
เลี่ยเฟิงกำลังฝึกสัตว์พิษอยู่ในห้อง จู่ๆ ก็รู้สึกถึงปราณทรงพลังและคุ้นเคย เมื่อแยกแยะดีๆ ก็พบว่าเป็นจักรพรรดิสัตว์พิษที่น่าสะพรึงกลัวตัวหนึ่ง!
พลังปราณของจักรพรรดิสัตว์พิษตัวนี้ทรงพลังเกินกว่าที่เขาจินตนาการ ดวงตาของเขาเกิดประกาย ไม่สนใจว่าจู่ๆ จะมีจักรพรรดิสัตว์พิษทรงพลังอำนาจเช่นนี้ปรากฏตัวในดินแดนอย่างต้าโจวได้อย่างไร เขาสวมถุงมือเงิน หมายจะไปจับจักรพรรดิสัตว์พิษตัวนั้น แต่ก่อนจะลงมือกลับถูกแสงสีขาวพุ่งใส่กลางอกจนล้มกระแทกพื้น!
สัตว์พิษตัวน้อยไม่ได้ใช้พลังของจักรพรรดิสัตว์พิษ แต่ใช้ความเร็วและพละกำลังที่มี พลังปราณจึงไม่เผยออกมา
ไม่ให้ฆ่า แค่ตบตีก็คงไม่เกินไปกระมัง?
สัตว์พิษตัวน้อยขึ้นไปบนจมูกของเขา ใช้กรงเล็บสองกีบ ตีๆๆ! ตีๆๆ! ตีๆๆๆๆๆ!
พา-ยุ-กรง-เล็บ-สัตว์-พิษ-ตัว-น้อย!
เลี่ยเฟิงถูกตีจนไร้แรงจะโต้กลับ ไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น? แล้วจักรพรรดิสัตว์พิษเมื่อครู่ละ? นี่ดูไม่เหมือนพลังของจักรพรรดิสัตว์พิษเลย?
จักรพรรดิสัตว์พิษตัวใด…ใช้กรงเล็บตีคนกัน?
ในสมองมีรูหรือ?
เลี่ยเฟิงไม่เคยเห็นสัตว์พิษที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ภายในใจค่อนแคะต่างๆ นานา แต่ไม่ช้าก็ไม่อาจแม้แต่คิดวิจารณ์ เพราะเขาถูกสัตว์พิษตัวน้อยตีจนเห็นดาวหัวหมุน จนกระทั่งตัวของตนเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว
ในที่สุดเมื่อเขาถูกทุบตีจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย สัตว์พิษตัวน้อยจึงโยนราชันพันสัตว์พิษลงบนตัวเขา
ราชันพันสัตว์พิษตัวสั่น มันอ้าปากกัดเลี่ยเฟิงซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ตนออกแรงก็ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่แล้ว
ราชันพันสัตว์พิษฆ่า ก็ไม่มีปัญหาแล้ว!
สัตว์พิษตัวน้อยพาราชันพันสัตว์พิษไปรายงานอวี๋หวั่น
“เจ้าแน่ใจหรือว่าตายแล้ว?” อวี๋หวั่นถาม
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้า
“ฆ่าผิดหรือไม่?” อวี๋หวั่นถามอีกครั้ง
สัตว์พิษตัวน้อยส่ายหัวอย่างดูแคลน
“ไม่ได้ฆ่าไปมากกว่านั้น?” อวี๋หวั่นถามอีกครั้ง
สัตว์พิษตัวน้อยเท้าเอว อยากบินหนี!
ความเชื่อใจกันละ! ! !
อวี๋หวั่นหยิบสัตว์พิษตัวน้อยขึ้นมาอย่างมีความสุข ใช้ปลายนิ้วลูบท้องของมัน “โอ๋ ท้องเรียบแปล้แล้ว หิวหรือไม่? มา นี่รางวัลเจ้า!”
อวี๋หวั่นเอ่ยจบ ก็ผลักราชันพันสัตว์พิษที่เพิ่งทำคุณงามความดีไปตรงหน้าสัตว์พิษตัวน้อยอย่างใจกว้าง
ที่นี่ไม่มีสัตว์พิษทั่วทุกที่เช่นหมิงซาน อีกอย่างมันก็เลือกกิน ราชันร้อยสัตว์พิษไม่ชอบ ราชันพันสัตว์พิษไม่พอกิน ที่ผ่านมาอวี๋หวั่นควบคุมปริมาณอาหารอย่างเคร่งครัดเสมอ ในหนึ่งเดือนมันกินราชันพันสัตว์พิษได้เพียงสามตัวเท่านั้น หากในช่วงเวลาที่เหลือหิวขึ้นมา ก็สามารถยอมรับชะตาหันไปกินราชันร้อยสัตว์พิษได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องทนหิวต่อไป
เมื่อวานเพิ่งกินราชันพันสัตว์พิษไปตัวหนึ่ง ตามหลักแล้วต้องรออีกเก้าวันถึงจะได้กินตัวต่อไป
ราชันพันสัตว์พิษตะลึงงัน!
ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนสร้างคุณแล้วยิ่งตายเร็ว? ความเป็นมิตรของมนุษย์ละ? ศักดิ์ศรีของแมลงละ?
แต่สิ่งที่ทำให้อวี๋หวั่นประหลาดใจคือ สัตว์พิษตัวน้อยไม่กิน แต่นำขวดหยกออกมาแล้วใส่มันกลับเข้าไป
จากนั้นสัตว์พิษตัวน้อยก็ตบขวด แสดงออกว่าสิ่งนี้ได้เป็นของมันแล้ว อวี๋หวั่นจะเอาคืนไม่ได้!
เก็บน้องเล็กแล้ว วันหน้าหากเกิดปัญหา ก็ให้มันแบกรับความผิด!
เมื่อมือสังหารถูกประหารแล้ว อวี๋หวั่นก็เตรียมตัวจะกลับไปดูอาการของหานจิ้งซู เธอพาสัตว์พิษตัวน้อยมุ่งหน้าไปที่เรือนของหานจิ้งซู
ไหนเลยจะรู้ว่าเดินไปเพียงสองก้าว หน้ากากหนังมนุษย์ของเธอก็หลุดออกมา
เพราะต้องการปลอมตัวเพียงหนเดียว อวี๋หวั่นจึงไม่ได้ใช้วิชาปลอมตัวของสกุลหลาน ข้อเสียของวิชาปลอมตัวทั่วไปคือหน้ากากจะหลุดออกได้ง่าย…เธอไม่ยอมรับว่าตนอ้วนเกินไป พวงแก้มกลมสั่นกระเพื่อมยามก้าวเท้าเดินจนทำให้หน้ากากหลุดออกมา! ! !
อุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในล่วมยา ยามนี้ไม่มีสิ่งใดจะใช้ติดหน้ากากกลับไปได้ อวี๋หวั่นต้องใช้มือกดไว้ พลางมองไปมารอบๆ อย่างระมัดระวัง
ขอเพียงกลับถึงเรือนให้เร็วที่สุดก็จะไม่เป็นไร ทว่าวันนี้ราวกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้ง เยี่ยนไหวจิ่งที่ถูกจวินฉางอันใช้ข้ออ้างนัดหมายกับไป๋เสี่ยวเซิงเพื่อกีดกันออกไป กลับจวนมาก่อนกำหนด!
ไหนจวินฉางอันบอกว่าต้องรอไป๋เสี่ยวเซิงถึงตอนเย็น?
ครู่เดียวก็รอไม่ไหวเสียแล้ว?
เจ้าเชื่อไม่ได้ หรือจวินฉางอันเชื่อไม่ได้?
“จริงๆ เลย!”
อวี๋หวั่นลอบกัดฟันหันหลังกลับ!
เยี่ยนไหวจิ่งกังวลเกี่ยวกับอาการของหานจิ้งซู แม้ว่าจวินฉางอันจะย้ำกับเขาว่าไป๋เสี่ยวเซิงจะออกมาแน่ หวังให้เขารออย่างอดทน แต่เขาก็ยังนั่งไม่ติด เขาทิ้งองครักษ์ไว้ที่นั่น หากไป๋เสี่ยวเซิงมา ให้จับไว้และแจ้งให้เขาทราบโดยเร็วที่สุด
หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งกลับมาถึงจวน ก็ไปเยี่ยมหานจิ้งซู จากนั้นจึงพบกับอวี๋หวั่นบนทางแคบๆ
ยามที่เขาเดินผ่านภูเขาปลอม เห็นสาวใช้…อ้วนคนหนึ่ง?
ยามอวี๋หวั่นเข้าจวนมาย่อมต้องแต่งตัวเป็นสาวใช้ เพียงแต่ไม่ใช่สาวใช้ในจวน
“เจ้าเป็นใคร?” เยี่ยนไหวจิ่งประหลาดใจกับเสื้อผ้าของเธอ
อวี๋หวั่นก้มหน้า ในมือถือหญ้าที่เพิ่งเก็บมากำหนึ่ง แล้วดัดเสียงเอ่ยว่า “ข้าเป็นสาวใช้ของหมอเทวดาชุย หมอเทวดาชุยบอกให้ข้ามาเก็บวัชพืชไปสองสามต้น กล่าวว่าจะใช้ผสมยาเจ้าค่ะ”
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ย “หมอเทวดาชุยมาแล้วหรือ?”
เมื่อจวินฉางอันแยกทางกับเขา เขาบอกว่าเขากำลังวางแผนที่จะทำสองสิ่ง เขาไปรอไป๋เสี่ยวเซิงในขณะที่จวินฉางอันไปถามหาหมอเทวดาชุย
“เพิ่งมาถึงเจ้าค่ะ กำลังปรุงยาอยู่” อวี๋หวั่นกล่าว
ระหว่างพูดคุย อวี๋หวั่นก็ก้มหน้า หากเป็นปีก่อน เธออาจไม่สามารถปิดบังเยี่ยนไหวจิ่งได้ ทว่ายามนี้เธออวบอ้วน ไม่ว่าจะใช้รูปร่างนี้อย่างไร เยี่ยนไหวจิ่งก็ไม่อาจโยงไปถึงตัวอวี๋หวั่น
เยี่ยนไหวจิ่งไม่มีเจตนาจะดูหน้าตาของสาวใช้ จึงก้าวขาเดินจากไป
อวี๋หวั่นทอดถอนใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดก็ผ่านมาได้ น่าหวาดเสียวนัก!
เมื่อเยี่ยนไหวจิ่งหายไปจนสุดทางเดิน อวี๋หวั่นก็เงยหน้าหันหลังกลับไปที่เรือนของชุยเฒ่า
สิ่งที่อวี๋หวั่นไม่รู้คือ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็สบกับดวงตาลึกล้ำคู่หนึ่งโดยบังเอิญ
สตรีพิษนามว่าอีม่านจ้องมองอวี๋หวั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบภาพในอ้อมแขนของนางออกมา
ภาพวาดเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ยังคงเห็นใบหน้าชัดเจน
สตรีผู้นั้น นอกจากร่างกายที่อ้วนขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าก็ยังคงเหมือนกับสตรีในภาพวาดไม่มีผิด!
อีม่านรีบกลับไปที่หอวั่งเยว่ รีบร้อนเข้าไปในห้องของชายสวมชุดคลุม “นายท่าน! ข้าพบผู้ขโมยไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วเจ้าค่ะ!”
…………………