หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 4.2 พี่จิ่วผู้เหี้ยมโหด (2)
ห้องของพวกเขามีคนคอยทำความสะอาดสม่ำเสมอ จึงสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
อวี๋หวั่นเดินเข้าห้องมาด้วยความคุ้นเคย
สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือ หลังจากที่อวี๋หวั่นเริ่มท้องแก่ ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลเด็กทั้งสามก็คือเยี่ยนจิ่วเฉา ตกกลางคืน เขาก็มีหน้าที่พาเด็กทั้งสามเข้านอน อวี๋หวั่นนอนคนเดียวในห้อง เหตุผลสำคัญก็เพราะกลัวว่าเด็กทั้งสามจะซุกซน และไปเตะท้องของอวี๋หวั่นเข้า
เยี่ยนจิ่วเฉากลับไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าเธอโตแล้ว ควรนอนคนเดียวได้แล้ว
อวี๋หวั่นไม่รู้ความคิดของเยี่ยนจิ่วเฉา และไม่ได้สังเกตว่าในตอนที่ตนเดินเข้าไปในห้องอย่างสง่าผ่าเผยนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ตั้งสติได้ และแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่นี่เป็นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าเธอเป็นหลานสะใภ้ ถ้าหากเธอไม่อยู่ห้องเดียวกับเขา ฮูหยินผู้เฒ่าจะนึกสงสัยได้
หลังจากต่างคนต่างอาบน้ำเสร็จ ทั้งสองก็นอนลงบนเตียงนุ่ม
อวี๋หวั่นถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งด้วยความผ่อนคลาย
ที่บ้านนั้นสบายที่สุดแล้ว เตียงทั้งนุ่มทั้งกว้าง ทั้งยังมีน้ำแข็งก้อนคอยดับร้อน ม่านก็เป็นม่านสีที่เธอชอบ เครื่องเรือนก็ถูกใจ แม้แต่อากาศนั้นก็เหมือนจะสดชื่นกว่าที่อื่น
อวี๋หวั่นรู้สึกผ่อนคลาย เธอหลับตาลง แต่เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งอยู่ด้านข้างกลับกำลังทนไม่ไหว
ข้างกายของเขามีคนนอนอยู่ กลิ่นกายหอมยั่วยวน ใบหน้าอวบอ้วน น่าบีบ
“เจ้าเลี้ยงหนอนพิษใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นกำลังจะย่างเท้าเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ทันได้นั้นเธอก็ได้ยินไม่กี่คำสุดท้ายในคำพูดของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอมีสีหน้ามึนงง แล้วตอบไปว่า “ใช่ ข้าเลี้ยงหนอนพิษได้ ท่านไม่รู้หรือ?”
ตามทฤษฎีแล้ว เธอไม่นับว่าเลี้ยงหนอนพิษได้ อาเว่ยต่างหากถึงจะนับว่าเป็นปรมาจารย์พิษ เพียงแต่เธอมีสัตว์พิษตัวน้อย และเพื่อที่จะเลี้ยงเจ้าหนอนท้องยุ้งพุงกระสอบตัวนี้ เธอจึงนำราชันพันสัตว์พิษจากหมิงตูมาเป็นจำนวนมาก
ตอนที่เธอให้อาหารเจ้าสัตว์พิษตัวน้อย เยี่ยนจิ่วเฉาเองก็เห็น และเขาก็มองว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ตอนกลางดึก
“เจ้าถึงปล่อยหนอนพิษใส่ข้าใช่ไหม?”
เสียงเย็นเยียบของเยี่ยนจิ่วเฉาดังขึ้นข้างหูของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นกำลังงัวเงีย มองเขาอย่างไม่เข้าใจ “อะไรกัน? ข้าไปปล่อยหนอนพิษใส่ท่านตอนไหน เดี๋ยวก่อน ท่านถูกหนอนพิษหรือ?”
อวี๋หวั่นพูด พลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉาหยุดไว้
มือของเธอนุ่มนิ่ม นุ่มนิ่มเสียจนพลอยทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบไปด้วย แม้แต่หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น เยี่ยนจิ่วเฉาแข็งกร้าวขึ้นทันใด “เจ้านั่นแหละที่ปล่อยหนอนพิษใส่ข้า!”
“ข้า…” อวี๋หวั่นสับสน “ข้าปล่อยหนอนพิษอะไรกัน?”
“หนอนพิษสน่หา” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
อวี๋หวั่น “…”
หนอนพิษเสน่หา?
นี่มันมุกตลกอะไรกัน?
เธอไม่เคยได้ยินชื่อหนอนพิษชนิดนี้เสียด้วยซ้ำ จะไปหาจากที่ไหนมาปล่อยใส่เขา?
จะว่าไป ทำไมเขาถึงเชื่อว่าเธอปล่อยหนอนพิษเสน่หาใส่เขาละ
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ทำไมท่านถึงคิดว่าท่านถูกพิษของหนอนพิษชนิดนี้เล่า”
“หากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใด…” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่ออีก คอของเขาขยับขึ้นลง สายตาของเขาบอกทุกอย่างแล้ว
ลมหายใจของเยี่ยนจิ่วเฉาขาดห้วง เขาถอยหลังออกไป เพื่อหลบกลิ่นอายอันยั่วยวนของอวี๋หวั่น เขากัดฟัน แล้วพูดว่า “เจ้ายอมรับแล้วใช่ไหมว่าปล่อยหนอนพิษใส่ข้า”
อวี๋หวั่นไม่ตอบ เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับถามย้อนว่า “ท่านก็ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าท่านคิดเรื่องอย่างว่ากับข้า?”
ไหนบอกว่าไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อให้เป็นภรรยาอย่างไรเล่า? ทะลึ่งจริงๆ เลยนะ
เยี่ยนจิ่วเฉาสะบัดมือออก แล้วเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา “นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าปล่อยหนอนพิษใส่ข้าหรอกหรือ!”
อวี๋หวั่นชี้นิ้วขึ้นมา แล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ใช่แล้วละ ข้าปล่อยหนอนพิษใส่ท่าน ได้ยินว่าหนอนพิษชนิดนี้ร้ายกาจมาก เมื่อโดนพิษของมันเข้า จะหนีไปไหนไม่ได้ชั่วชีวิต”
เยี่ยนจิ่วเฉากัดฟันกรอด “เจ้ามันเจ้าเล่ห์เพทุบาย!”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ทำไม? เพิ่งรู้จักข้าวันแรกหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ “ข้าถูกหลอก!”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “เอาละๆ ท่านไม่ได้ถูกหลอกหรอก ท่านทนพิษของหนอนไปก่อนก็แล้วกัน ข้าจะนอน”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็หันหลัง ไม่สนใจเขาอีกต่อไป
เดิมทีคิดว่าเขาจะหยุดยั้งความรู้สึกนั้นได้ ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับนอนพลิกไปพลิกมา หายใจแรง อวี๋หวั่นไม่ต้อง
เดาก็รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงไม่ได้นอนทั้งคืน
สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็ลอบถอนหายใจด้วยความสงสารเขา จึงเลิกผ้าห่ม ลุกลงจากเตียง แล้วชงชาดับร้อน[1]ให้เขา
ครั้งนี้ควรหายได้แล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากที่ดื่มชาดับร้อนหมดถ้วยแล้ว อาการของเขาก็มิได้มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ในทางกลับกัน เขากลับรีบร้อนเลิกผ้าห่มลงจากเตียง คว้าถ้วยชาใส่มือ ดวงตาทั้งสองข้างมองอวี๋หวั่นด้วยความดุดัน “เจ้า…เจ้าปล่อยหนอนพิษใส่ข้าไม่พอ ยังวางยาข้าอีกหรือ?!”
อวี๋หวั่น “??? ”
อะไรนะ?
วางยาอะไรอีก?
เยี่ยนจิ่วเฉาวางถ้วยชาลงบนชั้นหัวเตียง แล้วเดินข้ามาหาอวี๋หวั่นทีละก้าวๆ อวี๋หวั่นถอยไปด้านหลัง จึงชนเข้ากับหัวเตียง
อวี๋หวั่นถอยจนไม่รู้ว่าควรถอยอย่างไรแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉายื่นมือข้างหนึ่งมาเท้าเสาเตียง แล้วพูดกับอวี๋หวั่นอย่างระแวดระวังว่า “เรียนอะไรไม่เรียน มาหัดเรียนวิธีวางยาบุรุษรึ?”
อวี๋หวั่นยังคงสับสน “ข้า…ข้าไม่ได้วางยาท่าน! นั่นเป็นแค่ชา!”
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะแดกดัน “โกหก โกหกทั้งเพ”
เธอวางยาเขา สรุปแล้วใครโกหกกันแน่? พูดกันด้วยเหตุผลสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?
“ไม่มีอะไรจะเถียงใช่ไหมเล่า?” เยี่ยนจิ่วเฉาแค่เสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก
อวี๋หวั่นพ่ายแพ้ต่อเขาแล้ว เธอยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ได้ๆๆ ข้าวางยาท่าน พอใจหรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วสีหน้าเปลี่ยนในทันใด “ข้าว่าแล้วเชียว!”
อวี๋หวั่นกลอกตา “ตามนั้นแหละ ข้ายอมรับ ทีนี้นอนได้หรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาจับคางของเธอเชยขึ้น “ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ!”
อวี๋หวั่นไม่เข้าใจ “ท่านจะทำอะไร”
เยี่ยนจิ่วเฉาดันเธอติดกับเสาเตียง แล้วพูดอย่างมีเลศนัยว่า “แม่นาง เจ้าเป็นคนจุดไฟขึ้นมา เจ้าก็ต้องดับไฟ”
อวี๋หวั่น “…!! ”
……
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาต้องกลับต้าโจวไปถอนพิษโดยเร็วที่สุด วันต่อมาจึงเปลี่ยนม้าให้เสร็จสรรพตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งหมดเป็นม้าฝีเท้าดีที่เขาเลือกสรรด้วยตนเอง แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงต้องประหลาดใจก็คือในบรรดาม้าที่เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นพามา หนึ่งในนั้นมีม้าชั้นดีอยู่หนึ่งตัว วิ่งมาไกลถึงเพียงนี้ เพื่อนๆ ของมันล้วนแต่เหนื่อยล้า แต่มันกลับยังคึกคัก มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม
“แม่ทัพใหญ่ จะเปลี่ยนม้าตัวนี้ไหมขอรับ?” อวี๋กัง บ่าวคนสนิทเอ่ยถาม
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ม้าตัวนั้นยังมีแรง ไม่ต้องเปลี่ยน”
“ขอรับ!” อวี๋กังเปลี่ยนม้าตัวอื่นๆ แล้วนำอาหารและน้ำมาให้ม้าตัวนี้กิน
“จะไปอีกแล้วหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบใจเอาเสียเลย!
“อีกไม่นานก็กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ครั้งหน้า จะพาเถี่ยตั้นมาด้วย” อวี๋หวั่นยิ้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าจะพาหลานอีกคนมาด้วย นางก็รีบพูดด้วยความตื่นเต้น “พวกเจ้าไปเถอะ! ระวังตัวด้วย!”
ทุกคนจึงขึ้นรถม้า
จิ้งจอกหิมะน้อยกระโดดขึ้นไปบนรถม้า มันอยากกลับไปพร้อมกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นมองไปยังลัญลักษณ์สีแดงรูปเปลวเพลิงบนหว่างคิ้วของมัน แล้วจึงมองไปยังเห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น เธอเดาได้ว่า ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะมัน แต่เธอไม่พามันไปด้วยย่อมดีที่สุด กิจวัตรประจำวันของลุงใหญ่ควรเป็นดังเดิม เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูต่อไป
อวี๋หวั่นกระซิบบอกมันว่า “เอาละ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ก่อน”
จิ้งจอกหิมะน้อยหันหลังไปอย่างเศร้าสร้อย หางฟูของมันยกขึ้นมาปิดหน้า
อวี๋หวั่นหยิบซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ขึ้นมาจากกล่องอาหาร “เอ้า ให้เจ้า”
ทันทีที่จิ้งจอกหิมะน้อยเห็นซาลาเปาไส้เนื้อ สีหน้าของมันก็ดีขึ้นเล็กน้อย มันกอดซาลาเปาไส้เนื้อมองตามอวี๋หวั่น
และเยี่ยนจิ่วเฉาตาละห้อย
ฝูหลิงและจื่อซูเดิมทีควรจะติดตามเธอไปด้วย แต่ทั้งสองคนอยู่ที่สวนอูถงมานาน ฮูหยินผู้เฒ่าคุ้นชินกับพวกนางนานแล้ว อวี๋หวั่นจึงให้พวกนางอยู่ที่นี่ แล้วพาผิงเอ๋อร์ไปด้วย
เมื่อคืนทะเลาะกับเยี่ยนจิ่วเฉาจนดึกดื่น อวี๋หวั่นอยากงีบสักหน่อย จึงให้เด็กทั้งสามไปนั่งบนรถม้าของผิงเอ๋อร์
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อคืนได้สูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไปหรืออย่างไร เยี่ยนจิ่วเฉาจึงไปนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง
แต่รถม้าเคลื่อนออกไปได้ไม่เท่าไร เขาก็รู้สึกนั่งไม่เป็นสุข
เขารู้สึกหดหู่ใจ ราวกับว่าต้องหาอะไรมากอดสักอย่างจึงจะเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้
………………………………