หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 37 ผู้คนสุขสันต์!
หลังออกจากตำหนักจินหลวน อารมณ์ของเยี่ยนไหวจิ่งซับซ้อนสับสน
ด้านหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาทำในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ เขารู้สึกอิจฉา อีกด้านหนึ่งหม่าซื่อหลางกับฮองเฮาเป็นญาติเชื้อสายเดียวกัน เยี่ยนจิ่วเฉากับฮองเฮาก็เป็นฝั่งเดียวกัน นี่จะไม่เป็นการหักปีกตนเองหรอกหรือ? หากบอกว่ามีคนรายงานเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้ง เยี่ยนจิ่วเฉาก็อาจจำต้องตัดสินโทษเนื่องจากแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่นี่กลับเป็นเขาที่เปิดโปงคดีด้วยตนเอง
เขาไม่หวาดหวั่นยำเกรงสิ่งใดเช่นนี้เชียวหรือ?
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยยกโทษให้หม่าซื่อหลาง แต่ดีร้ายอย่างไรก็น่าจะรายงานฮองเฮาล่วงหน้า เพื่อเห็นแก่หน้านางสักหน่อยมิใช่หรือ?
นี่ไม่พูดอะไรสักคำก็ฆ่าคนไปแล้ว!
ไม่สิ ตัดเอวแล้ว!
รูปแบบที่เขาไม่อาจทำ เยี่ยนจิ่วเฉากลับทำลงไปทั้งหมด!
แม้จะริษยาแทบตายอย่างไร แต่เยี่ยนไหวจิ่งก็ต้องยอมรับ ว่าหลังจากหม่าซื่อหลางถูกตัดเอว ความโกรธแค้นที่คับแน่นในอกมานานหลายเดือนของเขาก็ได้ปะทุพรั่งพรูออกมาในที่สุด
…ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าไปในรถม้าก็พบว่าอวี๋หวั่นมารอเขาอยู่แล้ว อวี๋หวั่นมองเขาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาว
“มาแล้วหรือ? ข้ารออยู่นานแล้ว!” อวี๋หวั่นกล่าว
นี่คือเรื่องจริง เมื่อเธอออกจากตำหนักเฟิ่งชี เขาก็เพิ่งลงโทษจัดการกับหัวโจกของคดีเสร็จ แต่หลังจากหม่าซื่อหลางก็ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน เขาไล่จัดการทีละคน อวี๋หวั่นเฝ้ารออยู่ในรถม้า และไม่หวังว่าตนจะหลับไป ไม่รู้ว่าทนลำบากมากเพียงใด
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งลงข้างเธอ ชะงักและถามว่า “ฮองเฮาเรียกเจ้ามาหรือ?”
อวี๋หวั่นทำปากมุ่ย “เหตุใดไม่คิดว่าข้าจะคิดถึงท่าน แล้วมารับท่านด้วยตนเองบ้างเล่า?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองขนมที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งบนโต๊ะ กับของเล่นเล็กๆ สองสามชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น “พวกต้าเป่าก็คิดถึงข้าด้วยหรือ?”
อวี๋หวั่น”…”
ลืมเก็บของของเด็กๆ ไปเลย!
ไข่น้อยทั้งสามกับเถี่ยตั้นน้อยกลับจวนไปก่อนแล้ว อวี๋หวั่นรอเขาอยู่ที่นี่เพียงลำพังเพื่อให้เขาประหลาดใจ แต่ผู้ใดให้เขาร้ายกาจเช่นนี้ เดาออกไปเสียทุกอย่าง
“คนของฮองเฮาทำผิดร้ายแรงเพียงใดกัน?” อวี๋หวั่นถาม เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าใต้เท้าหม่าถูกตัดเอวก็เป็นลมไปด้วยความโกรธ เธอไม่มีอารมณ์จะอยู่ดูแลนางที่ตำหนักเฟิ่งชี จึงพาเถี่ยตั้นน้อยกับไข่น้อยทั้งสามออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกอวี๋หวั่นเกี่ยวกับหม่าซื่อหลางโดยไม่คิดจะปกปิด เขาไม่ได้บอกเธอในตอนที่อยู่บนเรือ หนึ่งเพราะเธอหลับไปแล้ว สองเพราะนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่หากเธอถาม เขาก็จะไม่โกหก
“สารเลวยิ่งนัก! ฆ่าไปเสียก็ดี!” อวี๋หวั่นกำหมัด
หากสตรีทั่วไปได้ฟังเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ และแน่นอนหากสามีทั่วไปได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของภรรยา ก็ย่อมไม่มีทางมีปฏิกิริยาเช่นที่เยี่ยนจิ่วเฉากำลังจะแสดงออก
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบหัวของอวี๋หวั่นอย่างพึงพอใจ “ไม่ต้องเสียดายที่ไม่ได้เห็น ยังมีคนที่ต้องถูกแล่เนื้อเถือหนัง น่าดูกว่าตัดเอวเสียอีก คราหน้าข้าจะพาเจ้าไปดู”
อวี๋หวั่น “อื้ม!”
อิ่งลิ่วที่อยู่นอกรถ “…”
อิ่งสือซันที่อยู่นอกรถเช่นกัน “…”
…
เหตุการณ์ของหม่าซือหล่างสร้างความฮือฮาไม่น้อย ระหว่างทางกลับจวน ได้ยินคนคุยกัน บ้างก็ว่าหม่าซื่อหล่างสมควรตาย บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์เยี่ยนจิ่วเฉาว่าเป็นจอมเผด็จการ อวี๋หวั่นรู้ดีว่าหัวใจของสามีตนไม่ได้เปราะบางเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ เธอเองก็ยังอยากจะกระโดดลงไปเถียงคนดูสักตั้ง
เป็นอะไรไป?
ไอ้สัตว์ร้ายอย่างหม่าซื่อหลางรังแกชาวบ้านกับสตรีบริสุทธิ์ไปตั้งเท่าไร พอถูกตัดเอวก็รู้สึกสงสารขึ้นมา พวกคนที่ถูกเขาฆ่าหรือทำร้ายมาทั้งชีวิตไม่น่าสงสารหรอกหรือ?
น่าโมโหนัก!
อวี๋หวั่นบีบนวดสัตว์พิษตัวน้อยด้วยความโกรธจนมันมึนหัวตาลาย แต่เมื่อเธอหันไปก็เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่ดูเหมือนกำลังเพลิดเพลิน
“ท่าน…มีความสุขเรื่องใดกัน?” อวี๋หวั่นถามด้วยความฉงน
“เมื่อครู่คนพวกนั้นเรียกข้าว่าอะไรนะ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“เผด็จ…จอมเผด็จการ” อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวจะทำให้เขาหงุดหงิด
ริมฝีปากของเยี่ยนจิ่วเฉายกขึ้นเล็กน้อย “แล้วก่อนหน้านี้พวกเขาเรียกข้าว่าอะไร?”
อวี๋หวั่นกระแอมในลำคอ “เจ้าบ้า?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วและพูดอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าดูสิ ในที่สุดคุณชายผู้นี้ก็ไม่เด็กแล้ว!”
อวี๋หวั่น “…”
อวี๋หวั่นถูกปั่นป่วนอารมณ์อยู่หลายครั้งจากความคิดของบุรุษผู้นี้ กระทั่งลืมเอ่ยถึงเรื่องที่หานจิ้งซูเตือนให้เธอระวังฮองเฮา เธอไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดหานจิ้งซูถึงรู้การเคลื่อนไหวของเยี่ยนจิ่วเฉาได้ล่วงหน้า เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก
เยี่ยนจิ่วเฉาว่าราชการเช้า ยามที่หานจิ้งซูเข้าวัง ขุนนางที่ควรถูกจับกุมก็ถูกจับกุมไปเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ใส่ใจกับความเคลื่อนไหวใดๆ ในท้องพระโรงจึงไม่รู้เรื่อง แต่เป็นไปได้มากว่าทันทีที่หานจิ้งซูเข้าวังก็จะถามถึงสถานการณ์ในตำหนักจินหลวน
สิ่งที่เธอต้องการบอกเยี่ยนจิ่วเฉาคือ หานจิ้งซูติดหนี้ทองคำหมื่นตำลึงของเธออยู่!
แต่เธอก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้ไขว้เขว จนกระทั่งเข้าจวนก็ยังนึกเรื่องนี้ไม่ออก
ตกกลางคืน ครอบครัวทานอาหารเย็นที่เรือนฝั่งเยี่ยนอ๋อง
วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาสร้างเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องจะมีความคิดเห็นหรือไม่ หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว เยี่ยนอ๋องก็เรียกพวกเขาสองคนไว้ แต่เมื่อเขาเอ่ยปากกลับไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของวันนี้ “วันนี้เสี่ยวเป่ากลับมา เล่าเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง”
“เรื่องอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
เยี่ยนอ๋องชะงักแล้วเอ่ยต่อ “เสี่ยวเป่าบอกว่าเขาเห็นขันทีรังแกองค์หญิงจิ่ว”
“เขาจำองค์หญิงจิ่วได้ด้วยหรือ?” ปฏิกิริยาแรกของอวี๋หวั่น คือองค์หญิงจิ่วกับไข่น้อยทั้งสามดูเหมือนพบกันเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น? ผ่านไปหนึ่งปีแล้วยังจำได้อยู่หรือ?
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “เอ่ยถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกท่าทีขององค์หญิงจิ่วในวันนี้ขึ้นได้ ช่างแตกต่างจากเดิมนัก ดูหงอยเหงาเศร้าสร้อย แต่ภายหลังฮองเฮาบอกว่านางป่วย ข้าก็เลยไม่ได้คิดสิ่งใดมาก แปลกจริง ฮองเฮาเป็นคนรับองค์หญิงจิ่วกลับมาที่ตำหนักเฟิ่งชีด้วยตนเอง คนในวังเหล่านั้นกล้ารังแกนางได้อย่างไร?”
“หรือว่า……เสี่ยวเป่าจะเข้าใจผิด” เยี่ยนอ๋องกล่าว
องค์หญิงจิ่วเป็นธิดาของฮ่องเต้ หากกล่าวถึงสายเลือดก็เป็นหลานสาวของเยี่ยนอ๋อง แต่เยี่ยนอ๋องไม่เคยอยู่กับพวกเขา และส่วนมากก็ยังไม่เคยพบกันมาก่อน ย่อมไม่ได้มีความรักความผูกพันมากนัก เพียงแต่เมื่อคิดว่าเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ถูกรังแก เยี่ยนอ๋องก็รู้สึกสงสาร
เรื่องของวังหลัง ปกติแล้วเยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เพราะเยี่ยนอ๋องกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาจึงให้ความสนใจด้วยเช่นกัน
ในตอนกลางคืน เยี่ยนจิ่วเฉาให้อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วไปที่วังหลวง
คืนนี้เพราะเอาแต่คิดเรื่ององค์หญิงจิ่ว อวี๋หวั่นจึงอดตาหลับขับตานอนจนกระทั่งทั้งสองกลับมา
ทั้งสองก้าวเข้ามาในห้อง ยกมือโค้งคำนับ “คุณชาย ฮูหยินน้อย!”
“เป็นอย่างไรบ้าง? เห็นองค์หญิงจิ่วหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
สีหน้าอิ่งสือซันดูซับซ้อนเล็กน้อย “…เห็นขอรับ”
“มีคนรังแกนางจริงหรือ?” อวี๋หวั่นถามอีกครั้ง
อิ่งสือซันพยักหน้า
อิ่งลิ่วพูดอย่างโกรธเคือง “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ หลังจากฮ่องเต้ประชวรหนัก องค์หญิงจิ่วก็สูญเสียความโปรดปราน หลังจากสูญเสียความโปรดปราน องค์หญิงจิ่วก็ไม่มีค่าใดๆ ในสายตาของฮองเฮา ฮองเฮาไม่ได้ดูแลนางดีเช่นแต่ก่อน ทว่าสิ่งที่ทำให้สถานการณ์ของนางแย่ลงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
อิ่งลิ่วเอ่ยพร้อมเงยหน้าขึ้นมองอวี๋หวั่น “ฮูหยินน้อยยังจำได้หรือไม่ว่าก่อนที่เราจะออกจากต้าโจว พระชายาชิ่งทรงตั้งครรภ์?”
“อ้า ใช่ มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ ยามนั้นนางยังไม่ได้เป็นพระชายาชิ่ง แต่เป็นพระชายาองค์ชายใหญ่” อวี๋หวั่นจำได้แล้ว หลังจากเธอแต่งงานไม่นานก็เดินทางเข้าวังไปถวายพระพรฮองเฮาในยามนั้น และได้พบพระชายาองค์ชายใหญ่ นางเป็นสตรีหน้าตาอ่อนโยน อบอุ่นสง่างาม แต่น่าเสียดายที่ชาติกำเนิดไม่สูงส่ง
อวี๋หวั่นไม่ได้คิดว่าการเกิดมาต่ำต้อยเป็นเรื่องที่ผิด แต่ในสายตาของฮองเฮาผู้ทะเยอทะยาน เกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
อิ่งลิ่วกล่าวต่อว่า “แต่เดิมฮองเฮารังเกียจชาติกำเนิดของพระชายาชิ่ง หากพระชายาชิ่งสามารถให้กำเนิดหลานชายแก่ฮองเฮาได้ ฮองเฮาก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่น่าเสียดายที่นางให้กำเนิดบุตรี”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “แล้วเกี่ยวกับองค์หญิงจิ่วอย่างไร?”
อิ่งลิ่วเอ่ยว่า “ว่ากันว่าครั้งหนึ่งพระชายาชิ่งอุ้มท้องไปถวายพระพรฮองเฮา ฮองเฮาถามองค์หญิงจิ่วด้วยรอยยิ้มว่าตู้โตวสีใดงดงาม สีแดงหรือสีน้ำเงิน? องค์หญิงจิ่วเอ่ย “สีแดงเพคะ สีแดงงดงาม! เข้ากับน้องสาวยิ่งนัก!”
องค์หญิงจิ่วเป็นน้องสาวของพระชายาชิ่ง เด็กคนนั้นก็น่าจะเป็นหลานสาวของนาง แต่ยามนั้นนางยังอายุไม่ถึงเจ็ดขวบ ไม่อาจแยกแยะสิ่งนี้ จึงรู้เพียงน้องชายกับน้องสาวเท่านั้น
พระพักตร์ฮองเฮาพลันหม่นลง
หนึ่งเดือนต่อมา พระชายาองค์ชายใหญ่ก็ให้กำเนิดบุตรี ทำให้ฮองเฮาโมโหเป็นอย่างมาก
ไม่ได้บอกกันว่าเด็กๆ มองท้องของสตรีตั้งครรภ์ได้ตรงเป๋งดั่งมนต์ขลังหรอกหรือ? ฮองเฮารู้สึกว่าเพราะปากขององค์หญิงจิ่วที่พูดให้นางไม่ได้หลานชาย
ตั้งแต่นั้นมา ฮองเฮาก็รังเกียจองค์หญิงจิ่วเป็นอย่างมาก
ข้ารับใช้ในวังคุ้นเคยกับการแล่นเรือตามทิศลม ยามที่ฮองเฮาอุ้มชูนาง นางก็เป็นองค์หญิง แต่เมื่อฮองเฮาหมางเมินนาง แม้บ่าวรับใช้นางก็ไม่อาจเทียบ!
องค์หญิงจิ่วผู้น่าสงสารถูกคนในวังรังแกตั้งแต่อายุยังน้อย ฮ่องเต้กลับประชวรหนักอีก แม้แต่คนให้พูดคุยด้วยองค์หญิงจิ่วก็ยังไม่มี และต่อให้มี นางก็คงไม่กล้าพูด
อย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กหกเจ็ดขวบเท่านั้น
…………………………