หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 35.3 อาหวั่นเข้าวัง พี่จิ่วจอมโหด! (3)
หานจิ้งซูที่เพิ่งรินชาดอกไม้ดื่มไปหนึ่งคำ ถูกวาจาของอวี๋หวั่นทำให้ตกใจ…พ่นพรวดออกมา
“เจ้า…” หานจิ้งซูสำลักจนหน้าแดง
อวี๋หวั่นกลอกตา “ดูเจ้าสิ หน้าแดงหมดแล้ว เจ้าชอบข้าจริงๆ ด้วย!”
ฟันเงางามของหานจิ้งซูขบเขี้ยวกันแทบแตก นี่ นี่มันคำพูดบ้าบออันใด? นี่เป็นสิ่งที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ควรพูดหรือ?
“ข้าไม่ได้ชอบ!” หานจิ้งซูตะคอกเบาๆ
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ากำลังตอบแทนข้า?”
“อื้อ” หานจิ้งซูยอมรับอย่างลืมตัว หลังจากยอมรับก็ตระหนักได้ว่าตนถูกอวี๋หวั่นใช้กลอุบาย
นางผงะ มองอวี๋หวั่นอย่างเหลือเชื่อ ราวกับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร และราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงคิดกลวิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้
เวลานี้เองจู่ๆ อวี๋หวั่นก็ตะโกนว่า “ไอ้หยา! ข้าได้ยินเสียงลูกร้องไห้! คงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในตำหนักเฟิ่งชีของพวกเจ้ากระมัง?”
ผู้คนในตำหนักตกใจสีหน้าเปลี่ยน พระชายาโปรดเอ่ยวาจาดีๆ สิ่งใดที่เรียกว่าเกิดเรื่องขึ้นในตำหนักเฟิ่งชีของเรา หากแพร่สะพัดออกไป พวกเราคงไม่รู้จะอธิบายกับฝ่าบาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างไร
เวลานี้ไหนเลยผู้คนในตำหนักจะยังมีกะจิตกะใจรับใช้อวี๋หวั่นกับหานจิ้งซู ทั้งหมดต่างก็วิ่งกรูออกไปตามหาไข่ดำน้อยที่ไม่รู้ว่าไปซุกซนอยู่ที่ใด
บรรดาข้าหลวงไปหมดแล้ว อวี๋หวั่นที่ตะโกนว่าบุตรของตนร้องไห้กลับนั่งจิบชาดอกไม้อย่างสบายใจ
หานจิ้งซูจึงเข้าใจว่าเหล่าข้าหลวงก็ถูกสตรีผู้นี้หลอกล่อเช่นกัน
จริงๆ แล้วการแสดงของอวี๋หวั่นดุดันเร่าร้อนมาก อย่างน้อยหานจิ้งซูก็คิดเช่นนั้น แต่ร่างกายของเธอกลับมีกลิ่นอายกดข่มราวกับกำลังพูดว่า มั่นใจว่าบุตรของข้าไม่ได้ร้องไห้อย่างนั้นหรือ? อยากเดิมพันสักตาดูไหมละ? หากเจ้าแพ้ก็ตัดหัวทั้งโคตร!
ข้าหลวงกล้าเดิมพันสิแปลก
ห้องโถงใหญ่เหลือเพียงพวกนางสองคน อวี๋หวั่นเอ่ยเข้าประเด็น “เอาละหานจิ้งซู พวกเราตรงไปตรงมาไม่พูดจาอ้อมค้อม เจ้ารู้แล้วหรือว่าผู้ใดเป็นคนแก้พิษให้เจ้า?”
มาถึงจุดนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว
หานจิ้งซูพิจารณาถึงหลายสิ่ง ความจริงนางไม่อยากเจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง[1]ผืนนี้ของนางกับอวี๋หวั่น แต่เมื่อทราบถึงไหวพริบของอวี๋หวั่น นางก็รู้สึกว่าต่อให้นางไม่อยากเจาะ อวี๋หวั่นก็จะทำทุกทางเพื่อเจาะมันให้ได้
หานจิ้งซูเอ่ยอย่างใจเย็น “ใช่ ข้ารู้แล้ว แม้ว่าสองวันนั้นข้าจะไม่ได้สติ แต่สมองของข้ายังรับรู้ทุกอย่าง ข้าได้ยินที่เจ้าคุยกับหมอเทวดาชุยแล้ว”
“เจ้าได้ยินมากเพียงใด?” อวี๋หวั่นถาม
“ข้าได้ยินทั้งหมด” หานจิ้งซูเอ่ย “เจ้าเรียกหมอเทวดาชุยว่าชุยเฒ่า และเหมือนว่ายังมีบุคคลที่สาม แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด”
หานจิ้งซูไม่ได้ตั้งใจจะถามว่าบุคคลที่สามนั้นคือใคร ถึงถามไปก็คิดว่าอวี๋หวั่นไม่มีทางบอกนางอยู่ดี
ดวงตาของอวี๋หวั่นกลิ้งไปมา ตนพูดกับสัตว์พิษตัวน้อย แต่หานจิ้งซูคิดว่าตนพูดกับคน ดูเหมือนว่าหานจิ้งซูยังไม่รู้ตัวตนของสัตว์พิษตัวน้อย รู้เพียงความสัมพันธ์ของตนกับชุยเฒ่า และเรื่องที่ตนต้องฆ่ามือสังหารเพื่อคลายกู่ให้นาง
ตัวตนของสัตว์พิษตัวน้อยยังไม่ถูกเปิดเผยก็ดีแล้ว ยามจำเป็น เปิดเผยความลับเล็กน้อย รักษาความลับที่ยิ่งใหญ่ก็นับเป็นการเลือกภัยร้ายที่รุนแรงน้อยกว่า
อวี๋หวั่นจิบชาและเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าสนใจว่าบุคคลที่สามเป็นใคร เจ้าได้ยินมากเช่นนั้น คงเดาว่าข้ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชุยเฒ่าออก?”
“อื้ม” หานจิ้งซูพยักหน้า
อวี๋หวั่นเอ่ยต่อ “ความสัมพันธ์ระหว่างชุยเฒ่ากับรัชทายาทเป็นอย่างไร เจ้าก็รู้?”
หานจิ้งซูตอบตามความจริงอย่างไม่ปิดบัง “ข้ารู้ว่าหมอเทวดาชุยเคยเป็นหมอหลวงและถูกสวี่เสียนเฟยใช้งาน ต่อมาได้ลาออกจากตำแหน่งหมอหลวง ออกไปใช้ชีวิตสมรรถะข้างนอก แต่จากนิสัยของสวี่เสียนเฟย หากตรึงคนผู้นี้ไว้ไม่ได้ ก็จะไม่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างมีลมหายใจ”
อวี๋หวั่นทอดถอนใจเบาๆ “จริงๆ เจ้าก็รู้จักแม่สามีเจ้าเป็นอย่างดี ใช่ เขาเคยเป็นคนของรัชทายาท ทว่ายามนี้ เขาเป็นคนของเรา หากเจ้าอยากบอกรัชทายาทก็บอกเถอะ”
อวี๋หวั่นกล่าวเช่นนั้น แต่ในใจกลับรู้ดีว่าหานจิ้งซูไม่มีทางไปฟ้องเยี่ยนไหวจิ่ง
หากนางอยากฟ้อง คงฟ้องทันทีที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
นางเอ่ยขอบคุณตนนอกตำหนักเฟิ่งชี จากนั้นก็เตือนตนให้ระวังฮองเฮา เห็นชัดๆ ว่านางอยากตอบแทนคุณที่ตนช่วยชีวิตนางไว้
ต่อไปในอนาคตพวกนางจะทะเลาะกันหรือไม่ยังบอกยาก แต่อย่างน้อยยามนี้อวี๋หวั่นมั่นใจว่าหานจิ้งซูจะไม่คิดร้ายกับตน
เช่นนั้น สิ่งที่หานจิ้งซูพูดก็เป็นความจริง ฮองเฮากำลังวางแผนใช้อุบายกับตน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกห้องโถง ฮองเฮากลับมาแล้ว!
หานจิ้งซูรีบหยิบแก้วที่ตนดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้วกลับไปที่เก้าอี้ตรงข้ามอวี๋หวั่น
“นี่! ทอง!” อวี๋หวั่นนึกสิ่งที่สำคัญที่สุดขึ้นได้ ชี้ไปที่นางอย่างไร้เสียง
หานจิ้งซูขมวดคิ้วสับสน ทำปากเป็นคำว่า “อะไรนะ?”
“ทอง!” อวี๋หวั่นชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว และเอ่ยไม่มีเสียงว่า “หนึ่งหมื่นตำลึง! ไม่รับการขอบคุณปากเปล่า!”
“อะไรนะ?” หานจิ้งซูสับสน
ฮองเฮาเดินเข้ามา
อวี๋หวั่นหมดหวังแล้ว
ทองของเธอ เหตุใดถึงได้ยากเย็นเช่นนี้!
ยามที่ฮองเฮาเข้าตำหนักมา พบว่าบรรดาข้ารับใช้ต่างก็ไม่อยู่แล้ว จึงอดถามไม่ได้ “ไปที่ใดกันหมด?”
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “เหมือนพวกนางได้ยินเสียงร้องไห้ของต้าเป่ากับน้องชายอีกสองคน ก็เลยไปตามหาเพคะ”
พระพักตร์ฮองเฮาผ่อนคลายลง หันไปพูดกับหานจิ้งซู “นานๆ เจ้าจะเข้าวังมาสักครา ไปเยี่ยมเยียนเสียนเฟยสักหน่อยเถิด นางคิดถึงเจ้า”
อวี๋หวั่นกัดปากมองหานจิ้งซู
เครื่องรูดบัตร
อยู่ตรงนี้เลยนะ!
ให้ทองกับข้าก่อนแล้วค่อยไป!
“เพคะ” หานจิ้งซูคารวะฮองเฮาอย่างเคารพนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไปช้าๆ
อวี๋หวั่นรู้สึกวิญญาณว่างเปล่า ทรุดตัวลงกับที่นั่งอย่างอ่อนแรง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า หลังจากหานจิ้งซูไปเยี่ยมสวี่เสียนเฟยแล้วจะเดินทางกลับบ้านทันที ทองคำหมื่นตำลึงของเธอ…หลุดมือไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
การมาของหานจิ้งซูครั้งนี้ เหมือนให้ความหวังอวี๋หวั่นอีกครั้ง และทำให้ความหวังนั้นกลายเป็นความสิ้นหวังอีกครั้ง อวี๋หวั่นอารมณ์ขุ่นมัว ไม่มีเวลาสนใจฮองเฮา
“อาหวั่น…” ฮองเฮายิ้ม ในที่สุดก็เริ่มเข้าประเด็นสำคัญกับอวี๋หวั่น
หานจิ้งซูพูดถูก น้ำเสียงฮองเฮา แค่ฟังก็รู้ว่าจะใช้อุบายกับตน และอวี๋หวั่นไม่ใช่คนที่จะประนีประนอมกับอุบาย ในเมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน “ฮองเฮา หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว วันนี้ต้องขอทูลลาก่อน แล้วจะมาเยี่ยมท่านใหม่”
ยามเอ่ยก็แสร้งทำท่าแบกท้องของตน ราวกับบอกว่า ‘ข้าใกล้คลอดบุตรแล้ว อยู่ต่อไม่ไหวจริงๆ รีบปล่อยข้ากลับไป ไม่เช่นนั้นข้าจะเบ่งคลอดให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้’
ฮองเฮาตะลึงงัน เมื่อครู่เจ้าลุกขึ้นยืนง่ายดายยิ่งกว่าคนไม่ท้องเสียอีก เหตุใดเวลาหนึ่งประโยคราวกับท้องหนักขึ้นมาหลายสิบจิน?
แม้ว่า…ตามอายุตั้งครรภ์ของอวี๋หวั่น อาการตอนนี้นับเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาคือตั้งแต่อวี๋หวั่นเข้าตำหนักเฟิ่งชีก็ไม่เคยมีอาการปกติเช่นนี้ ยังเดินปร๋อดุจสายลมพัด คนที่รู้ก็บอกว่าเธอตั้งครรภ์ แต่หากไม่รู้คงคิดว่าเธอแค่ยัดหมอนสักใบไว้ใต้เสื้อผ้า!
บัดนี้ฮองเฮาไม่อาจสนใจจัดการกับความสับสนในหัว นางลุกขึ้นมองอวี๋หวั่นแน่นิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นกันเอง “ข้าให้ห้องครัวจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว เที่ยงนี้อยู่กินอาหารที่ตำหนักเฟิ่งชีเถิด”
ใบหน้าของนางคลี่ยิ้มละมุน ดวงตาอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับชัดเจนว่าไม่อาจปฏิเสธ
นี่กำลังใช้ฐานะฮองเฮากดดันเธออยู่หรือ?
อวี๋หวั่นอยากจะหัวเราะ
ไม่พบกันหนึ่งปี ฮองเฮาก็เหลิงลำพองเสียแล้ว นางคงลืมไปว่าผู้ใดเป็นคนดึงนางออกจากตำหนักเย็น
“ฮองเฮา…ตรัสสิ่งใดนะเพคะ?” อวี๋หวั่นมองฮองเฮาด้วยรอยยิ้มจางๆ
เวลานี้กลิ่นอายของอวี๋หวั่นแปรเปลี่ยนไป
ใบหน้าของเธอยังคงยิ้ม แต่กลับแผ่กลิ่นอายวางอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฮองเฮา
ฮองเฮาใจเต้นกระตุก นางเข้าใจว่าไม่ควรยกตนข่มท่าน แต่นางเป็นถึงฮองเฮา เหตุใดจะใช้ฐานะกดข่มผู้คนไม่ได้!
ฮองเฮาตรัสเสียงขรึม “ข้าบอกให้เจ้าอยู่กินอาหารกับข้า!”
“แล้วหากหม่อมฉันไม่อยู่ละเพคะ” อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างเมินเฉย
ฮองเฮาบีบนิ้ว “อาหวั่น เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าโปรดปรานเจ้ามาก…”
อวี๋หวั่นขัดคำพูดนาง “มีคนมากมายชื่นชอบหม่อมฉัน แต่ก็มิใช่ว่าทุกคนเชิญหม่อมฉันทานอาหาร แล้วหม่อมฉันต้องตกลง”
ฮองเฮาแววตาเย็นชา เอ่ยเน้นคำพูด “ข้าคือฮองเฮา!”
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าคือพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์!”
คำว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทำให้ฮองเฮาสำลักจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก ทีแรกเยี่ยนไหวจิ่งใช้อำนาจในฐานะองค์ชายปกครองประเทศ ขณะนั้นนางยังสามารถว่าราชการหลังม่าน ในราชสำนักนางไม่อาจเอาชนะเยี่ยนไหวจิ่ง ยามนี้ฮ่องเต้ได้ประกาศแต่งตั้งเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่เพียงแต่ยึดอำนาจในการกำกับดูแลประเทศของเยี่ยนไหวจิ่งเท่านั้น แต่ยังยกเลิกบทบาทการว่าราชการหลังม่านของนางไปด้วย นี่หมายความว่าอย่างไรละ?
ก็หมายความว่าต่อให้นางกับเยี่ยนไหวจิ่งร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจสยบเยี่ยนจิ่วเฉาได้!
อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินตกไปอยู่ในมือของเยี่ยนจิ่วเฉา ด้วยเหตุนี้อวี๋หวั่นจึงกลายเป็นฮองเฮาไร้มงกุฎตัวจริง
ไม่ใช่ฮองเฮาไม่เข้าใจจุดนี้ เพราะเข้าใจ นางจึงเริ่มต้นอย่างสุภาพ เป็นอวี๋หวั่นที่ไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย จึงทำให้นางโมโห
หากเป็นยามที่เพิ่งออกจากตำหนักเย็น นางไม่มีทางทำเกินไปเช่นนี้ แต่หนึ่งปีมานี้นางผ่านมาได้อย่างราบรื่นและเป็นไปด้วยดีอย่างมาก มีอำนาจเรียกลมเรียกฝน จึงทำให้นางค่อยๆ หลงลืมตนไปบ้าง
อวี๋หวั่นมองฮองเฮาด้วยสายตาเฉยเมย “ฮองเฮา คนเราไม่รู้จักบุญคุณได้ แต่ไม่อาจไม่รู้จักตนเอง จัดการให้ดีเถิด”
น้ำเสียงอวี๋หวั่นค่อนข้างหนักแน่น หากนางเป็นเพียงเสด็จแม่ของเธออย่างบริสุทธิ์ใจ อวี๋หวั่นคงไม่หยาบคายเช่นนี้ แต่เห็นๆ ว่านางเป็นจิ้งจอกตาขาวอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ตอนนั้นพวกเขาดึงนางออกมาจากตำหนักเย็นอย่างไร เกรงว่านางคงลืมไปหมดแล้ว
ระหว่างพวกเขามีเพียงข้อตกลง อย่าได้คิดยกฐานะฮองเฮามากดเธอ และยิ่งอย่าได้ฉวยโอกาสที่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่ วางกลอุบายกับเธอ ในเมื่อมีใจคิดร้ายกับเธอแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมใจถูกเธอตบได้เลย
ฮองเฮากัดฟัน “เจ้าช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง…หากแพร่ออกไปไม่กลัวคนทั่วทั้งใต้หล้าจะก่นด่าสาปแช่งเอาหรอกรึ?”
อวี๋หวั่นหัวเราะเยาะ “เกรงว่าฮองเฮาคงไม่ได้เข้าใจผิดเกี่ยวกับที่ต่ำที่สูงหรอกกระมัง ฮองเฮาพระองค์หนึ่งซึ่งไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง มีสิทธิ์อันใดบอกให้ข้ารู้จักที่ต่ำที่สูง?”
ความจริงไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแต่มีคดีฉ้อโกงหนึ่งเกิดขึ้นในราชสำนัก มีความพัวพันกว้างขวาง คดีนี้ถูกนางว่าราชการหลังม่านระงับให้เงียบลง บัดนี้ไม่รู้ว่าคนไม่คิดชีวิตคนใดสะกิดมันขึ้นมาอีกครั้ง จนไปถึงมือของเยี่ยนจิ่วเฉา
ฮองเฮาเชื่อว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่คนโง่ และจะไม่ทำอะไรคนตระกูลหม่าง่ายๆ อย่างไรเสียนางกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็เป็นฝ่ายเดียวกัน กำลังของฝ่ายมารดานางก็คือกำลังของเยี่ยนจิ่วเฉา หากทำอะไรลูกพี่ลูกน้องของนางจะไม่เป็นการหักปีกเยี่ยนจิ่วเฉากลายๆ หรอกหรือ?
แต่เยี่ยนจิ่วเฉาผู้นี้จัดการเรื่องราวไม่เหมือนใคร นางกังวลว่าลูกพี่ลูกน้องของนางจะเอ่ยสิ่งที่ไม่ควร ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาขุ่นเคือง นางจึงต้องการระบายกับอวี๋หวั่นก่อนและให้อวี๋หวั่นเป่าหูเยี่ยนจิ่วเฉา ให้เมตตาคนตระกูลหม่าสักครั้ง
ยักยอกเงินเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง! เดิมทีก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่หรือ? แต่เหตุใดสุดท้าย…กลายเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องแตกหักกัน?
สตรีผู้นี้ทำให้นางโกรธ!
เรื่องเล็กน้อยทำให้ใหญ่โตจนแทบหมดหนทางจะหวนกลับ!
ในที่สุดฮองเฮาก็คิดได้ นางตัดสินใจที่จะรักษาความสัมพันธ์ของทั้งคู่
นางสูดหายใจระงับไฟโทสะที่โหมกระพือ ฝืนเกร็งใบหน้ายิ้ม “อาหวั่น เจ้าอายุยังน้อย อารมณ์ร้อน ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว บอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ครอบครัวเดียวกัน โกรธกัน ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป”
อวี๋หวั่นยิ้ม “ฮองเฮาหมายความว่า…เป็นความผิดของหม่อมฉันหรือเพคะ? แล้วฮองเฮาที่ยิ่งใหญ่เช่นท่านก็ไม่เอาเรื่องหม่อมฉัน ช่างเป็นมารดาของแผ่นดินเสียจริง”
“อาหวั่น!” ฮองเฮาจ้องมองเธอ ระงับความโกรธเดินไปข้างหน้า จับมืออวี๋หวั่น เป็นการอภัยครั้งสุดท้าย แต่กลับไม่คาดคิด ขันทีฉินกระวีกระวาดเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“ฮองเฮา!” ขันทีฉินคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลนองหน้า!
“มีเรื่องอันใด?” ฮองเฮาถามเสียงเข้ม
ขันทีฉินมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองฮองเฮาแล้วเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นขมขื่น “ใต้เท้าหม่า…ใต้เท้าหม่าถูกตัดเอวพ่ะย่ะค่ะ!”
ใต้เท้าหม่า ลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮาที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมคลัง เพื่อมอบตำแหน่งนี้แก่ลูกพี่ลูกน้องของตน ฮองเฮาใช้เส้นสายไปไม่น้อย และยังบังคับให้ย้ายอดีตผู้ช่วยเจ้ากรมคลังคนเก่าด้วย
เดิมทีคิดว่าตระกูลหม่าจะสามารถพึ่งพาความสัมพันธ์นี้ไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้น แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน หม่าซื่อหลางก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาตัดเอว?!
ฮองเฮารู้สึกโลกหมุน เลือดทั้งร่างกำลังแข็งตัว!
ตัดเอว!
ตัดเอวอย่างนั้นหรือ!
สิ่งที่น่ากลัวของการตัดเอวคือคนที่ถูกประหารชีวิตจะไม่ตายทันทีหลังจากถูกตัดเอวจนขาด เหยื่อจะดิ้นไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวดเป็นเวลาครึ่งชั่วยามกว่าจะสิ้นใจ!
ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวอะไรเพียงนั้น?
และเพราะการตัดเอวนั้นโหดร้ายเกินไป จึงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนยกเลิกไปแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของนางทำสิ่งใดกันแน่ถึงถูกเยี่ยนจิ่วเฉากระทำอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!
อวี๋หวั่นเชื่อในตัวเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาดูคล้ายกับไม่จริงจัง แต่สำหรับความยุติธรรมแล้วเขาไม่เคยล้อเล่นมาก่อน คนที่ถูกเขาสับเอวได้ต้องทำสิ่งชั่วร้ายเกินอภัย!
……………………………