หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 46 เยี่ยนเสี่ยวซื่อไร้เทียมทาน!
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จวินฉางอันที่ต่อสู้กับอิ่งสือซันต้องตกใจเมื่อพบว่า วรยุทธ์ของอิ่งสือซันได้พัฒนาไปไกลกว่าที่เขาคาดคิดไว้ เดิมทีทั้งสองประมือสูสีกัน ทว่ายามนี้ เขากลับต้องล่าถอยให้อิ่งสือซัน หากไม่ใช่เพราะอาวุธที่แข็งแกร่งของเขาสามารถเพิ่มฝีมือได้อย่างน้อยสามส่วน เกรงว่าคงตายภายใต้ดาบของอิ่งสือซันไปแล้ว
แต่นี่ก็ยังห่างไกลจากความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอิ่งสือซัน!
อิ่งสือซันฟาดดาบลงอีกครั้ง จวินฉางอันยันดาบต่อสู้ เขายังคงมั่นใจในอาวุธของตนเอง ดาบด้ามนี้ตกทอดมาจากอาจารย์ของเขา ว่ากันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ก่อน มีชื่อเสียงในยุทธภพ ส่วนดาบที่อิ่งสือซันใช้เป็นดาบธรรมดา แม้ว่าจะดีกว่าดาบที่วางขายในท้องตลาดไม่น้อย แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับดาบศักดิ์สิทธิ์ของเขา
ทว่าวินาทีต่อมา เรื่องน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
เกิดเสียงดังเคร้ง ดาบของเขาหักลงด้วยการโจมตีจากอิ่งสือซัน!
จวินฉางอันตัดสินใจอย่างฉับพลัน กระทบส้นเท้าลงกับพื้น เหาะกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเรือนด้านหลัง
เขามองดาบหักในมือด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา “เป็นไปได้อย่างไร”
ทั้งที่ความแข็งแรงของอาวุธทั้งสองต่างระดับกัน แต่อิ่งสือซันกลับยังสามารถตัดดาบของเขาได้ เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ากำลังภายในของอิ่งสือซันแข็งแกร่งเพียงใด
ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง ยังใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม
หลายคนอาจคิดว่าความแข็งแกร่งของยอดฝีมือส่วนใหญ่มาจากกำลังภายใน แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป บางคนแม้กำลังภายในจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่อาจควบคุมมันได้ดีนัก การควบคุมและใช้งานกำลังภายในของยอดฝีมือหากได้ถึงเจ็ดส่วนก็นับว่าสุดยอดแล้ว ดังนั้นเหตุใดการทำลายตนเองของยอดฝีมือถึงน่ากลัว ก็เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวที่พวกเขาสามารถใช้กำลังภายในได้อย่างเต็มขีดจำกัด
นั่นเป็นวิธีที่ไม่คิดชีวิต
ทว่าสำหรับอิ่งสือซัน เห็นได้ชัดว่าไม่มีสัญญาณการทำลายตนเอง แต่กลับยังสามารถใช้กำลังภายในได้ถึงสิบในสิบส่วน
ความสามารถนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
มันถูกกำหนดแล้ว เขาสามารถขึ้นมาท้าทายอีกฝ่าย และบดขยี้คู่ต่อสู้ด้วยข้อได้เปรียบที่ใครก็นึกไม่ถึง!
มาถึงจุดนี้ จวินฉางอันเข้าใจแล้วว่าตนหาอะไรดีไม่ได้เลย เมื่อต้องตกอยู่ในกำมือของอิ่งสือซัน
เขากระโดดลงไปอีกด้านหนึ่งของกำแพงเรือน อิ่งสือซันก็ไล่ตามไป
จวินฉางอันเอ่ย “ข้าไม่บุกเข้าจวนคุณชายของพวกเจ้าแล้ว พอใจแล้วกระมัง!”
อิ่งสือซันตอบอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าพอใจ ก็ต้องพอใจรึ? เช่นนั้นต่อไปหากมีคนบุกรุกเข้าจวนคุณชาย แล้วถอยออกไป ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรได้หรือ?”
“…” เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล จวินฉางอันกระแอม “คนรู้จักกันมานาน เห็นแก่หน้าข้าหน่อยเถอะ ที่ข้ามาในวันนี้ก็หาได้มีเจตนาร้าย…”
“ไม่มีเจตนาร้าย? ข้ามกำแพงจวนคุณชายมาเล่นๆ รึ?” อิ่งสือซันฮึดฮัดอย่างเย็นชา
จวินฉางอันรู้ว่าอิ่งสือซันไม่ใช่คนโง่ ตนมาทำสิ่งใด เกรงว่าเขาคงเดาออกนานแล้ว
จวินฉางอันทอดถอนใจ เล่าความอย่างไม่ได้ปิดบัง “ยอมแล้วๆ ตัวข้าอ่อนด้อย จะฆ่าจะแกงอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า ทว่าก่อนที่ข้าจะตาย ขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือไม่? พวกเจ้า…เคยไปที่เหล่านั้นมาจริงๆ หรือ? เผ่าพ่อมด เผ่าศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริงๆ หรือ? หรือว่า…แท้จริงแล้ววัตถุดิบยาหลักไม่ใช่ของเหล่านั้นที่เล่าลือกันในยุทธภพ?”
แน่นอนว่าจวินฉางอันมาในครั้งนี้เพื่อสืบข่าวการล้างพิษของคุณชาย และสอดแนมสถานการณ์ของคุณชาย
อิ่งสือซันยิ่งไม่อาจปล่อยเขาไปได้
แต่ขณะที่อิ่งสือซันตัดสินใจจะฆ่าปิดปากจวินฉางอัน เสียงของทหารองครักษ์ก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของกำแพง “ปิดล้อมจวน! แมลงวันตัวเดียวก็อย่าปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้!”
ปิดล้อมจวน? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?
อิ่งสือซันจ้องมองจวินฉางอัน!
จวินฉางอันรีบโบกมือปฎิเสธ “อย่ามองข้า! ข้าไม่ได้ทำ! ข้าไม่ได้จงใจล่อเจ้าออกมา ข้าออกมาเอง!”
นี่เป็นความจริง เยี่ยนไหวจิ่งเพียงส่งเขามาสอดแนม ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นกับจวนคุณชายอีกก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาและองค์รัชทายาทเลย
“เจ้ารีบไปดูเถอะ ถึงขั้นปิดล้อมจวนจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ อย่างไรข้าก็อยู่ที่เมืองหลวง หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น วันหลังเจ้าค่อยมาฆ่าข้าก็ยังได้!” จวินฉางอันไม่ได้คิดจะหนีทัพ อย่าว่าแต่สัญญาสิบปีระหว่างเขากับเยี่ยนไหวจิ่งที่ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่เขายังหายใจก็ไม่อาจทิ้งเยี่ยนไหวจิ่งไปได้ แม้ต่อให้ครบสัญญา…เขาก็ยังมีคนที่ไม่อาจปล่อยวางได้
อิ่งสือซันเหาะกลับเข้าไปในจวน
ไม่ใช่ว่าเขาไว้ใจจวินฉางอัน แต่หากเขาต้องการฆ่าจวินฉางอัน ต่อให้จวินฉางอันซ่อนตัวอยู่สุดขอบฟ้า เขาก็ตามหาพบ!
ผิงเอ๋อร์เป็นคนแรกที่พบว่าคุณหนูเล็กหายตัวไป นางกะเวลาว่าถึงยามที่คุณหนูเล็กต้องกินนมแล้ว จึงหมายจะเข้าห้องไปอุ้มคุณหนูเล็ก แต่กลับพบว่าเปลว่างเปล่า
นางคิดว่าอวี๋หวั่นอุ้มคุณหนูเล็กไปนอนบนเตียง แต่เมื่อนางมองที่เตียงก็ไม่พบอีกเช่นกัน!
ผิงเอ๋อร์ไม่กล้าปลุกอวี๋หวั่น จึงไปรายงานเยี่ยนอ๋องก่อน
เยี่ยนอ๋องสั่งให้คนปิดล้อมจวนออกค้นหา แต่แล้วพวกเขาก็ไม่พบแม้แต่เงาของคุณหนูเล็ก
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
ในตรอกมืด จู่ๆ ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามที่อุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อเหาะเหินบนหลังคาก็ร้องออกมา
ผู้พิทักษ์ดาบเงินที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่หันกลับมาอย่างหมดความอดทน “รีบตามมา! มัวพร่ำอันใด! เวลานี้พวกมันคงรู้แล้วว่าเด็กหายไป! หรือว่าเจ้าอยากโดนพวกมันจับตัวไป!”
หากจะพูดตรงๆ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพียงพอจะสังหารยอดฝีมือชั้นหนึ่งในเมืองหลวง แต่ก็มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เด็กคนนี้คือบุตรีของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หากผู้สำเร็จราชการแผ่นดินออกคำสั่งใช้กองทหารรักษาพระองค์สามหมื่นคน พวกเขาฆ่าไหวหรือ?
อีกอย่างตัวตนของพวกเขาจะถูกเปิดเผยไม่ได้ นอกเสียจากจะได้รับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว พวกเขายังมีหน้าที่อื่นต้องทำในต้าโจว!
อย่างไรพวกเขาก็ควรเลี่ยงการเป็นจุดสนใจในตอนนี้
“ไม่ใช่นะ พี่ใหญ่…เด็ก…เด็กคนนี้ตัวหนักมากเลย…ข้าจะอุ้มไม่ไหวแล้ว…” ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดราวกับว่าคนท้องผูก
“แค่เด็กคนเดียวก็อุ้มไม่ไหว! มีเจ้าแล้วได้ประโยชน์ใด!” หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินกับผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองหยุดลง
“เมื่อครู่ยังอุ้มได้…แต่เหตุใดจู่ๆ กลับ…” ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ยามแรกที่เขาอุ้มก็เป็นเพียงเด็ก แต่อุ้มไปอุ้มมากลับคล้ายกลายเป็นตาชั่ง ทั้งยังเป็นตาชั่งที่แม้แต่ยอดฝีมือขั้นสูงอย่างพวกเขาก็ยังถือไม่ไหว!
เขารู้สึกว่าตอนนี้แขนของเขาใกล้จะหลุดลงมาแล้ว!
“เจ้าไป!” หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินส่งสายตาน้องรอง
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองเดินเข้าไปด้วยสีหน้าดูถูกดูแคลน
แม้ก่อนหน้านี้จะมีเรื่องที่ไม่อาจง้างมือของทารกได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครคิดว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังที่สามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นตาชั่งได้
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองเอื้อมมือออกไปอุ้มทารกน้อย
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตุบ ผู้พิทักษ์ดาบเงินเสียการทรงตัว สองมือดิ่งลงพื้น ทั้งร่างล้มคะมำ!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อถูกเขาถือไว้จึงไม่ได้ตกออกมาแต่อย่างใด ทว่าเขาไม่ใช่ มือของเขาถูกตาชั่งเล็กๆ นี้กดจนบวมปูดออกมา!
“อ๊าก——”
“ห้ามร้อง!”
ขณะที่น้องรองกำลังจะแหกปากร้องครวญคราง หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินก็รีบเข้ามาปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว
น้องคนรองใบหน้าเป็นสีม่วงเพราะหายใจไม่ออก
เจ็บเช่นนี้ เจ้ายังไม่ให้ข้าร้องอีก! ! !
“พวกเจ้าดูสิ! นางตื่นแล้ว!” ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามเอ่ย
แม้ตลอดทางเป็นเขาที่อุ้มนางมา ทว่าด้วยความรีบร้อน จึงไม่ได้สังเกตว่านางลืมตาขึ้นมาเมื่อไร
“นางไม่ร้อง” เขาเอ่ยต่อ
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองออกแรงสุดกำลังความสามารถดึงมือออกจากใต้ผ้าห่อตัวของทารก เวลานี้มันไม่ใช่มือของผู้พิทักษ์ดาบเงินอีกแล้ว แต่กลายเป็นอุ้งเท้าหมีคู่หนึ่ง
“เอ๊ะ? นางตื่นแล้ว เช่นนั้นก็นำไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้แล้วใช่หรือไม่?” ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามกล่าว
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองคิดว่าคงจะเป็นเช่นนั้น จึงรีบใช้อุ้งเท้าหมีของตนดึงมือเด็กน้อย พลางเอ่ยอย่างดุดัน “เอามาให้ข้า! หากไม่ให้ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
ไม่รู้ว่าเพราะตกใจหรือไม่ เยี่ยนเสี่ยวซื่อยอมคลายมือออกอย่างเชื่อฟัง
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองมองลูกปัดในมือด้วยความดีใจ “ในที่สุดไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึง——”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ลูกปัดที่ดูธรรมดาๆ พลันส่องแสงสีทองสว่างวาบ ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองยังไม่ทันจะตอบสนอง ก็รู้สึกว่าดวงตาของตนถูกส่องจนพร่ามัว…
นี่มันอะไรกัน…
ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน?
เป็นศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ชัดๆ!
แสงสีทองของศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมา หลังคาทั้งหลังแทบจะสว่างไปด้วยแสงของมัน
ผู้พิทักษ์ดาบเงินอีกสองคนอยู่ห่างออกไป แม้ไม่ได้ถูกแสงส่องตาจนพร่ามัวแต่ก็แสบตาไม่น้อย
สุดท้ายหัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินก็ถอดเสื้อคลุมสีดำของตนออกมาคลุมศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เพื่อกันแสง “น้องรอง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่…”
“ข้าไม่…อ๊า——” ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สองมองไม่เห็น จึงเดินย่ำอากาศ ตกจากหลังคาหมดสติไป
หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงิน “…”
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สาม “…”
“พี่ใหญ่ เด็กคนนี้ดูแปลกๆ นะ!” แม้พวกเขาจะเป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีสายเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ใช่ว่าใครก็สามารถสัมผัสไอปราณของสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ อีกอย่างผู้ที่มีระดับสูงแล้วก็มิได้ปล่อยให้คนสังเกตเห็นไอปราณของตนง่ายๆ
“ทำให้ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ส่องแสงได้…หรือว่านางจะมีสายเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์?” หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินถามด้วยความสงสัย ไม่แปลกที่เขาจะสงสัยเช่นนี้ จริงๆ นับตั้งแต่การสู้รบของเผ่าพ่อมดกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ คนในเผ่าไม่น้อยลี้ภัยออกไป หากจะหลงเหลือทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างก็ไม่แปลก
ได้ยินว่าคนรุ่นหลังของเผ่าพ่อมดไม่น้อยก็อาศัยปะปนอยู่กับผู้คนเช่นกัน
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามคาดเดาว่า “หากนางเป็นทายาทของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นหัวขโมยหญิงนั่นก็อาจเป็นด้วยหรือไม่? หากเอ่ยถึงลำดับขั้นอาวุโส หัวขโมยหญิงก็คือยายของนางน่ะสิ!”
หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินพยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดครานั้นนางถึงขโมยไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป” นางคงต้องการเพิ่มพลังของตนเป็นแน่ แต่การโกนผมมันเรื่องใดกัน? หรือจะเป็นวิธีพิเศษในการขโมยไข่มุก?
แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ เพราะแม้แต่แรงจูงใจของหัวขโมยหญิงผู้นั้นเขาก็ยังเดาผิด ต้องการเพิ่มพลังอะไร นางแค่เห็นว่ามันสวยดีก็เท่านั้น!
น่าเสียดายที่มีลูกปัดเพียงเม็ดเดียว หากมีสองชิ้น ช่างโกนหนวดเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์คงฝังมันบนรองเท้าไปแล้ว!
ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามเอ่ยต่อ “แต่นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ระดับใด? เหตุใดถึงเป็นแสงสีทอง?”
แสงสีทอง?
ฮ่าๆๆ
หากตอนนี้พวกเขาเอาเสื้อคลุมออกก็คงพบว่า ไหนละศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องแสงสีทอง มันคือแสงหลากสีต่างหาก ต้องการแสงสีใดก็จะส่องแสงสีนั้น!
หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินเอ่ย “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ในเมื่อไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่กับนาง ก็ต้องอยู่ในจวนเป็นแน่ พวกเราไปขโมยมันมาให้ได้ก่อน!”
“แล้วทำอย่างไรกับนาง?” ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามมองเยี่ยนเสี่ยวซื่อที่ลืมตามองแต่กลับไม่ร้องไห้งอแง ราวกับสงบนิ่งยิ่งกว่าทั้งสองคน
หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินเอ่ย “พาไปด้วย! หากจำเป็น ก็ใช้นางเป็นตัวประกัน!”
“โอ้”
ทั้งสองเสี่ยงกลับไปที่จวนคุณชายอีกครั้ง
จวนคุณชาย นอกจากเรือนของเยี่ยนอ๋องแล้วล้วนถูกปิดข่าว เพราะเกรงจะทำให้เด็กๆ ที่ยังไม่หลับตกใจ ส่วนที่อื่นๆ ล้วนวุ่นวายอลหม่านกันนานแล้ว
ทั้งสองแอบกลับเข้าไปในห้องของอวี๋หวั่นอย่างระมัดระวัง
คราวนี้พวกเขาค้นพบไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!
ที่แท้ก็อยู่ในเปล!
เมื่อครู่พวกเขาค้นหาทุกที่แต่ไม่ได้ดูที่เปล เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเข้าใจผิดว่าทารกกำไข่มุกที่พวกเขาต้องการเอาไว้ จึงไม่ได้หาต่อ
หากยามนั้นค้นดูให้ถี่ถ้วนก็คงไม่ต้องวิ่งกลับมาอีกครั้งเช่นนี้
ทั้งสองหยิบลูกปัดและอุ้มทารกออกจากจวน
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าที่นางไม่ร้องไห้เช่นนี้ จะพิการทางสมองรึไม่?” ขณะที่เหาะเหินไปบนหลังคา ผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามก็อดไม่ได้ที่จะเผยความสงสัยในใจ
เดิมทีพวกเขายังกังวลว่าเด็กจะร้องไห้และเปิดเผยร่องรอยของพวกเขา จึงคิดจะสกัดจุดนาง แต่กลับพบว่าไม่อาจสกัดได้!
ไม่ว่าพวกเขาจะสกัดจุดอย่างไร ทารกน้อยก็เบิกตากลมโตมองดูพวกเขาอย่างน่ารักน่าชัง
เหงื่อเย็นผุดพรายออกจากแผ่นหลังพวกเขา แม้ทารกผู้นี้จะงดงามไร้พิษภัย ทว่าในใจพวกเขากลับรู้สึกขนลุกขนพองอย่างบอกไม่ถูก….
ท้ายที่สุด พวกเขาก็คิดว่าเพราะพวกตนไม่เคยสกัดจุดเด็กทารกเช่นนี้มาก่อนจึงทำไม่ถูกต้อง
ใช่ มันต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่เช่นนั้นละ? สองยอดฝีมือราชาซิวหลัวขั้นสูงสุด มีหรือจะสกัดจุดทารกหญิงเพียงคนเดียวไม่ได้?
และจากนั้น พวกเขาก็พบว่าทารกทั้งไม่ร้องไห้และไม่งอแง พวกเขาจึงปล่อยนางไว้ตามสบาย
แต่เมื่อผู้พิทักษ์ดาบเงินคนที่สามถามว่า ‘นางพิการทางสมองหรือไม่’ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายกระตุก และคล้ายกับมีแรงมหาศาลฉุดเขาลงกลางอากาศไปกระแทกกับซุ้มเถาองุ่นที่อยู่ด้านล่าง
หัวหน้าผู้พิทักษ์ดาบเงินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาจึงเข้าไปรั้งอีกคนไว้ ทว่ากลับถูกแรงประหลาดนั้นดึงจนตกลงไปด้วยกัน
จากนั้นทั้งสองก็ลุกไม่ขึ้น
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตกลงบนพื้นอย่างมั่นคงด้านหลังหนึ่งในทั้งสอง
องุ่นในจวนคุณชายเติบโตงอกงามสีเขียวชอุ่ม ยามเหม่อมองไปคราแรกไม่มีทางเห็นเลยว่าด้านบนมีคนสองคนนอนอยู่
แต่เมื่อสองคนมองลงมาผ่านช่องว่างของกิ่งใบ ความรู้สึกก็กลายเป็นอีกแบบ
พวกเขามองเห็นไข่ดำทั้งสามชัดแจ๋ว พวกเขากำลังก่อกองไฟอยู่ใต้ซุ้ม หนึ่งในไข่ดำหยิบไข่สองสามฟองจากตะกร้าใส่ลงในกองไฟ
ไข่ไก่ก็ย่างเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
ไม่สิ เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าดึกดื่นไม่ยอมนอน วิ่งมาย่างไข่ที่นี่ด้วยเหตุใด?
ทั้งสองสงสัย
“ฮัดชิ่ว!” เวลานี้ต้าเป่าจามออกมาอย่างแรง
แต่เพราะจามแรงไปหน่อยทำให้ประกายไฟลุกโหม ประกายไฟนั้นค่อยๆ สูงขึ้น ราวกับมีตา มันอ้อมผ่านช่องว่างของกิ่งใบและไปติดที่เป้ากางเกงทั้งสอง
ทั้งสองสะดุ้งโหยง “……!!!”
ทั้งสองอยากลุกแต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ขยับไม่ได้ คล้ายกับมีเขาลูกใหญ่ทับพวกเขาไว้
นี่มันอะไรกัน…ตื่นอยู่ก็ถูกผีอำได้ด้วยหรือ?!
ทั้งสองมองประกายไฟที่เผา ในไม่ช้าจากประกายไฟก็กลายเป็นเปลวไฟเล็กๆ!
เสี่ยวเป่าสูดกลิ่น “หือ? เหตุใดข้าถึงได้กลิ่นเนื้อย่าง?”
เอ้อร์เป่าเอ่ย “ที่เราย่างเป็นไข่! ในไข่ก็มีลูกเจี๊ยบ! เมื่อไข่และลูกเจี๊ยบถูกไฟ! แน่นอนว่าต้องมีกลิ่นเนื้อย่าง!”
…………………………
Comments for chapter "บทที่ 46 เยี่ยนเสี่ยวซื่อไร้เทียมทาน!"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Silarat
จีเนียสมากเลยลูก~ 5555