หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 4.1 พี่จิ่วผู้เหี้ยมโหด (1)
วันที่หนึ่งเดือนหกปีที่แล้ว ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการฉบับหนึ่ง แต่งตั้งให้องค์ชายซึ่งย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เป็นอ๋อง โอรสองค์โตซึ่งกำเนิดแต่ฮองเฮาได้เป็นชิ่งอ๋อง องค์ชายรองเยี่ยนไหวจิ่ง โอรสของสวี่เสียนเฟยเป็นจิ้งอ๋อง องค์ชายสามเป็นอู่อ๋อง องค์ชายสี่เป็นเจาอ๋อง ส่วนองค์ชายห้านั้น เป็นเพราะได้เกี่ยวดองกับองค์หญิงจากซยงหนู จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเฉิงอ๋องแต่แรกแล้ว
ที่อวี๋หวั่นกระจ่างในเรื่องนี้ ก็เพราะในวันเดียวกันนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยนเช่นกัน
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นซื่อจื่อ เธอจึงมีฐานะเป็นพระชายาซื่อจื่อ ในตอนนั้นเธอรู้สึกปีติยินดี เมื่อมาหวนนึกถึงเรื่องในวันนั้น เธอก็ยังมีความสุข
อวี๋หวั่นไม่ได้พบเยี่ยนไหวจิ่งมานาน จนแทบลืมไปแล้วว่าคนคนนี้มีตัวตนอยู่บนโลก ถ้าหากไม่ใช่เพราะได้ยินลุงใหญ่เอ่ยถึง เธอคงต้องรอจนเข้าเมืองหลวงกว่าจะนึกออก
อวี๋หวั่นใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮ่องเต้…ประชวรหนักถึงเพียงนั้น…จนต้องให้โอรสมาจัดการราชกิจแทนเลยหรือ…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบว่า “ข่าวลือว่ากันว่า เขาไปล่าสัตว์ แล้วก็ตกลงมาจากหลังม้าและหมดสติไป หลังจากนั้นก็นอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง”
“ที่จิ้งอ๋องเป็นเจี้ยนกั๋ว เข้ามาดูแลราชกิจแทนนั้นเป็นประสงค์ของฮ่องเต้หรือเปล่าเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นถาม
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า “น่าจะใช่” จากรายงานที่เขาได้รับว่าอย่างนั้น
อวี๋หวั่นลูบคาง “ฝ่าบาททรงมีโอรสตั้งมากมาย แต่จิ้งอ๋องมีความสามารถโดดเด่นที่สุด หากให้เขาดูแลราชกิจแทนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่…ฝ่าบาททรงให้ฮองเฮาฟังราชกิจอยู่หลังม่าน ดูแล้วก็หมายความว่ายังไม่วางใจจิ้งอ๋อง”
ไม่วางใจในความสามารถ หรือไม่วางใจในความทะเยอทะยานของเขา เรื่องนี้ไม่อาจรู้ได้
ฮองเฮาและสวี่เสียนเฟยไม่ถูกกัน อีกทั้งฮองเฮายังเป็นมารดาขององค์ชายใหญ่ชิ่งอ๋อง เมื่อให้นางมาฟังกิจการแผ่นดินหลังม่าน ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อเยี่ยนไหวจิ่งไม่น้อย แต่ก็คงพูดไม่ได้เต็มปากว่าฮ่องเต้สนับสนุนฮองเฮาและชิ่งอ๋อง หากพระองค์หนุนหลังสองคนนั้นจริง ก็คงจะแต่งตั้งให้ชิ่งอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนตั้งแต่แรกแล้ว
ที่ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ ก็เพราะต้องการคานอำนาจของทั้งสองฝ่าย ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเถลิงอำนาจมากเกินไป
อวี๋หวั่นพึมพำ “ข้าไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของฝ่าบาท ตามหลักแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้ควรให้รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทน หากไม่มีรัชทายาท ก็แต่งตั้งขึ้นมาใหม่เสีย แต่ตอนนี้แต่งตั้งไม่ทันแล้ว เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากที่องค์ชายซึ่งปฏิบัติราชการแทน จะได้เป็นรัชทายาทในภายหลัง ทั้งที่…เขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนับสนุนอำนาจของเยี่ยนไหวจิ่ง”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงสังเกตว่าหลานสาวของตนเผลอเอ่ยชื่อจิ้งอ๋องออกมา เขาชะงักไป แล้วถามว่า “อาหวั่น เจ้ารู้จักกับจิ้งอ๋องหรือ?”
อวี๋หวั่นตอบไปตามตรงว่า “เคยสนทนากันเพียงไม่กี่ครั้งเจ้าค่ะ เขาเสน่หาข้า เคยลักพาตัวข้าก่อนแต่งงาน”
ฟังประโยคหน้ายังพอรับได้ แต่จิ้งอ๋องลักพาตัวอาหวั่นนี่มันเรื่องอะไรกัน?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงขมวดคิ้ว มองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเล่าเรื่องในอดีตของตนเองให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงฟังไม่มาก เหตุผลสำคัญก็เพราะไม่อยากให้พวกเขากังวล แต่เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเยี่ยนไหวจิ่งอาจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของทั้งสองดินแดน เยี่ยนไหวจิ่งเป็นคนอย่างไร มีนิสัยเป็นอย่างไร เธอคิดว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงควรรู้ไว้
อวี๋หวั่นพูดอย่างมิได้รีบร้อนว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนเจ้าค่ะ ในตอนนั้นข้ายังเป็นเด็กสาวในหมู่บ้านเหลียนฮวา ข้าเคยช่วยชีวิตเยี่ยนไหวจิ่ง หลังจากนั้นสองปีเขาจำข้าได้ จึงอยากแต่งข้าเป็นชายารอง แต่ข้าไม่ตอบรับ”
เมื่อได้ยินคำว่าชายารอง เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว หลานสาวของเขาเป็นถึงคุณหนูสกุลเห้อเหลียนและองค์หญิงแห่งหนานจ้าว แต่เป็นได้เพียงชายารองอย่างนั้นหรือ?
เจ้าโง่นั่นไม่ไว้หน้าใครเอาเสียเลย!
อันที่จริงเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เข้าใจดีว่าในตอนนั้นเยี่ยนไหวจิ่งคงยังไม่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของอวี๋หวั่น จึงคิดเพียงว่าอวี๋หวั่นเป็นดรุณีน้อยธรรมดาคนหนึ่งจากชนบท เด็กจากชนบทเข้าไปเป็นบ่าวในจวนยังน่าชื่นชม นับประสาอะไรกับการได้เป็นถึงชายารอง?
กระนั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองใจ อาหวั่นของพวกเขาคู่ควรกับบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้า!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “เหตุใดจิ่วเฉาจึงไม่สนใจตัวตนของเจ้า ยังแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอกได้เล่า? ทั้งที่ทั้งสองก็ไม่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของเจ้าเหมือนกัน ข้าว่าเจ้านั่นมันเฮงซวยเองเสียมากกว่า!”
นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเทียบกับเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งเฮงซวยกว่ามากจริงๆ
อวี๋หวั่นมาอยู่ในยุคโบราณนานถึงขนาดนี้ แม้จะยังปรับตัวไม่ได้ทุกเรื่อง แต่ก็ยังยอมรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าแต่
ก่อน ยกตัวอย่างหากเธอใช้สถานะในตอนนี้มองเยี่ยนไหวจิ่ง ก็รู้สึกว่าการที่เขาต้องการให้เธอเป็นชายารองในตอนนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพียงแต่เขาไม่ควรตามตอแยไม่เลิกรา ทั้งที่เธอบอกปัดข้อเสนอไปแต่แรกแล้ว
ตอนนี้เธอออกมาจากต้าโจวได้หนึ่งปีแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งน่าจะลืมเธอไปแล้ว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดต่อว่า “พูดถึงจิ้งอ๋อง ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้า”
“อะไรหรือเจ้าคะ” อวี๋หวั่นถาม
“เขาแต่งงานแล้ว แต่งกับคุณหนูจวนอัครมหาเสนาบดี” เพียงแต่เขาไม่ได้สืบมาว่านางชื่อเสียงเรียงนามว่า
อย่างไร ชื่อของสตรีชาวจงหยวนมักจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่เปิดเผยแก่คนนอก
“หานจิ้งซู” อวี๋หวั่นกลับพูดชื่ออีกฝ่ายออกมา
“เจ้าก็รู้จักนางหรือ?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกัดฟันกรอดเมื่อพูดคำว่า ‘นาง’ เขาอดรู้สึกตกใจไม่ได้ที่อวี๋หวั่นรู้จักสองสามีภรรยาคู่นี้
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ต้องขอบคุณเยี่ยนไหวจิ่ง นางมาหาข้าถึงบ้าน แล้วก็พบกันที่…วังหลวง”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้สึกขุ่นเคืองใจ “นางไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่ไหม?” คนหนึ่งเป็นบุตรสาวจวนอัครมหาเสนาบดี อีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาวชาวบ้าน หากนางจะรังแกอาหวั่นขึ้นมาจริงๆ…
อวี๋หวั่นยิ้ม “เปล่าเจ้าค่ะ”
คนทั่วไปเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของตนไปพัวพันกับสตรีอื่น ก็มักเลือกกล่าวโทษฝ่ายหญิง นั่นไม่ใช่เพราะพวกนางไม่ยอมรับว่าฝ่ายชายมีความผิด แต่เป็นเพราะไม่กล้าพอที่จะสู้กับพวกเขา จึงทำได้เพียงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ทว่าหานจิ้งซูเป็นสตรีที่มีความกล้าหาญมากเกินไป
สำหรับเรื่องนี้ อวี๋หวั่นรู้ว่าหานจิ้งซูแยกแยะได้ แต่สำหรับความรู้สึกที่มีต่อเยี่ยนไหวจิ่งนั้น อวี๋หวั่นคิดว่านางออก
จะดื้อดึงไปสักหน่อย แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นคนนอก เรื่องของความรู้สึก มีแต่ตัวหานจิ้งซูเองที่เข้าใจ เธอไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินนาง
“อาหวั่น กินข้าวได้แล้ว” นางถานเข้ามาเรียก
อวี๋หวั่นเข้าไปเข็นรถของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
“ข้าเอง เจ้าไปเรียกจิ่วเฉา เขาอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บหลานชายแสนดีไว้กับตัวตลอด…”
นางถานเข้าไปเรียกครั้งหนึ่ง แต่กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่ามองด้วยสายตาคมกริบกลับมา นางถานร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ทำได้เพียงมาตามอวี๋หวั่น
ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงไปห้องของฮูหยินผู้เฒ่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาไม่น้อย นางจึงมีภาวะความจำเสื่อม บางครั้งพูดจาเลอะเลือน ก่อนหน้าเรื่องหนึ่ง ประโยคถัดไปกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่านางพูดอะไร แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับตามนางทันทุกประโยค
เขามีความอดทน ไม่รังเกียจที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดจาเรื่อยเปื่อย และไม่เตือนนางว่าตลอดช่วงบ่ายนี้นางพูดเรื่องเดิมมาเจ็ดแปดครั้งแล้ว
ทุกครั้งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้นมา เขาก็ทำเหมือนเขาเพิ่งได้ฟังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
“นกฮว่าเหมยที่ข้าเลี้ยงไว้งามไหมเล่า?” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้าเป็นครั้งที่เก้า “ขอรับ ครั้งก่อนท่านย่าให้ข้ามาหนึ่งตัวแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายกนิ้วขึ้นมา “ข้าเลี้ยงไว้สองตัว ให้เจ้าหมดเลย!”
“ขอรับ” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าคุยกับเขามาตลอดทั้งบ่าย ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว แต่นางกลับง่วงนอน นางนั่งพิงกับหัวเตียง แล้วผล็อยหลับไป
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ปลุกนาง เขาเพียงแต่ถอดรองเท้าของนาง จัดแจงให้นางนอนอยู่ในท่าที่สบาย แล้วดึงผ้าห่มบางขึ้นมาห่มให้นาง
อวี๋หวั่นยืนอยู่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง ไม่กล้ารบกวนทั้งสอง เยี่ยนจิ่วเฉาเอาใจใส่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้เขาทำเพียงเพราะสถานะของตน ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ทว่าในบัดนี้เขาความจำเสื่อม คิดว่าตนเองเป็นหลานแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า หากจะรักฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมาจริงก็นับว่าถูกต้องแล้ว
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็พลันรู้สึกว่าการสูญเสียความทรงจำของเขาในครั้งนี้ก็มิใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยเขาก็ทำเรื่องที่เมื่อก่อนไม่กล้าทำ เขาไม่จำเป็นต้องเก็บงำมันไว้ เขาสามารถรับความรักของฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างเปิดเผย และยังสามารถมอบความรักให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างเต็มที่
คนในครอบครัวนั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เด็กทั้งสามถูกนางถานและเห้อเหลียนเป่ยหมิงใช้จิ้งจอกหิมะน้อยหลอกล่อให้ไปยังเรือนของพวกเขา เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นจึงอยู่ในสวนอูถงของฮูหยินผู้เฒ่า
…………………..