หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 35.2 อาหวั่นเข้าวัง พี่จิ่วจอมโหด! (2)
“มัวยืนอึ้งอันใด? ยังไม่รีบคำนับองค์ชายน้อยแห่งหนานจ้าวอีกรึ?” ขันทีฉินเอ่ยพลางก้าวลงจากรถม้าอีกคันด้วยใบหน้าหยิ่งผยอง
ใช่ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวชีวิตของพระชายามาแล้ว นางไม่ใช่สตรีบ้านๆ จากหมู่บ้านเหลียนฮวา แต่เป็นองค์หญิงน้อยแห่งหนานจ้าว นางยังมีน้องชายร่วมท้องด้วยอีกคนหนึ่ง ที่แท้เด็กชายตัวเล็กตรงหน้าก็คือน้องชายของนาง มิน่าถึงดูคล้ายคลึงอยู่บ้าง
ทุกคนรีบคำนับเถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยเงยหน้ามองอวี๋หวั่น ดวงตาของเขากลับมาสดใสดุจน้ำพุอีกครั้ง อวี๋หวั่นพยักหน้าให้กำลังใจเขา
เถี่ยตั้นน้อยจับมือของพี่สาวแน่น มองทหารองครักษ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้น”
หากบอกว่าไม่ประหม่าก็คงจะโกหก อย่างไรเขาก็ไม่เคยถูกคน…ทำความเคารพมากมายเช่นนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับประหม่าจนเกินไป เขาสนใจในการแสดงของตนว่าจะออกมาดีหรือไม่มากกว่า ท่านพี่จะพึงพอใจหรือไม่
“ถิงเอ๋อร์ทำดีมาก” อวี๋หวั่นยิ้มแล้วลูบหัวเล็กๆ ของเขา
ต่อหน้าคนนอก เธอไม่มีทางเรียกเขาว่าเถี่ยตั้นเด็ดขาด นึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าที่จวบจนทุกวันนี้ก็ยังเรียกท่านปู่ว่าหนิวตั้น อวี๋หวั่นก็อดคิดไม่ได้ หากสองสามปีต่อจากนี้ น้องชายของเธอกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง แต่ก็ยังมีคนเรียกเขาว่า ‘เถี่ยตั้น! เจ้ากลับมาแล้ว——’
ฉากนั้น…ช่างงดงามจนไม่อาจทนมองได้ตรงๆ
ระหว่างทางไปตำหนักเฟิ่งชี เถี่ยตั้นน้อยได้เอ่ยเรื่องการตั้งชื่อทารกขึ้นมา “ท่านพี่ เด็กคนนั้นจะเป็นน้องชายหรือว่าน้องสาว?”
อวี๋หวั่นเอ่ย “ไม่ใช่ทั้งน้องชายและไม่ใช่ทั้งน้องสาว”
“หา!” เช่นนั้นมันเป็นสัตว์ประหลาดอะไร?! เถี่ยตั้นน้อยตะลึงงัน!
อวี๋หวั่นจิ้มหน้าหน้าผากน้อยๆ ของเขา “เป็นหลานชาย หรือหลานสาวของเจ้าต่างหาก!”
โตจนป่านนี้ เหตุใดยังไม่รู้จักลำดับอาวุโสอีก?
“อ้อ” เถี่ยตั้นน้อยตอบรับด้วยเสียงสงบราบเรียบ “หากเป็นหลานชาย เรียกเขาว่าโก่วตั้น(ไข่สุนัข)ได้หรือไม่?”
อวี๋หวั่น “…”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “…”
…
เมื่ออวี๋หวั่นมาถึงตำหนักเฟิ่งชีก็พบว่าหานจิ้งซูมาถึงแล้วเช่นกัน
ฮองเฮาไม่เพียงแต่เรียกเธอมาเข้าเฝ้า แต่ยังเรียกหานจิ้งซูมาด้วย
หานจิ้งซูเป็นสะใภ้ของสวี่เสียนเฟย เพื่อภาพลักษณ์มารดาแผ่นดินผู้ทรงคุณธรรมจิตใจงดงาม ฮองเฮายังพยายามอย่างหนัก
หานจิ้งซูสวมชุดมงคลของพระชายารัชทายาท อวี๋หวั่นสวมชุดมงคลของพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากกล่าวถึงยศศักดิ์ ทั้งสองต่างเป็นพระชายาขั้นหนึ่งระดับสูง แต่หากกล่าวถึงอำนาจในตำแหน่งแล้ว รัชทายาทที่มีเพียงตำแหน่งก็ยังห่างไกลจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งกุมอำนาจที่แท้จริง
หานจิ้งซูเองก็เห็นอวี๋หวั่นและเถี่ยตั้นน้อย ไม่มีผู้ใดบอกนางว่าอวี๋หวั่นจะเข้าวังในวันนี้ และไม่มีผู้ใดบอกนางว่าเด็กน้อยข้างกายอวี๋หวั่นเป็นใคร แต่ด้วยความชาญฉลาด เพียงครุ่นคิดแวบหนึ่งก็คาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้
หานจิ้งซูก้าวไปข้างหน้า คำนับอวี๋หวั่น “พระชายา”
สถานะของอวี๋หวั่นในยามนี้ต่ำกว่าฮองเฮาเพียงเล็กน้อย ทุกคนที่พบเธอล้วนต้องก้มหัวคำนับ ยกเว้นเพียงฮองเฮา
อวี๋หวั่นเองก็ไม่ได้แสร้งทำกริยาวาจาเกินงาม ยอมรับการเคารพของนางอย่างใจกว้าง จากนั้นจึงแนะนำให้นางรู้จัก “นี่คือน้องชายของข้า เห้อเหลียนถิง ถิงเอ๋อร์ นี่คือพระชายารัชทายาท”
“ถวายบังคมพระชายารัชทายาท” เถี่ยตั้นน้อยยกมือค้อมคำนับ
หานจิ้งซูพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างสุภาพ “ที่แท้คือองค์ชายแห่งหนานจ้าว เป็นเกียรติที่ได้พบ”
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ ผู้คนในราชสำนักนี่พูดจาเป็นพิธีรีตองเก่งจริง พวกเขาสองพี่น้องกับหานจิ้งซูมีสิ่งใดน่าเป็นเกียรติที่พบกัน? สามีของหานจิ้งซูเข้ามายุ่มย่ามกับเธอหลายครั้ง แล้วก่อนหน้านี้ไม่นานยังพยายามแยกเธอออกจากเยี่ยนจิ่วเฉา จิตใจของหานจิ้งซูต้องกว้างใหญ่เพียงใด ถึงรู้สึกดีใจที่ได้พบเธอ?
แต่คราวนี้อวี๋หวั่นอาจเข้าใจผิดหานจิ้งซูจริงๆ ดวงตาของหานจิ้งซูเต็มไปด้วยความปรารถนาดียามที่มองอวี๋หวั่น
หานจิ้งซูเหลือบมองขันทีฉินและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ขันทีฉินเดินนำไปเถิด เรากับพระชายาไม่พบกันนาน จะพูดคุยไถ่ถามเรื่องส่วนตัวกันเสียหน่อย”
ขันทีฉินเกิดความสงสัย สองคนนี้เกือบจะตีกันอยู่แล้ว ยังไถ่ถามเรื่องส่วนตัวกันได้อีกหรือ? เจ้าโง่หรือข้าโง่กันแน่?
ขันทีฉินไม่ได้หวาดกลัวหานจิ้งซู อำนาจแท้จริงของรัชทายาทไม่มีแล้ว ยามนี้ผู้ปกครองประเทศคือเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วเยี่ยนจิ่วเฉาก็เป็นพันธมิตรของฮองเฮา เขายังต้องกริ่งเกรงจวนรัชทายาทอยู่อีกหรือ?
เพียงแต่…อวี๋หวั่นไม่ได้มีท่าทางจะปฏิเสธ จึงทำให้ขันทีฉินไม่อาจอยู่ตรงนี้ต่อไปได้
ขันทีฉินเอ่ยรับคำด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสะบัดพู่จามรีเดินไปตำหนักเฟิ่งชี
อวี๋หวั่นจูงมือเถี่ยตั้นน้อยมาตลอดทาง
เถี่ยตั้นน้อยเป็นเพียงเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ หานจิ้งซูจึงไม่ได้คิดจะให้เขาปลีกออกไป นางมองไปรอบๆ และกระซิบกับอวี๋หวั่น “ขอบใจมากนะพระชายา”
อวี๋หวั่นคิดว่าที่หานจิ้งซูไล่ขันทีฉินไปเพราะมี ‘เรื่องส่วนตัว’ มากมายอยากถามตน เช่นเยี่ยนไหวจิ่งยังวอแวกับตนอยู่หรือไม่ หรือว่าตนจะเปลี่ยนใจไปหาเยี่ยนไหวจิ่งหรือไม่…
แต่หลังจากหานจิ้งซูเอ่ย ‘ขอบใจมากนะพระชายา’ จบแล้ว ก็ทิ้งตนเดินเข้าตำหนักเฟิ่งชีไปเพียงลำพัง
อวี๋หวั่นมีสีหน้าสับสน!
“…”
อุตส่าห์ถอดกางเกงแล้ว แค่ให้มองสิ่งนี้?
อวี๋หวั่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่เข้าใจคำพูดของหานจิ้งซูว่าขอบคุณเรื่องอะไร
“ท่านพี่ ท่านทำอะไรหรือ เหตุใดพระชายารัชทายาทถึงขอบคุณท่าน?” เถี่ยตั้นน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ
อวี๋หวั่นเอ่ย “เจ้าถามได้มีเหตุผลนัก ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน!”
แม้กู่ของหานจิ้งซูตนจะเป็นคนคลาย ทว่าแม้แต่จวินฉางอันก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ หานจิ้งซูที่หมดสติอยู่ยิ่งไม่น่ารู้ได้
…หรือว่านางจะรู้?
ยามที่นางไม่ได้สติ ได้ยินเธอคุยกับชุยเฒ่า? จำเสียงของตนได้?
หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดนางไม่จ่ายค่ารักษาหมื่นตำลึงทองแทนจวินฉางอันให้ตน?
ขอบคุณคำเดียวก็จบแล้วหรือ?
บุตรีจวนมหาเสนาบดีจะตระหนี่เช่นนี้ไม่ได้!
อวี๋หวั่นจับตัวไข่น้อยทั้งสามได้ใกล้กับตำหนักเฟิ่งชี และพาพวกเขาเข้าไปคารวะฮองเฮา
ปีนี้พระพักตร์ฮองเฮายิ่งสดใสชื่นบาน การบำรุงส่งเสริมพลังอำนาจทำให้นางดูอ่อนเยาวว์ลงนับสิบปี หว่างคิ้วเปล่งประกายเจิดจรัส ไหนเลยยังมีคราบของสตรีม่ายแห่งตำหนักเย็นในยามนั้น?
เด็กหญิงตัวเล็กพอๆ กับเถี่ยตั้นที่นั่งอยู่ข้างกายฮองเฮา คือองค์หญิงจิ่วที่ไม่ได้พบกันนาน
หากไม่ได้พบนางที่ตำหนักเฟิ่งชี อวี๋หวั่นคงลืมสาวน้อยขี้อายผู้นี้ไปแล้ว
มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์หญิงจิ่วคือมู่กุ้ยผิน มู่กุ้ยผินจากไปนานแล้ว
องค์หญิงเติบโตขึ้นมาในตำหนักหวังจื่อ ตำหนักหวังจื่อเป็นที่ที่เหล่าองค์ชายและองค์หญิงอาศัยอยู่ องค์ชายและองค์หญิงที่มีสถานะสูงส่งพอจะถูกเหล่าสนมรับไปเลี้ยงดูข้างกาย ส่วนมากที่สถานะไม่สูงส่งก็จะถูกนำไปเลี้ยงที่ตำหนักหวังจื่อ
องค์หญิงจิ่วไม่มีมารดาแท้ๆ คอยดูแล การอาศัยอยู่ในตำหนักหวังจื่อก็ไม่ดีนัก หลังจากฮองเฮาออกจากตำหนักเย็น ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูน่ารักใสซื่อ จึงพานางกลับมาที่ตำหนักเฟิ่งชี
องค์ชายใหญ่แยกออกไปอยู่จวนแล้ว ฮองเฮาก็รู้สึกเงียบเหงาเดียวดาย มีเด็กคนนี้อยู่ข้างกายก็ดี นี่เป็นความตั้งใจเดิมของฮองเฮา แต่หลังจากฮองเฮาค่อยๆ ตระหนักว่าองค์หญิงจิ่วเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ก็ยิ่งชื่นชอบองค์หญิงจิ่วมากขึ้น
อวี๋หวั่นจำได้ว่ายามที่พบกับองค์หญิงจิ่วในตำหนักเฟิ่งชีเป็นครั้งแรก องค์หญิงจิ่วหน้าแดงวิ่งหลบหลังมามา โผล่ออกมาเพียงดวงตากลมโตสดใสแวววาวที่แอบมองเธอ
เธอยิ้มให้องค์หญิงจิ่ว
องค์หญิงจิ่วก็ยิ้มให้เธอ
หลังจากนั้น องค์หญิงจิ่วก็ติดเธอมาก
ขอเพียงยามที่มีเธออยู่ องค์หญิงจิ่วก็จะจูงมือเธอ
ในความทรงจำ องค์หญิงจิ่วเป็นเด็กขี้อายพูดน้อย แต่มีรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ เป็นแม่นางที่น่ารักราวกับเทพธิดา
แต่การได้พบองค์หญิงจิ่วครั้งนี้ ไม่รู้เหตุใดอวี๋หวั่นถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางไม่มีความสุขเช่นเมื่อก่อน ดวงตาของนางดูเฉื่อยชาลงบางครั้ง
อวี๋หวั่นไม่พบเถี่ยตั้นน้อยหนึ่งปีก็ยังใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นเดิม เพราะพวกเขาเป็นญาติทางสายเลือดที่เติบโตมาด้วยกัน เคยพึ่งพาอาศัยกัน เผชิญความยากลำบากและวันเวลาที่ไร้ความช่วยเหลือมาด้วยกัน ความรู้สึกระหว่างพวกเขาจึงเกี่ยวพันแน่นแฟ้นไม่เสี่อมคลาย แตกต่างจากองค์หญิงจิ่ว
ไม่พบกันไม่กี่ครั้ง ความชื่นชอบมากมายเท่าใดในยามนั้น กลับเจือจางไปในช่วงเวลาเพียงปีเดียว
“องค์หญิงจิ่ว นี่คือพี่หวั่นของเจ้า จำได้หรือไม่?” ฮองเฮาจับมือองค์หญิงจิ่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
องค์หญิงจิ่วมองอวี๋หวั่นอย่างงุนงง ดวงตาคล้ายกับมีร่องรอยของความตื่นเต้น แต่เพียงชั่วพริบตามันก็หายไป รวดเร็วจนอวี๋หวั่นคิดว่าตนตาฝาด
องค์หญิงจิ่วหลุบตาลง
ฮองเฮายิ้มแหย “เด็กคนนี้ เหตุใดทำตัวห่างเหินขึ้นมา? ยามนั้นเจ้าโปรดปรานพี่หวั่น คอยเดินตามหลังพี่หวั่นของเจ้าราวกับเป็นหางน้อยๆ”
มามาที่อยู่ข้างๆ เอ่ย “องค์หญิงจิ่วเพิ่งหายจากการป่วยหนัก เกรงว่ายังเหนื่อยอยู่ บ่าวจะพานางกลับไปพักผ่อนเพคะ”
“ก็ดี” ฮองเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมตตา
“องค์หญิงจิ่วไม่สบายหรือเพคะ?” หานจิ้งซูถาม
ฮองเฮาตอบด้วยรอยยิ้ม “นางจับไข้เมื่อไม่กี่วันก่อน ดื่มยาไปแล้วสองสามถ้วย อาการก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกวางยา เป็นอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นแล้วหรือ?”
หานจิ้งซูค้อมกาย “หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้วเพคะ ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เป็นห่วง”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของฮองเฮาก็จางลง “ผู้ใดบังอาจบุกรุกจวนรัชทายาทเวลากลางคืน หวังร้ายต่อจวนรัชทายาท ช่างไม่ละอายใจนัก! จับตัวคนร้ายได้แล้วหรือ?”
“องค์รัชทายาทยังทรงตรวจสอบอยู่เพคะ” หานจิ้งซูกล่าว
เวลานี้ มามาจูงมือองค์หญิงจิ่วลุกขึ้น องค์หญิงจิ่วคำนับฮองเฮา และหันไปคำนับอวี๋หวั่นกับหานจิ้งซูตามมามา จากนั้นก็เดินไปที่โถงด้านข้าง
ฮองเฮาพยักหน้าเอ่ย “รัชทายาทเป็นคนหนักแน่น เขาไม่มีทางปล่อยให้มือสังหารหนีไปแน่”
คำพูดนี้ความหมายลึกซึ้ง ชื่นชมว่าเก่งได้ ว่าขยันได้ แต่หนักแน่นมันเรื่องใดกัน? การจับตัวมือสังหารต้องใช้ความหนักแน่นอันใด? ลงโทษคนชั่วกำจัดคนร้าย ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วหรือ?
อวี๋หวั่นคิดเช่นนั้นในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงดื่มชากุหลาบที่ทำให้เธอโดยเฉพาะอย่างเงียบๆ
หลังจากคารวะฮองเฮาแล้ว เถี่ยตั้นน้อยกับไข่น้อยทั้งสามก็ออกไปเล่นข้างนอก
ฮองเฮาถามอวี๋หวั่นว่าต้องการส่งคนไปดูแลหรือไม่ อวี๋หวั่นบอกไปตามตรงว่าไม่จำเป็น ถึงส่งไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ใดจะดูปีศาจน้อยกลับชาติมาเกิดเหล่านั้นไหว?
แต่เธอได้บอกพวกเขาไว้แล้วว่าห้ามสร้างปัญหาให้กับเธอ
ไข่น้อยทั้งสามพยักหน้าอย่างเชื่อฟังโดยดี
ฮองเฮาไม่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของหานจิ้งซู นี่เป็นความตั้งใจของหานจิ้งซู รอให้ตั้งครรภ์ครบสามเดือนก็ยังไม่สายที่จะประกาศให้ทั่วหล้ารับรู้
ฮองเฮาจึงสนใจแต่เรื่องการตั้งครรภ์ของอวี๋หวั่น ถามว่าอวี๋หวั่นกินเป็นอย่างไร นอนเป็นอย่างไรบ้าง แพ้ท้องหรือไม่
อวี๋หวั่นตอบทีละคำถาม ยามที่เธอตอบ หานจิ้งซูก็ฟังอย่างตั้งใจ
อย่างไรตนก็ท้องเหมือนกัน ได้ฟังประสบการณ์มากๆ ก็ไม่เลว
ขณะที่ทั้งสามสนทนากัน มามาที่ส่งองค์หญิงจิ่วกลับไปพักก็มากระซิบบางอย่างข้างหูฮองเฮา ฮองเฮาพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
มามาถอยจากไป
ฮองเฮาเอ่ยกับอวี๋หวั่นและหานจิ้งซูด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงจิ่วไม่ยอมดื่มยา ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมนาง พวกเจ้านั่งรอกันไปก่อน”
ทั้งสองเอ่ยรับคำอย่างพร้อมเพรียง
หลังฮองเฮาจากไป หานจิ้งซูก็นั่งลงข้างอวี๋หวั่น รินชาดอกไม้ให้อวี๋หวั่นและกระซิบเบาๆ “ฮองเฮาตามเจ้ามา เกรงว่ามีเรื่องในราชสำนักจะหารือกับเจ้า อีกเดี๋ยวเจ้าระวังไว้หน่อย อย่าให้ถูกดึงเข้าไปพัวพันละ”
หา?
หานจิ้งซูกำลัง…ทำอะไรเนี่ย?
ตนกับฮองเฮาเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่หานจิ้งซูกลับเกลี้ยกล่อมให้ตนระวังฮองเฮา ยั่วยุให้แตกคอกันเช่นนี้ก็มีหรือ? กำลังดูถูกความชาญฉลาดของเธอ หรือของตนอยู่กันแน่?
“ข้าไม่ได้คิดร้ายกับเจ้า” หานจิ้งซูกล่าว
แม้ฮองเฮาจะไม่อยู่ แต่ก็ยังมีข้ารับใช้และข้าราชบริพารในห้องโถงอยู่ไม่น้อย เสียงของหานจิ้งซูแผ่วเบา แต่เพียงพอให้นางและอวี๋หวั่นได้ยิน
อวี๋หวั่นลูบคาง “เจ้าไม่ได้คิดร้ายกับข้า เช่นนั้นเจ้ากำลังช่วยข้าหรือ?”
หานจิ้งซูเอ่ย “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ทว่าอีกเดี๋ยวฮองเฮาตรัสสิ่งใดมา เจ้าก็อย่าได้รีบร้อนตอบตกลงแล้วกัน”
อวี๋หวั่นหรี่ตามองนาง “คุณหนูหาน เจ้าห่วงใยข้าเช่นนี้ ทำให้ข้าสงสัยว่าเจ้ามีแรงจูงใจอื่น เจ้าบอกความจริงกับข้ามา เจ้า…ชอบข้าใช่หรือไม่?”
……………………