หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 53 ราชาศักดิ์สิทธิ์
สถานการณ์ในเมืองหลวงตึงเครียดขึ้นมาทันใด เพราะนอกจากจะมีรางวัลนำจับถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทองแล้ว จวนรัชทายาทยังเชิญ ‘ผู้สำเร็จราชการ’ มาวางกองกำลังจับคนร้าย ห้ามผู้ใดเข้าออกเมืองหลวงเป็นอันขาด
สองเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าคนร้ายยังอยู่ในเมืองหลวง!
จวนรัชทายาทวางกองกำลังอารักขาอย่างแน่นหนา คนร้ายกลับลอบเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง ทั้งยังวางยาพิษพระชายารัชทายาทได้สำเร็จ หมายความว่าวรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศ ชาวบ้านทั่วไปย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา เมื่อรู้ว่าคนร้ายที่มีฝีมือเช่นนี้ยังคงหลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวง ราษฎรก็ล้วนแต่อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
กระนั้นแล้ว รางวัลนำจับหนึ่งหมื่นตำลึงทองนับว่ามูลค่ามหาศาล เมื่อมีเงินย่อมมีผู้กล้า หลังจากที่รู้สึกตื่นกลัว ชาวบ้านต่างก็เริ่มสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว
บุรุษสวมผ้าคลุมคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นสตรีงามสะคราญ ทั้งยังมีลูกน้องอีกหลายคน คนกลุ่มนี้แลดูโดดเด่น ขอเพียงมาปรากฏตัวในที่ชุมชน ย่อมต้องมีคนจำได้
“เมืองหลวงประกาศกฎอัยการศึก ตอนนี้มีทหารเดินลาดตระเวนอยู่ทุกที่ บนถนนและตรอกซอกซอยต่างมีป้ายประกาศ…ถ้าพวกเราออกไป…” ท่ามกลางห้องมืดมิดแห่งหนึ่ง สตรีพิษพูดกับชายสวมผ้าคลุมด้วยสีหน้าวิตกกังวล
ชายสวมผ้าคลุมถูกสัตว์พิษตัวน้อยเจาะหน้าอกซ้ายจนเป็นรู ต่อให้หัวใจของเขาอยู่อีกด้านหนึ่ง และหนีความตายได้พ้น เขาก็ไม่อาจหนีความผิดได้ ความพยายามของเขาสูญเปล่า ถึงแม้ในวันข้างหน้าเขาจะหายดี แต่ระดับพลังของเขาก็ไม่อาจเทียบก่อนหน้านี้ได้
นั่นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของสตรีพิษ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดไว้
ต้องบอกว่าเยี่ยนไหวจิ่งเป็นหมากสำคัญของเขา เหมาะสมอย่างยิ่งกับการเป็นผู้สืบทอดของเขา ขอเพียงเยี่ยนไหวจิ่งไม่รนหาที่ตายเอง เขาย่อมหมายมั่นปั้นมือว่าจะช่วยให้เยี่ยนไหวจิ่งได้ครองบัลลังก์ ภายภาคหน้าเขาก็จะสามารถกุมอำนาจทั้งหมดของเมืองหลวง และเมื่อถึงตอนนั้น การหาทางเข้าใต้ดินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายราวปอกกล้วยเข้าปาก
ไฉนในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืน หมากตัวนี้ก็กลับกลายเป็นไร้ค่าไปเสียแล้วเล่า
ชายสวมผ้าคลุมขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ จวนคุณชายจึงต้องการจับตัวพวกเรา พระชายารัชทายาทไม่ได้ความจำเสื่อมไปแล้วหรือ?”
สตรีพิษเอ่ยขึ้นว่า “ข้าสงสัยว่านางแสร้งว่าความจำเสื่อม นางจงใจหลอกพวกเรา!”
ชายสวมผ้าคลุมกล่าวว่า “ต่อให้นางจงใจ แต่เยี่ยนไหวจิ่งเชื่อหรือ?”
สตรีพิษครุ่นคิด “หรือว่า…คนจวนคุณชายกลุ่มนั้นเปิดเผยตัวตนของพวกเราให้พวกเขารู้?”
จวนคุณชาย?
ชายสวมผ้าคลุมเงียบไป คิดไปคิดมาก็คงจะเหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ตอนที่เขาออกมาจากที่อยู่เดิม ยังมีคนอื่นหลงเหลืออยู่ ไม่รู้ว่าคนจวนคุณชายจับตัวประกันได้ และรีดข้อมูลจากตัวประกันซึ่งสืบสาวถึงเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไปหรือไม่
ถ้าหากถามว่า จวนคุณชายเดาออกได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นที่ปรึกษาของรัชทายาท เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคล
ชายสวมผ้าคลุมกดอกซึ่งรู้สึกเจ็บแปลบ และเดินไปยังห้องข้างๆ
ในห้องอันมืดมิด บุรุษอาภรณ์สีฟ้าอ่อนสวมผ้าคลุมหน้าสีขาวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
“ราชาศักดิ์สิทธิ์” ชายสวมผ้าคลุมคำนับอยู่ด้านนอกประตู
“เข้ามา” ราชาศักดิ์สิทธิ์บอก
ชายสวมผ้าคลุมก้าวเข้ามาในห้อง แม้ว่าเขาจะคำนับจากนอกห้องแล้ว เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดสีฟ้าอ่อน เขาก็คำนับอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความเคารพว่า “เรียนราชาศักดิ์สิทธิ์ รัชทายาทแห่งต้าโจวล่วงรู้ตัวตนของพวกเราแล้วขอรับ บัดนี้ตามจับไปทั่วทั้งเมืองหลวง เกรงว่า…ไม่นานพวกเราอาจถูกจับ ราชาศักดิ์สิทธิ์โปรดบอกพวกเราว่ามีแผนการอย่างไรต่อไป”
“หึ” ราชาศักดิ์สิทธิ์แค่นเสียงขึ้นจมูก เขามิได้ยี่หระภยันตรายที่กำลังเข้าประชิดขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่น้อย
ชายสวมผ้าคลุมพูดต่อ “ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าทำพลาดไป ราชาศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดลงโทษข้าด้วยขอรับ!”
พูดจบ เขาก็คุกเข่าลง
ราชาศักดิ์สิทธิ์โบกแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ พลังภายในสายหนึ่งปัดผ้าคลุมของเขาหลุดลงจากศีรษะ “ไม่ใช่แค่จวนรัชทายาทหรอกหรือ ข้าไม่เคยเห็นคนพวกนั้นอยู่ในสายตา ข้าเคยบอกไปแล้ว ไข่มุกวิญญาณหาพบแล้วหรือ?”
ชายสวมผ้าคลุมตอบว่า “ขอรับ อยู่ที่เด็กสองคนขอรับ”
“เด็ก…” ราชาศักดิ์สิทธิ์หรี่ตา “เจ้ารู้ใช่ไหม ว่าในบรรดาเด็กสองคนนั้น มีคนหนึ่งเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์”
ชายสวมผ้าคลุมตื่นตะลึง “รา…ราชาศักดิ์สิทธิ์?”
ราชาศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เคยเห็นเด็กสองคนนั้น ไม่อาจยืนยันได้ว่าคนไหนเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ แต่หนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาพยักหน้า พร้อมกับตอบว่า “มิผิด เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเพียงราชาศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่เติบโต ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าสัมผัสไม่ได้ แต่ต่อให้เล็กกว่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้พิทักษ์เผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้าจะสัมผัสได้”
ชายสวมผ้าคลุมก้มหน้าด้วยความอับอาย ในใจของเขารู้สึกประหนึ่งมีพายุโหมกระหน่ำ ลูกของสตรีคนนั้นเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ? ที่ไม่ได้กำจัดทิ้งไปตั้งแต่แรก ก็เพราะไม่มีผู้ใดเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่เกิด จำต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้ระดับพลังค่อยๆ เพิ่มขึ้น
แต่เพิ่งสามขวบก็ได้เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ เช่นนั้นย่อมต้องแข็งแกร่งเหนือธรรมชาติอย่างแน่นอน
หรือว่า…เป็นเพราะไข่มุกวิญญาณ?
อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อน เผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็มีสตรีศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง ใช้เลือดเซ่นไหว้ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางตั้งท้องสิบเดือน ก็เซ่นไหว้ทั้งหมดสิบเดือน เด็กในท้องของนางก็ดูดซับกลิ่นอายของไข่มุกวิญญาณ เมื่อคลอดออกมาจึงกลายเป็นครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นเด็กทารกที่มีระดับพลังสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้สตรีคนนั้นใช้เลือดเซ่นไหว้ไข่มุกวิญญาณ เด็กที่ออกมาอย่างมากก็เป็นได้เพียงครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์ ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เก่งกาจ ครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นรองเพียงราชาศักดิ์สิทธิ์ คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจเทียบได้แม้แต่ครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ดี ครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์คนนั้นฝึกฝนอย่างหนักจนบรรลุระดับพลังเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เมื่ออายุสิบสาม นี่นับว่าเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยที่สุดในรอบหนึ่งพันปี
บัดนี้ มีราชาศักดิ์สิทธิ์อายุเพียงสามขวบถือกำเนิดขึ้นในต้าโจว
แล้วจะให้ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์โดยตรงอย่างพวกเขายอมรับได้อย่างไร?!
………………………..