หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 33 อิทธิฤทธิ์ไข่มุกวิญญาณ!
แต่ในยามนี้ เรื่องเร่งด่วนที่สุดก็ยังไม่ใช่การตามหาไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และหัวขโมยนั่น เพราะอย่างไรเรื่องนี้ก็ล่าช้ามาหลายปีแล้ว ไม่สนใจว่าต้องรออีกวันหรือสองวัน ภารกิจเร่งด่วนคือจะจัดการกับหานจิ้งซูอย่างไร
แม้หานจิ้งซูจะปฏิเสธ แต่ชายสวมชุดคลุมก็แน่ใจว่าหานจิ้งซูได้ยินบทสนทนาของเขากับเลี่ยเฟิง หลังจากเข้าจวนมานาน เขาก็สังเกตและรู้จักหานจิ้งซูอยู่บ้าง นางไม่ใช่สตรีไร้สมอง
นางอาจไม่รู้ว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คืออะไร แต่นางต้องเดาได้ว่าพวกเขาเป็นคนนอกเผ่าและเข้าจวนรัชทายาทมาเพราะมีจุดประสงค์อื่น ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และหัวขโมยเป็นหนึ่งในนั้น แต่เหตุผลสำคัญอีกประการคือ…แม้แต่อีม่านก็ยังไม่รู้
“เลี่ยเฟิงเล่า? ไปเรียกเขาให้ไปที่เรือนของพระชายารัชทายาท ตรวจดูอาการของนางสักหน่อย หากจำเป็น…” ชายสวมชุดคลุมทำมือเชือดคออย่างโหดเหี้ยม
หากจำเป็น ก็ฆ่าหานจิ้งซูอีกครั้ง!
สตรีพิษไปเรียกเลี่ยเฟิง
ก๊อกๆๆ!
นางเคาะประตู แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากห้องของเลี่ยเฟิง
ไม่ได้ยินหรือ?
ยอดฝีมือนี่หลับเป็นตายเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
หรือว่าเลี่ยเฟิงไม่อยากสนใจตนนะ?
สตรีพิษข้างกายชายสวมชุดคลุมแน่นอนว่าไม่สูงส่งเทียบเลี่ยเฟิง เมื่อคิดเช่นนี้ สตรีพิษก็รู้สึกสะอิดสะเอียน จะอวดเบ่งอันใด? ก็แค่มีวรยุทธ์มากกว่านางหน่อยเดียวเท่านั้น! หากเป็นการเลี้ยงกู่แล้ว ผู้ใดรึจะแน่กว่ากัน?
สตรีพิษเคาะประตูอย่างไม่เกรงใจ และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ตื่น! ไม่ใช่ข้าที่ตามเจ้า! แต่เป็นใต้เท้า!”
และแล้วก็ยังคงมีเพียงความเงียบงันที่ตอบกลับนาง
ในเวลานี้สตรีพิษตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถึงแม้เลี่ยเฟิงจะดูแคลนนางอย่างไร ก็ไม่เคยดูหมิ่นใต้เท้า เมื่อนางอ้างถึงใต้เท้า ด้วยนิสัยของเลี่ยเฟิง ต้องไปรับใช้ใต้เท้านานแล้ว
ประตูลงกลอนจากด้านใน แต่สามารถเปิดหน้าต่างจากด้านนอกได้
สตรีพิษเดินอ้อมไปที่หน้าต่าง เมื่อเปิดมองเข้าไปก็ถึงกับผงะตาค้าง
ภายในห้องมืดสลัว ทว่าแสงจันทร์และไข่มุกจากตะเกียงทางเดินได้ส่องลอดเข้าไปตกกระทบซากศพเย็นเยือกที่นอนอยู่บนพื้น
ใช่ สตรีพิษมั่นใจยิ่งนักว่าเป็นเลี่ยเฟิงที่กลายเป็นศพแล้ว
“ใต้เท้า! เลี่ยเฟิงตายแล้วเจ้าค่ะ!” สตรีพิษรายงานชายสวมชุดคลุม
ชายสวมชุดคลุมสะบัดเสื้อคลุมไปที่ห้องของเลี่ยเฟิงอย่างอาฆาต
สตรีพิษถือตะเกียง ทั้งสองมองดูศพของเลี่ยเฟิงอย่างละเอียด
“เขาถูกสัตว์พิษฆ่าตาย!” สตรีพิษชี้ไปที่คอของเลี่ยเฟิง
นางเป็นสตรีพิษ ย่อมแยกแยะได้ว่าบาดแผลใดถูกแมลงทั่วไปกัด บาดแผลใดถูกสัตว์พิษกัด
แต่…แม้ว่าเขาจะถูกสัตว์พิษกัดจนตาย ทว่าบาดแผลบนใบหน้าของเลี่ยเฟิงจะอธิบายว่าอย่างไร?
เขาถูกทุบตีกลายเป็นหัวหมูไปแล้ว!
ดูแล้วไม่เหมือนโดนหมัดชก ยิ่งไม่เหมือนโดนคนตบ รอยเล็บเล็กๆ เหล่านั้นดูเหมือน…โดนสัตว์พิษตบ!
แต่มันก็แปลกเกินไปไม่ใช่หรือ?
นึกภาพที่สัตว์พิษขนาดราวๆ เล็บมืออยู่บนจมูกของบุรุษร่างใหญ่ แล้วตบๆๆ เขาออกหรือ?
ไม่อาจทนดูได้ตรงๆ!
แมลงใดชนิดใดจะรุนแรงเช่นนี้?
อีกอย่างหากดูจากอาการบวมช้ำที่ใบหน้าของเลี่ยเฟิงแล้ว เขาถูกทุบตีเป็นหัวหมูก่อนแล้วจึงถูกสัตว์พิษกัดจนตาย หากเขาถูกกัดตายก่อน เลือดของคนตายจะหยุดไหล ศพย่อมไม่มีทางบวมช้ำเช่นนี้
ในห้องไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หรือก็หมายความว่าเลี่ยเฟิงนอนอยู่ตรงนั้น และไม่ได้ตอบโต้กลับ!
แน่นอน ไม่ใช่เพราะไม่อยากสู้กลับ ทว่าไม่อาจสู้กลับได้!
ต้องรู้ว่าเลี่ยเฟิงเป็นถึงปรมาจารย์พิษเทพ สัตว์พิษที่ทำร้ายเขาจนไร้เรี่ยวแรงจะสู้กลับ ต้องเป็นสัตว์พิษที่เหนือธรรมชาติเพียงใด?
ในเมื่อเก่งกาจเช่นนั้น กัดทีเดียวก็ตายแล้ว ต้องทุบตีจนเป็นหัวหมูเช่นนี้ด้วยเหตุใด? อีกอย่างหากทุบตีจนเป็นเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องกัด เลี่ยเฟิงก็คงตายด้วยตนเองได้ เหตุใดถึงต้องกัดอีกครั้ง?
เป็นสัตว์พิษประสาทแบบไหนกัน?!
ปรมาจารย์พิษที่ตายด้วยน้ำมือของสัตว์พิษที่พวกเขาสร้างขึ้นมาไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นชายสวมชุดคลุมกับสตรีพิษจึงไม่คิดว่าเลี่ยเฟิงจะถูกสัตว์พิษต่างแดนฆ่าตาย เพียงแค่คิดว่าเขาฝึกฝนกู่เหนือธรรมชาติตัวใดขึ้นมา กู่ชั่วร้ายตัวนั้นเกิดคลุ้มคลั่ง สูญเสียการควบคุม กลับทำร้ายนายของตน
สิ่งนี้สามารถอธิบายสาเหตุการตายที่…แปลกประหลาดของเลี่ยเฟิงได้แล้ว หากไม่ได้เป็นบ้า แมลงตัวใดจะทำเรื่องเช่นนี้กับมนุษย์?
ชายสวมชุดคลุมจ้องมอง “ข้าเกรงว่าสัตว์พิษตัวนั้นจะหนีไปแล้ว ช่างมันไปก่อน เจ้าให้คนมาจัดการกับศพของเลี่ยเฟิงเสีย ข้าจะไปดูอาการของพระชายารัชทายาทด้วยตัวเอง”
ชายสวมชุดคลุมไม่ได้เข้าไปทางประตูหน้า แต่ใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงสายตาขององครักษ์ในจวน เหาะขึ้นไปที่หลังคาห้องของหานจิ้งซูเงียบๆ
เขาเปิดกระเบื้องหลังคาแผ่นหนึ่ง แสงมุกเหลืองนวลสะท้อนออกมา
ความมืดมิดยามค่ำคืนกลายเป็นเกราะกำบังอันทรงพลังที่สุดของเขา เขามองเห็นภายในห้องที่สว่างไสว แต่คนในห้องกลับมองไม่เห็นเขาที่กลมกลืนอยู่ในความมืด
เตียงนอนของพระชายารัชทายาทมีเพดานปิด จึงมองจากด้านบนไม่เห็น แต่โชคดีมุมที่ชายสวมชุดคลุมเลือกนั้นสามารถเห็นสภาพรอบเตียงได้ชัดเจน
ในเวลานี้เยี่ยนไหวจิ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ในมือถือชามแกงหวาน ป้อนหานจิ้งซูทีละช้อน
“ข้าอิ่มแล้ว” หลังจากกินไปสามคำ หานจิ้งซูก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปาก
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยเบาๆ “เจ้าท้องอยู่ ต้องกินเยอะๆ ไม่ต้องสนใจกฎเกณฑ์”
กฎของราชวงศ์คือเสวยได้เพียงสามคำ ไม่ว่าอาหารนั้นจะรสเลิศเพียงใดก็ไม่อาจกินคำที่สี่ได้ โดยทั่วไปกับข้าวหนึ่งอย่างใช้ตะเกียบเพียงหนึ่งครั้ง หากจานใดอร่อยเป็นพิเศษก็คีบได้อีกสองครั้ง หานจิ้งซูไม่อยากอาหาร แต่เพราะเยี่ยนไหวจิ่งเป็นคนป้อน นางจึงฝืนกินไปสามคำ แต่มากกว่านี้นางก็กินไม่ลงแล้ว
“ข้าอิ่มแล้วจริงๆ” หานจิ้งซูเอ่ย
เยี่ยนไหวจิ่งมีน้องสาวคนหนึ่ง ยามที่สวี่เสียนเฟยตั้งท้องนางก็มักจะกินอะไรไม่ลง ได้ยินเหล่ามามากล่าวว่ามันคืออาการแพ้ท้อง
เยี่ยนไหวจิ่งถือว่าหานจิ้งซูกำลังอายจึงไม่ได้บังคับให้นางกินต่อ เขาวางชามลงไปในถาดอาหารที่ลวี่เอ้อถืออยู่และพูดกับหานจิ้งซู “หากเจ้าอยากกินเมื่อใดก็สั่งให้ห้องครัวจัดสำรับ”
“อื้ม” หานจิ้งซูพยักหน้าเบาๆ
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยต่อ “จริงสิ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่สวนดอกไม้? ผู้ใดใช้กู่กับเจ้า?”
ชายสวมชุดคลุมจ้องมองใบหน้าของหานจิ้งซู เห็นนางขมวดคิ้วทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็กดขมับหายใจเฮือกด้วยความเจ็บปวด
“เป็นอะไรไป?” เยี่ยนไหวจิ่งถามด้วยความเป็นห่วง
หานจิ้งซูขมวดคิ้ว “ข้านึกไม่ออก เมื่อข้าพยายามคิดก็ปวดหัวยิ่งนัก!”
เยี่ยนไหวจิ่งประคองไหล่ของนาง “เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดแล้ว อย่าได้ฝืนตัวเอง ข้าจะตามสืบให้รู้!”
“อื้ม” หานจิ้งซูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยนไหวจิ่งจับมือนางด้วยแววตาอ่อนโยนที่หายาก “ครั้งนี้ต้องขอบคุณใต้เท้ากับลูกน้องของเขา ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องสูญเสียเจ้าไป ซูเอ๋อร์?”
“ฝ่าบาท!” หานจิ้งซูซาบซึ้งดวงตาแดงก่ำ
เยี่ยนไหวจิ่งยิ้มจางๆ “ครานี้นับว่ายังมีความโชคดีในโชคร้าย การวินิจฉัยบอกว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีผู้ใดรู้ หากเจ้ากระทบกระเทือนคงแย่”
หานจิ้งซูหลุบตา “อื้ม”
“เจ้าพักเถอะ ข้าจะไปจัดการเอกสารทางการที่ห้องตำรา เสร็จแล้วจะมาอยู่กับเจ้า” เยี่ยนไหวจิ่งประคองหานจิ้งซู นอนลงและห่มผ้าให้นาง จากนั้นก็เอ่ยกับลวี่เอ้อ “คืนนี้ข้าจะพักที่นี่”
“เจ้าค่ะ!” ลวี่เอ้อประหลาดใจ
เยี่ยนไหวจิ่งหันหลังออกจากห้องไป
ลวี่เอ้อก้าวไปข้างหน้า ถามหานจิ้งซู “พระชายารัชทายาท ท่านจำเหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ?”
หานจิ้งซูส่ายหัวอย่างว่างเปล่า “ข้าจำไม่ได้ แปลกจัง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? พิษกู่ของข้ายังไม่ถูกคลายอีกหรือ? ข้าจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าเมื่อวานเกิดเรื่องใดขึ้น?”
ลวี่เอ้อเอ่ย “ช่างเถอะเจ้าค่ะ ฝ่าบาทรัชทายาทตรัสว่าจะตามสืบมือสังหารให้ได้ เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องกังวล ตั้งใจดูแลรักษาครรภ์นะเจ้าคะ”
หานจิ้งซูลูบท้องพลางทอดถอนใจ “ตอนแรกข้าตั้งใจจะทำให้เขาประหลาดใจ ไม่คิดว่าหมอหลวงจะบอกเขาเสียก่อน”
“แต่ฝ่าบาทรัชทายาทก็ดูดีใจมากเลยนะเจ้าคะ!” ลวี่เอ้อกล่าว
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” หานจิ้งซูไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อแล้ว “ข้าอยากกินขนมกุ้ยฮวา ไม่ต้องใส่น้ำตาลเยอะนัก เจ้าไปบอกห้องครัวให้ทำมาหน่อย”
“เจ้าค่ะ!” ลวี่เอ้อออกไปอย่างมีความสุข
หานจิ้งซูมองยอดเพดานเตียงและทอดถอนใจเงียบๆ “เมื่อวานนี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ…”
ชายสวมชุดคลุมจับตาดูหานจิ้งซูตั้งแต่ต้นจนจบ เขารู้สึกว่าหานจิ้งซูไม่ได้กำลังเสแสร้ง หากหานจิ้งซูไม่กล้าบอกเยี่ยนไหวจิ่ง เแต่สาวใช้ข้างกายที่พามาจากบ้านมารดาสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง นางยังบอกกับสาวใช้ว่าตนจำไม่ได้ เช่นนั้นก็น่าจะจำไม่ได้จริงๆ
อีกอย่างก่อนที่นางจะแสดงได้ต้องรู้ว่าตนมา แม้แต่เยี่ยนไหวจิ่งที่รู้วรยุทธ์ยังไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา เช่นนั้นหานจิ้งซูจะรู้ได้อย่างไร?
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายตลบ ชายสวมชุดคลุมก็เดาว่าพิษกู่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงในร่างกายของหานจิ้งซู จึงทำให้หานจิ้งซูลืมความทรงจำในวันนั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก!
ก่อนที่ภารกิจของพวกเขาจะสำเร็จ จวนรัชทายาทเป็นสถานที่ที่ปกป้องพวกเขาได้ดีที่สุด หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายต้องสูญเสีย หานจิ้งซูยังมีประโยชน์กับอนาคตอันยิ่งใหญ่ของเยี่ยนไหวจิ่ง หากไม่คุกคามถึงความปลอดภัยของพวกเขา การมีอยู่ของหานจิ้งซูล้วนเป็นผลประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
ชายสวมชุดคลุมสังเกตดูอีกครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าหานจิ้งซูไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ เขาก็วางกระเบื้องคืนอย่างสบายใจและกลับไปที่หอวั่งเยว่
สิ่งที่ชายสวมชุดคลุมไม่รู้ก็คือทันทีที่เขาก้าวออกไป หานจิ้งซูก็เหลือบมองกระจกทองเหลืองที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโต๊ะเครื่องแป้ง
หานจิ้งซูเป็นสตรีรักสวยรักงาม แน่นอนว่านางย่อมมีทุนในการรักสวยรักงาม ใบหน้านางงดงามดุจบุปผาจันทรา อ่อนหวานแช่มช้อย ดีกว่าสตรีงามชื่อดังแห่งเมืองหลวงนัก นางหลงตัวเอง ชื่นชอบการส่องกระจกเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากกระจกทองเหลืองบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว ก็ยังมีกระจกทองเหลืองที่ใช้ตกแต่งในห้องอีกสองด้าน
ซึ่งหนี่งในนั้นสะท้อนมุมหลังคาด้านบน
หานจิ้งซูไม่ได้รู้สึกว่ามีคนมา แต่นางเห็นคนมาด้วยตาตัวเอง!
แน่นอน นางไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เห็นเพียงกระเบื้องมุงหลังคาถูกเปิดออก แต่ก็เพียงพอจะเดาได้ว่ามีคนกำลังจับตาดูนางอยู่
ยามนี้ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไปแล้ว หานจิ้งซูจึงหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกมาจากใต้เตียง ในนั้นมียาที่สตรีพิษป้อนใส่ปากของนาง
นางไม่ได้กลืนมันลงไป
นางได้ฟื้นขึ้นก่อนที่สตรีพิษจะเข้ามาในห้องแล้ว เพียงแต่สตรีพิษมาพอดี นางจึงอยากรู้ว่าสตรีพิษคิดจะทำสิ่งใด เลยแสร้งทำเป็นไม่ได้สติ แต่เมื่อสตรีพิษป้อนบางอย่างใส่ปากนาง นางจึงไม่กล้าแกล้งหลับต่อ
ลวี่เอ้อถือขนมกุ้ยฮวาเข้ามาในห้อง “พระชายารัชทายาท ขนมกุ้ยฮวาเสร็จแล้วเจ้าค่ะ!”
หานจิ้งซูรีบยัดยาลงใต้ผ้านวม “ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง เจ้าไปตามหมอจางให้ข้าที”
หมอจางเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอัครมหาเสนาบดีหานและเป็นคนที่นางไว้ใจได้
“ให้ไปรายงานองค์รัชทายาทหรือไม่เจ้าคะ?”
“เขากำลังจัดการราชกิจ ไม่ต้องไปรบกวนเขา เดี๋ยวเขามาแล้วข้าจะบอกเขาเอง”
“โอ้!” ลวี่เอ้อไปอย่างไม่ลังเล
หมอจางมาด้วยความรีบร้อน
หานจิ้งซูบอกให้คนในห้องออกไปและยื่นยาให้เขา “หมอจาง ช่วยข้าดูทีว่านี่คือยาอะไร?”
หลังจากตรวจสอบยาเม็ดแล้ว หมอจางก็เอ่ยว่า “เป็นยาเสริมความงามบำรุงปราณและเลือด ส่วนมากทำจากส่วนผสมอย่าง กระเพาะปลา พุทราแดงและมันเทศจีนพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีพิษหรือ?” หานจิ้งซูถาม
หมอจางเอ่ย “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ สตรีมีครรภ์ก็สามารถกินได้ แต่เลือดและลมปราณของพระชายามิได้บกพร่อง ยานี้จึงไม่ได้จำเป็นต้องเสวย”
แปลกจัง นางคิดว่าสตรีพิษต้องการมาฆ่าปิดปากนาง สิ่งที่นางป้อนต้องเป็นยาพิษแน่ และถึงแม้จะไม่ใช่ยาพิษ ก็ต้องเป็นยาที่ทำลายร่างกายของนางอย่างช้าๆ ยาเสริมความงามเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจาก…โจ๊กพุทราแดง
เหตุใดสตรีพิษถึงให้ตนกินสิ่งนี้?
หานจิ้งซูคิดไม่ตก
อวี๋หวั่นผู้ซึ่งอยู่ห่างไกลในจวนคุณชายก็คิดไม่ตก
เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดหมื่นตำลึงทองของเธอถึงหายไป?
ไอ้สารเลวสมควรตายคนใด ฉกฉวยผลงานของอวี๋หวั่นหนิ่วฮู่ลู่ไป?
อวี๋หวั่นประคองท้องพลิกตัวไปมาบนเตียง เยี่ยนเสี่ยวซื่อถูกหมุนจนเวียนหัว แลบลิ้น!
ทันใดนั้นก็มีเสียงต่อกๆๆ ดังขึ้นที่พื้น!
อวี๋หวั่นหยุดชะงัก
เธอมองลูกปัดบนพื้น จากนั้นก็มองเครื่องรางคุ้มภัยที่เธอสวมอยู่บนคอ เธอหยิบเครื่องรางคุ้มภัยขึ้นมา “เอ๊ะ? ลูกปัดตกรึ”
เครื่องรางคุ้มภัยนี้เป็นของขวัญที่นางเจียงมอบให้เธอก่อนวันแต่งงาน ด้านในมีลูกปัดอยู่เม็ดหนึ่ง
อวิ๋นเฟยก็เคยประหยัดกินประหยัดใช้ มอบลูกปัดแก่นางเจียงเม็ดหนึ่ง อวี๋หวั่นคิดว่านี่จะต้องเป็นลูกปัดของอวิ๋นเฟยแน่
อวี๋หวั่นปล่อยสัตว์พิษตัวน้อยออกมา
สัตว์พิษตัวน้อยคิดว่ามีเรื่องสำคัญอะไร มองอวี๋หวั่นด้วยดวงตาเบิกกว้าง
อวี๋หวั่นชี้ไปที่ลูกปัดบนพื้น “หยิบขึ้นมาหน่อย”
สัตว์พิษตัวน้อยอึ้งตะลึงงัน!
ปลุกมันให้ตื่นขึ้นกลางดึกเพื่อให้มาหยิบลูกปัดที่ตกบนพื้น? !
แน่นอนว่าสัตว์พิษตัวน้อยไม่ไปหยิบด้วยตัวเอง มันปล่อยน้องชายตัวใหม่ที่เก็บได้ออกมาและพูดอย่างเย่อหยิ่ง : ไป! หยิบลูกปัด!
ราชันพันสัตว์พิษไม่กล้าแข็งขืน มันกระโดดไปที่พื้นและนำลูกปัดขนาดเท่าเล็บมือขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง
อวี๋หวั่นไม่สนใจว่าผู้ใดจะหยิบมันขึ้นมา เธอหยิบลูกปัดมาไว้ในมือ
เมื่อก่อนเธอไม่ได้สนใจลูกปัดนี้มากนัก แต่วันนี้ช่างน่าเบื่อจึงมองดูมันนานกว่าทุกที
“ท่านยายอวิ๋นเฟยใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อรักษาลูกปัดนี้ไว้น่ะหรือ? ท่านยายอวิ๋นเฟยคงถูกหลอกแล้ว ลูกปัดนี้ดูธรรมดานัก ที่พบได้ตามท้องถนนยังดีเสียกว่า…”
ก่อนที่อวี๋หวั่นจะพูดจบ ก็รู้สึกว่านิ้วเธอถูกบางอย่างหนีบ!
โอ๊ย!
อวี๋หวั่นคิดว่าตนรู้สึกไปเอง ทว่าจากนั้นที่ปลายนิ้วก็ปรากฏเป็นหยดเลือด
อวี๋หวั่นตกตะลึง
นี่มันอะไรกัน? ทุกวันนี้…ลูกปัดยังกัดคนอีกหรือ?
…………………………