หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 40 ใกล้คลอด
หลังจากองค์หญิงจิ่วถูกพาไปที่จวนคุณชาย เยี่ยนจิ่วเฉาก็เริ่มการกวาดล้างอำนาจของฮองเฮา
ยามนั้นที่นางถูกพาออกมาจากตำหนักเย็น ไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่มีต่อนาง หรือแม้แต่ความเคารพให้เกียรติยังไม่อาจนับได้ นางเป็นเพียงเบี้ยถ่วงดุลสวี่เสียนเฟย สวี่เสียนเฟยสูญเสียอำนาจไปแล้ว เบี้ยตัวนี้ก็ไร้ประโยชน์ จะทิ้งไปก็ไม่เสียดาย เพียงแต่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่คนที่เสร็จงานฆ่าโคถึก ตราบใดที่ฮองเฮาไม่ทำเกินงาม ไม่ว่านางจะได้ดีหรือตกอับในวังหลัง เยี่ยนจิ่วเฉาก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
นางหาเรื่องใส่ตัวเอง ทั้งยังเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนตาบอด เช่นนั้นก็ไม่อาจทนได้อีกแล้ว
เรื่องขององค์หญิงจิ่วยังไม่เอ่ยถึง นั่นสามารถมอบให้ฮ่องเต้จัดการได้ แต่ฮองเฮาคิดจะเล่นงานจวนเยี่ยนอ๋อง? จะให้ภรรยาและบุตรของเยี่ยนจิ่วเฉาถึงเวลาต้องกินลมจนท้องป่องหรือ?
ยามที่เยี่ยนจิ่วเฉาแต่งงานกับอวี๋หวั่น เขาตัดสินใจแล้วว่าหากวันหนึ่งเขาตายไป อย่างน้อยก็ให้อวี๋หวั่นได้สืบทอดมรดกของจวนเยี่ยนอ๋องอย่างถูกต้อง
กล้ามายุ่งกับมรดกที่เขาทิ้งไว้ให้อวี๋หวั่น? คงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง?
วันนี้ที่ตำหนักฉางเซิงเกิดเรื่องใหญ่ หลังจากขันทีชิมยาร้อนที่นำมาถวายแก่ฮ่องเต้ก็ล้มลงกับพื้น
เมื่อตรวจสอบพบว่าขันทีถูกวางยา หลังจากนั้นหมอหลวงได้ตรวจสอบกากยาจีนที่ถวายแก่ฮ่องเต้และพบว่าในนั้นมีอูโถว
สิ่งที่ต้องรู้คืออูโถวมีพิษร้ายแรง คนธรรมดาสัมผัสเพียงเล็กน้อยอาจเกิดความเสียหายที่ไม่อาจย้อนกลับได้ นับประสาอะไรกับฮ่องเต้ที่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง?
ชัดเจนว่ามีคนต้องการวางยาพิษฮ่องเต้ให้ถึงแก่ความตาย
เยี่ยนจิ่วเฉาให้ขันทีวังตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ขันทีวังเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ เขาเสนอตัวทุกคนต่างยอมรับ
ในคืนนั้นขันทีวังก็จับนางข้าหลวงที่วางยาพิษลงในยาของฮ่องเต้ได้สำเร็จ นางร้องไห้บอกว่าได้รับคำสั่งจากฮองเฮา
“สามหาว! ข้าไปสั่งเจ้าเมื่อใด? ข้าไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำ!” ฮองเฮาโกรธจัด
นางข้าหลวงน้อยเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ฮองเฮาเพคะ! ท่านตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุใดท่านจะไม่รู้จักบ่าว? ท่านเป็นคนพาบ่าวเข้าวังเอง! แล้วก็เป็นท่านที่ให้บ่าวมาอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาท! บ่าวทำทุกอย่าง เพราะได้รับคำสั่งจากท่านนะเพคะ!”
ฮองเฮาเอ่ยด้วยความเดือดดาล “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่!”
การเล่นละครของนางข้าหลวงค่อนข้างน่าพอใจ นางคุกเข่าคลานกับพื้นสองสามก้าว ร่ำไห้ไม่สนใจสิ่งใด “ฮองเฮา! ท่านยอมรับเถิด! ตาข่ายสวรรค์แม้ห่างแต่ไม่รั่ว…ท่านหนีไม่พ้นหรอก….”
“กำเริบเสิบสานนัก!” ฮองเฮาคว้าถ้วยชาบนโต๊ะโยนลงพื้น!
ละครฉากนี้ดูจะยาวสักหน่อย เยี่ยนจิ่วเฉาหาเก้าอี้มานั่งพลางจิบชาอย่างสบายๆ
ขันทีวังคิดว่า ณ จุดจุดนี้ ท่านไม่ควรทำกิริยาเช่นนี้หรือเปล่า? เรากำลังสอบปากคำฮองเฮา ไม่ใช่แมวหรือสุนัข?
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่…เยี่ยนจิ่วเฉา! เป็นเจ้า! เจ้าใส่ความข้า!” ฮองเฮาที่ดูเหมือนสตรีบ้าคลั่งกระโจนใส่เยี่ยนจิ่วเฉา แต่ถูกนางข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างกอดไว้แน่น
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้แม้แต่จะขยับเปลือกตา “ใส่ความเจ้าแล้วอย่างไร เจ้ามีหลักฐานหรือ?”
ดวงตาของฮองเฮาเป็นประกายวาบ “ขันทีวัง! เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่! เจ้าได้ยินว่าเขาตอบเช่นไรใช่หรือไม่!”
ขันทีวังชะงักและพูดอย่างใจเย็น “ไม่ได้ยินพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮา “…”
ถึงตอนนี้ฮองเฮาเข้าใจแล้วว่า อุบายสกปรกของตนน่าขันเพียงใดในสายตาเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาเพียงแค่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้จริงๆ หรือ? ไม่เลย แม้แต่ขันทีวังที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็ยังต้องศิโรราบ
ความสามารถของชายผู้นี้ เดิมทีไม่ได้ธรรมดาอย่างที่นางคิด
นางมองเขาผิดไป
หากกล่าวให้ถูกคือนางประเมินเขาต่ำไป
สิ่งที่ฮองเฮาไม่รู้คือนางเข้าใจบางอย่างผิดไป นั่นคือเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยกำราบขันทีวัง ความจงรักภักดีของขันทีวังที่มีต่อฮ่องเต้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาเพียงแค่เข้าใจดีกว่าผู้ใดว่าตัวเลือกเช่นไรเป็นประโยชน์แก่ฮ่องเต้อย่างสูงสุด
เยี่ยนจิ่วเฉาอาจเป็นคนที่ไร้มารยาทที่สุดสำหรับฮ่องเต้ แต่ก็เป็นคนที่ไม่มีทางคิดร้ายต่อฮ่องเต้ที่สุดเช่นกัน
เรื่องของฮองเฮากับตระกูลหม่า หรือแม้แต่เรื่องขององค์หญิงจิ่ว เขาไม่ใช่คนโง่ เขาเพียงแต่ไม่กล้าทำสิ่งใดกระทบพระทัยฮ่องเต้ จึงไร้หนทางจะรายงานต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ในเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาเต็มใจออกหน้าจัดการ เขาก็เต็มใจจะช่วยเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยอีกแรง
เพียงแต่…คุณธรรมของเยี่ยนจิ่วเฉา มักชวนให้คนปวดไข่นัก!
ขันทีวังกัดฟันมองฟ้า “ทั้งที่ไข่ก็ไม่มีแล้ว แต่กลับยังรู้สึกปวดไข่ได้อีก…หากต้องอยู่กับผู้สำเร็จราชการแทนจริงๆ จ๋าเจียคงสามารถเป็นบุรุษที่แท้จริงได้แล้ว…”
…
วันที่สอง ฮ่องเต้รู้สึกตัวตื่นขึ้นครู่หนึ่ง
ขณะที่ขันทีวังป้อนยาเขา ก็เอ่ยถึงเรื่องของฮองเฮาอย่างเรียบง่าย “…มีคนใส่อูโถวลงในขวดยา บ่าวไปตรวจสอบ พบว่าเป็นฮองเฮา บ่าวคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรรอให้พระองค์ตื่นจากบรรทมแล้วจึงตัดสินใจ แต่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ดึงดันจะทำตามใจตนเอง ไม่ได้กล่าวว่า แม้แต่เสด็จลุง ฮองเฮาก็กล้าทำร้าย ช่างบังอาจนัก หนึ่งครั้งไม่สำเร็จ ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าคราหน้านางจะทำสิ่งใดอีก จึงตัดสินใจส่งฮองเฮาไปที่ตำหนักเย็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีวังพยายามใช้น้ำเสียงสงบอธิบายเหตุการณ์ความขัดแย้ง
ฮองเฮาถูกผลักไสไปที่ตำหนักเย็นย่อมไม่ราบรื่นเช่นนั้น ฮองเฮากรีดร้องร่ำไห้จนผมเผ้ายุ่งเหยิง นางใช้กรรไกรขู่จะฆ่าตัวตาย โดยบอกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาบีบให้นางตาย เยี่ยนจิ่วเฉารูดแขนเสื้อ คว้ากรรไกรของนางมาแล้วยื่นมีดเชือดหมูเงาวาวให้นาง
ฮองเฮาตะลึงงันอยู่กับที่
ความจริงแล้ว นางข้าหลวงที่กล่าวหาฮองเฮาเป็นสายสืบที่ฮองเฮาจัดไว้ในตำหนักฉางเซิงจริงๆ ในมือนางยังมีหลักฐานการติดต่อกับฮองเฮาอีกด้วย ดังนั้นการใส่ร้ายฮองเฮาจึงดูเหมือนมีทั้งพยานและหลักฐาน น่าเชื่ออย่างยิ่ง
ขันทีวังเอ่ยข้ามรายละเอียด เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนจิตใจฮ่องเต้ แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะฮ่องเต้ไม่ได้มีความรู้สึกกับฮองเฮามากนัก หากรู้ว่าฮองเฮาคิดร้ายต่อตน อย่างมากก็ตกใจ ไม่ถึงกับกระทบจิตใจ
ทว่าต่อมาชีพจรของฮ่องเต้ก็เต้นเร็วขึ้น การหายใจของเขาก็เร็วขึ้นด้วย
นี่ นี่ นี่กระทบจิตใจแล้วหรือ?
ไม่ใช่สตรีที่ทรงโปรดปรานหนักหนา มีสิ่งใดน่ากระทบกระเทือนจิตใจ? สวี่เสียนเฟยทำร้ายท่านเช่นนี้ ช่วยแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้อีกได้หรือไม่?
“ฝ่าบาท! เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีวังรีบจับไหล่ฮ่องเต้ ให้เขาทำใจดีๆ ไว้
ฮ่องเต้กระหืดกระหอบ คล้ายกับอาการจะกำเริบอีกครั้ง แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้ขันทีวังถึงกับตะลึงงัน
“ฉงเอ๋อร์…ฉงเอ๋อร์เป็นห่วงข้า…ฮือๆๆ…”
ขันทีวังที่หมดคำพูดไปชั่วขณะ “…”
ฮ่องเต้ตื่นเต้นจนสลบไป เหตุเพราะเยี่ยนจิ่วเฉาล้มล้างฮองเฮาแทนเขา ต้องห่วงใยเขามากเพียงใดถึงทำเรื่องไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสเช่นนี้ได้?
ขันทีวังไม่อยากรับใช้เขาแล้ว!
เขาเข้าใจแล้วว่าครอบครัวนี้ไม่มีคนปกติสักคน!
…
วันเหล่านั้นของเยี่ยนจิ่วเฉาผ่านไปสองสามวันก็สามารถกินยาได้แล้ว อวี๋หวั่นไปหาชุยเฒ่า ให้เขาจัดยาให้เยี่ยนจิ่วเฉา ผลคือ…เขาหายตัวไปอีกแล้ว!
อวี๋หวั่นกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “คนแซ่ชุย! อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ!”
ครึ่งเดือนผ่านไปราวพริบตา ใบไม้ใบสุดท้ายในเรือนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กำหนดคลอดของอวี๋หวั่นมาถึงแล้ว
……………………