หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 5.1 คนคลั่งรัก (1)
รถม้าคันที่อวี๋หวั่นนอนอยู่นั้นคือรถม้าที่เจียงจวินลาก เดิมทีต้องใช้ม้าสองตัวลาก แต่ยิ่งเดินทางไกลขึ้น พละกำลังของมันก็เพิ่มขึ้น ในตอนนี้มันสามารถลากรถม้าได้เทียบเท่ากับม้าสามตัว
เจียงจวินลากรถม้าอย่างรวดเร็วและมั่นคง ราวกับว่ามันลากไปตามท่วงทำนองของธรรมชาติ ไม่นานอวี๋หวั่นก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
แต่ขณะที่กำลังงัวเงีย อวี๋หวั่นก็สัมผัสได้ว่ามีคนขึ้นมาบนรถม้า ทั้งยังมองมาที่เธอด้วยสายตาเร่าร้อน
สายตาคู่นั้นแลดูอันตราย ทำให้เธอต้องตื่นจากความฝันเพื่อมองให้เต็มตา จากนั้นก็พบว่าคนตรงหน้าคือเยี่ยน จิ่วเฉา สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ค่อยดีนัก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสีหน้าของเขาแปลกประหลาด สายตาคมกริบจับจ้องมา ราวกับจะจับอวี๋หวั่นกินอย่างไรอย่างนั้น
อวี๋หวั่นขนลุกซู่ “มองข้าทำไม”
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ในรถม้าคนเดียวมิใช่เรื่องแปลก มานั่งในรถม้ากับเธอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือสายตาของเขาที่จ้องมองมาทำให้อวี๋หวั่นทำตัวไม่ถูก
เยี่ยนจิ่วเฉาเพ่งมองไปในดวงตาของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ตอนกลางคืนปล่อยหนอนพิษใส่ไม่พอ ตอนกลางวันก็ยังปล่อยหนอนพิษใส่ข้าอีกหรือ!”
“ข้า…ข้าปล่อยหนอนพิษใส่ท่านอีกแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นงงไปหมด หมอนี่สร้างเรื่องอยู่ครึ่งค่อนคืน เธอยังไม่ได้คิดบัญชีเลย มาตอนนี้ยังจะไม่ให้งีบ แต่กลับมาชวนทะเลาะอีก!
“ท่านพูดให้รู้เรื่องหน่อย!”
อวี๋หวั่นลุกขึ้นนั่ง กำปั้นต่อยลงบนหมอนหนึ่งหมัด
เธอ หนิ่วฮู่ลู่ อวี๋หวั่น….ไม่ใช่คนที่รังแกง่ายขนาดนั้นนะ!!!
เยี่ยนจิ่วเฉากลับมิได้รู้สึกเกรงกลัวเพลิงพิโรธของเธอ เขาจ้องมองเขามานานถึงเพียงนี้ ยามหลับ เธอเหมือนกับแมวอ้วนสีส้ม ยามโกรธเหมือนกับแมวอ้วนสีส้มขนพอง
และเขาก็ได้ค้นพบว่า ท่าทางยามที่เธอโมโหนั้นน่ารักจนแทบเป็นบ้า!
ไม่ใช่ลูกสาวที่น่ารัก แต่เป็น…สตรีที่น่ารัก
หัวใจของเยี่ยนจิ่วเฉาเต้นระรัวอีกครั้ง
อวี๋หวั่นโกรธจนควันออกหู แก้มของเธอพองขึ้น ทันทีที่มีโทสะก็มักจะหิวขึ้นมา เธอเปิดกล่องอาหาร หยิบขนมพุทราแดงออกมากัดกร้วมๆ
ทะเลาะกันได้เพียงครึ่งเดียวก็ต้องหาอะไรกิน ไม่มีใครทำได้แบบนี้อีกแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอกินขนมคำแล้วคำเล่า สมองของเขามีภาพของกระรอกอ้วนตัวหนึ่งลอยมา เขาคิดว่าเธอเหมือนกับกระรอกมาก
อวี๋หวั่นกินขนมเข้าไปสามชิ้นรวด เมื่อเห็นว่าเขายังไม่หยุดมองเธอ เธอก็กินอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ แล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก แล้วกระแอมออกมาเบาๆ “เช่นนี้เป็นอย่างไร ท่านบอกว่าข้าปล่อยหนอนพิษใส่ท่าน ข้าก็แค่ถอนพิษให้ท่านก็พอแล้ว”
วิธีทางจิตวิทยาก็แค่นั้น เมื่อจัดการแล้วก็จบเรื่อง เธอจะได้กลับไปนอนสักที
“ถอนพิษแล้ว…” เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นอย่างมีเลศนัย
อวี๋หวั่นหาววอด “หลังจากถอนพิษแล้วก็จะไม่วอแวข้าแล้วใช่ไหม!”
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตาด้วยสีหน้าหวาดระแวง “เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าการถอนพิษจะไม่เป็นอันตรายกับเจ้า? จะไม่ทำให้เจ้าสติวิปลาส ร่างกายถูกทำลาย หายใจไม่ออก พลังปราณย้อนกลับ หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต?”
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อเป็นหนอนพิษปลอม…”
อวี๋หวั่นพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็เหลือบไปมองสายตาระคนความเคลือบแคลงใจของเยี่ยนจิ่วเฉา สัญชาตญาณบอกเธอว่าเธออาจไม่รอดถ้าหากพูดความจริงออกไป!
เธอกะพริบตาปริบๆ กระแอมเบาๆ สองครั้ง แล้วเบนสายตาออกไปมองขนมในกล่อง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านโดนพิษของหนอนพิษระดับสูง ถอนพิษได้ยากที่สุดในใต้หล้า ถอนพิษออกไปแล้ว…ข้าก็จะตาย”
“ข้าว่าแล้วเชียว!” เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตาเป็นประกายด้วยความดุดัน “แต่เจ้าก็ยังลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้!”
อวี๋หวั่น “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงอวี๋หวั่นเข้ามากอด กอดแน่นเสียจนหายใจไม่ออก
อวี๋หวั่นรู้สึกร้อน
อวี๋หวั่นก้มหน้าลง พร้อมเอ่ยถามว่า “ต้องทำเช่นนี้หรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับอย่างเอาแต่ใจว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ?”
เจ้าคนปากไม่ตรงกับใจ!
อวี๋หวั่นซึ่งถูกพูดแทงใจดำโดยไม่ทันตั้งตัว “…”
ข้าจะไปพูดอะไรได้? ข้าเองก็ผิดหวังเหมือนกัน…
อวี๋หวั่นเหนื่อยเหลือเกิน แม้ว่าจะกอดกันจนรู้สึกร้อน แต่หลังจากที่ส่งพัดให้เขา เขาก็รู้ว่าเขาต้องเป็นคนพัดให้ตน
ไม่นานอวี๋หวั่นก็หลับไป ในครั้งนี้ เธอหลับลึกเสียจนต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่อาจปลุกเธอได้
เยี่ยนจิ่วเฉาพัดไปพลาง มองคนตัวอ้วนกลมในอ้อมกอดไปพลาง ในที่สุดหัวใจอันว่างเปล่าของเขาก็ได้รับการเติมเต็ม เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทันใดนั้นก็ก้มลงไปหอมแก้มเธอฟอดหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หอมไปหนึ่งฟอด เขาก็ชะงักไป!
แต่ว่า เมื่อนึกได้ว่าแม่นางคนนี้ปล่อยหนอนพิษใส่เขา เขาก็เข้าใจในทันใด
“พิษออกฤทธิ์แล้ว หึ!”
คุณชายเยี่ยนกอดคนในอ้อมแขนจนแน่น
ระหว่างทางจากสำนักเฟยอวี๋มายังหนานจ้าว พวกเขาต้องประสบกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าตั้งแต่ออกมาจากหนานจ้าว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดแผดเผา การเดินทางไร้อุปสรรคมาจนถึงซีเฉิง
ซีเฉิงเป็นเมืองใหญ่เมืองสุดท้ายของหนานจ้าว ในตอนนั้นพวกเขาไม่มีหนังสือผ่านทาง จึงต้องลงทุนลงแรงมหาศาลเพื่อเข้าไปยังซีเฉิง ทว่าวันนี้พวกเขาล้วนมีหนังสือผ่านทางของทางการอยู่กับตัว เข้าออกย่อมง่ายดาย เพียงแต่เมื่อนึกย้อนไปถึงประสบการณ์หฤโหดที่พวกเขาผ่านมา ก็พลันรู้สึกว่าพวกเขามาไกลเหลือเกิน
“ฮูหยินน้อย กำลังคิดอะไรอยู่หรือขอรับ” หลังจากรอกินอาหารในภัตตาคารเสร็จและกำลังรอผิงเอ๋อร์ไปจ่ายเงิน อิ่งลิ่วก็พบว่าอวี๋หวั่นกำลังใจลอย
อวี๋หวั่นหลุดจากภวังค์ แล้วบอกว่า “ข้ากำลังคิดว่าซิวหลัวกับพวกอาเว่ยเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้พวกเรารีบร้อน
เดินทาง ไม่ได้แวะที่หมิงตู”
ตอนที่พวกเขาเดินทางออกจากหมิงตู และมุ่งหน้าสู่เผ่าปีศาจ ซิวหลัวกับอาเว่ยกำลังเก็บตัว ชิงเหยียนและเยว่โกวรอพวกเขาอยู่ที่นั่น พวกเขาทิ้งสัญลักษณ์ไว้ระหว่างทาง ถ้าหากพวกเขาออกมาแล้ว ก็จะตามหาพวกเขาได้
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ข้ากลัวว่าพวกเขาจะตามพวกเราไปที่เผ่าพ่อมด แต่ก็ต้องไปเสียเที่ยว”
อิ่งลิ่วจึงปลอบว่า “ต่อให้พวกเขาไปที่เผ่าพ่อมด โจวจิ่นย่อมต้องบอกพวกเขาว่าพวกเรากลับมาแล้ว พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ เดินทางได้รวดเร็วขอรับ”
อวี๋หวั่นมองไปยังถนนซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คน และอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ครั้งก่อนผ่านมาที่ซีเฉิง ทุกคนก็อยู่ที่นี่ วันนี้กลับมาแล้ว เหลือเพียงแค่พวกเราไม่กี่คน”
อิ่งลิ่วพูดว่า “เดี๋ยวพวกเขาก็ตามมาขอรับ”
“อื้ม!” อวี๋หวั่นพยักหน้า อีกด้านหนึ่งผิงเอ๋อร์ก็จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว “พวกเราไปกันเถอะ”
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันเดินคุ้มกันอวี๋หวั่นขึ้นรถม้าไป
เยี่ยนจิ่วเฉาพาเด็กทั้งสามไปซื้อถังหูลู่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปบนถนนเส้นเดียวกัน รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไป
ระหว่างที่ผ่านตรอกแคบแห่งหนึ่งก็พบว่าด้านในมีผู้คนแน่นขนัดจนรถม้าของพวกเขาเคลื่อนไปไม่ได้
อวี๋หวั่นเลิกม่าน “เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าจะไปดูขอรับ” อิ่งสือซันบอก เขากระโดดลงจากรถม้า แล้วเบียดเข้าไปท่ามกลางฝูงชน และพบว่ามีดรุณีน้อยอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าร้านขายโลงศพ นางต้องการขายตัวเพื่อทำศพผู้เป็นบิดา
อิ่งสือซันเป็นหน่วยกล้าตาย เขาย่อมมองออกว่าร่างใต้ผ้าผืนสีขาวนั้นเป็นศพจริง อากาศในหนานจ้าวนั้นร้อนระอุ ศพนี้เริ่มส่งกลิ่นเหม็น ผู้คนโดยรอบต่างปิดจมูก ยกเว้นแม่นางน้อยผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นลูกกตัญญู คุกเข่าอยู่ด้านหลังศพโดยปราศจากท่าทางรังเกียจ
ก็จริง ศพของบิดาตนเอง จะรังเกียจได้อย่างไร? เพียงแต่นางยังอายุน้อย สามารถทนต่อความกลัวได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว
อิ่งสือซันกลับไปยังรถม้า เพื่อรายงานต่ออวี๋หวั่น “แม่นางคนหนึ่งขายตัวแลกเงินค่าทำศพบิดาขอรับ ตรงนั้นมีเพียงคนมามุงดู มิได้มีผู้ใดยื่นมือมาช่วยเหลือ ทำให้คนแน่นขนัดขอรับ”
อวี๋หวั่นรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อฝูงชนไม่มีท่าทีว่าจะแยกย้าย มิหนำซ้ำกลับเข้ามามุงดูมากกว่าเดิม เธอจึงพูดว่า “เอาเถอะ น่าสงสารนาง เจ้าไปที่ร้านขายโลงศพ ซื้อโลงศพไม้ให้นาง แล้วให้เสมียนในร้านไปช่วยนางฝังศพ”
ซีเฉิงนับว่าเป็นเมืองในอาณัติของสกุลเห้อเหลียน เธอเป็นลูกหลานสกุลเห้อเหลียน เมื่อพบเรื่องเช่นนี้ เธอจะเมินเฉยได้หรือ?
“ขอรับ!” อิ่งสือซันรับคำสั่ง เขาใช้เงินห้าตำลึงเพื่อซื้อโลงศพ และใช้เงินอีกห้าตำลึงเพื่อให้ร้านช่วยนำศพไปฝังไว้สถานที่ที่เหมาะสม
ทันทีที่ผู้จัดการร้านโลงศพรับเงินมา ก็รีบเรียกเสมียนให้ยกโลงไปทันที
ผู้จัดการร้านกล่าวว่า “แม่นาง มีคุณชายใจดีท่านหนึ่งซื้อโลงให้พ่อของเจ้า ทั้งยังกำชับให้พวกข้าช่วยจัดการฝังศพให้พ่อเจ้า เจ้ากลับไปเถิด พวกเจ้าก็แยกย้ายไปได้แล้ว ไม่ต้องมามุงดู!”
………………..