หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 56 ปู่หลานจอมเจ้าเล่ห์
ก่อนเข้านอน อวี๋หวั่นแวะไปยังห้องของเด็กน้อยทั้งสาม เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าหลับไปแล้ว ต้าเป้ากำลังง่วนอยู่กับขวดนมของเขาอยู่
อวี๋หวั่นทำขวดนมของพวกเขาทั้งสามขึ้นมาจากหนังแพะ ความทนทานไม่อาจเทียบเท่าขวดนมในยุคปัจจุบัน อวี๋หวั่นจึงกำหนดระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยนเป็นใบใหม่ ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นคิดไปเองหรือไม่ แต่ต้าเป่าใช้ขวดนมนานกว่าเสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่า
“ยังไม่นอนอีกหรือ? ทำอะไรอยู่” อวี๋หวั่นเดินเข้าไปลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา
ต้าเป่ายังไม่พูด แต่เขาอยู่กับเยี่ยนอ๋องมานาน เยี่ยนอ๋องสอนเถี่ยตั้นน้อยเขียนหนังสือ เขาก็ได้เรียนมาบ้าง ตอนนี้จึงเขียนตัวอักษรได้แล้ว
ต้าเป่าหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนว่า “ขวดนมพัง ข้าซ่อมอยู่”
อวี๋หวั่นรู้สึกเอ็นดูเหลือเกิน ทำไมการใช้คำของลูกเธอนั้นทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย ราวกับเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก
อวี๋หวั่นจึงหยอกว่า “เจ้าซ่อมขวดนมได้ด้วย เก่งจริงๆ”
ต้าเป่าพยักหน้า
ก็เขาเก่งจริงๆ นั่นแหละ
โอ๊ย ลูกของเธอน่ารักเหลือเกิน อวี๋หวั่นเอ็นดูเขาจนไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร และอดหลุดยิ้มไม่ได้ “เจ้ากินมากกว่าน้องอีกสองคนหรือ? ทำไมขวดนมของพวกเขายังไม่เป็นไร แต่ของเจ้ากลับพังเสียแล้ว?”
ต้าเป่าไม่ตอบอะไร
ที่จริงก็กินมากกว่าน้องอีกสองคน แต่เขาไม่ได้กินเอง
ต้าเป่ากลัวว่าเรื่องที่ตนรับหน้าที่เป็นแม่นมให้น้องสาวจะถูกเปิดเผย นำมาซึ่งชื่อเสียงอันป่นปี้ของเขา จึงกัดฟัน ไม่ยอมตอบอะไร
ความกังวลของเขาถูกถ่ายทอดผ่านสีหน้า เพียงแต่อวี๋หวั่นไม่ได้นึกไปถึงเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เธอคิดว่าต้าเป่ากัดขวดนม สุดท้ายก็กลัวจะโดนเธอเอ็ด อวี๋หวั่นไม่ได้จะกล่าวโทษลูก เธอหยอกเขาเล่นก็เท่านั้น ก็แค่ขวดนมไม่ใช่หรือ ใช้จนพังแล้วก็ทำใบใหม่ เธอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย!
อวี๋หวั่นลูบศีรษะของเขา “เอาเถอะ ไม่ต้องเศร้าไป แม่ไม่ได้ว่าอะไร ประเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ทำให้ใหม่”
ต้าเป่าส่ายหน้า ‘ข้าซ่อมได้’
อวี๋หวั่นชะงักไป “…เข้าใจแล้ว เจ้าซ่อมไปเถิด”
แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่ออวี๋หวั่นกลับห้องไป เธอก็ลงมือทำขวดนมใบใหม่ให้ลูกชาย
……
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจวนคุณชายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่โดยรอบจวนคุณชายนั้นไม่มีเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นนอกจากคนในจวนคุณชายแล้ว คนนอกไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น
สาส์นในราชสำนักนั้นมีมากประหนึ่งเกล็ดหิมะในเหมันตฤดู เยี่ยนอ๋องไล่อ่านทีละฉบับ เขาไม่ได้ลอกเลียนลายมือของเยี่ยนจิ่วเฉา ขุนนางใหญ่ที่คุ้นเคยกับเขาจำนวนไม่น้อยจดจำลายมือของเขาได้ แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจัดการสาส์นเองไม่ได้ ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจงใจทำเช่นนี้
รู้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นไม่เอาไหน หลังจากได้เป็นผู้สำเร็จราชการก็คงกินหรูอยู่สบายจนอ้วนท้วน ปล่อยให้บิดาบังเกิดเกล้าเค้นสมองเก็บกวาดหน้าที่ของตน
จะว่าไปเรื่องนี้ก็น่าขันยิ่งนัก หากเป็นคนอื่น คงถูกผู้ตรวจการแผ่นดินร้องเรียนไปไม่รู้กี่ร้อยครั้ง แต่เยี่ยนจิ่วเฉามีวีรกรรมมานับครั้งไม่ถ้วน ขอแค่เขาไม่ออกมาอาละวาด ทุกคนก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยนอ๋องมีความสามารถในการบริหารกิจการแผ่นดิน หรือจะเรียกว่ามีพรสวรรค์ก็คงได้
หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาใช้วิธีการอันเหี้ยมโหดจัดการกับขุนนางฉ้อฉลกลุ่มหนึ่ง เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างก็อกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนหน้า บัดนี้เยี่ยนอ๋องเข้ามาจัดการงานแทน ทุกคนย่อมรู้สึกขอบคุณเยี่ยนอ๋อง
แน่นอนว่าทุกเรื่องล้วนมีข้อยกเว้น ที่ปรึกษาของเยี่ยนไหวจิ่งแนะนำให้เยี่ยนไหวจิ่งฉวยโอกาสในตอนนี้ หาหลักฐานการกระทำผิดของเยี่ยนจิ่วเฉามาบีบให้เยี่ยนอ๋องส่งมอบอำนาจบริหารกิจการแผ่นดินมาให้เขา
ตามหลักการและเหตุผลแล้ว เรื่องนี้สามารถทำได้
แต่เยี่ยนไหวจิ่งก็มิได้ทำเช่นนั้น
เขาเกลียดเยี่ยนจิ่วเฉาก็จริง แต่ศัตรูอยู่เบื้องหน้า เขาจำต้องเก็บความแค้นส่วนตัวไว้เป็นเรื่องรอง
…..
“ท่านอ๋อง”
ขณะที่เยี่ยนอ๋องกำลังจัดการราชกิจอยู่ในห้องหนังสือ อิ่งสือซันก็เดินเข้ามา
“มีอะไร” เยี่ยนอ๋องซึ่งกำลังอ่านสาส์นชะงักไป
อิ่งสือซันตอบว่า “เมื่อครู่จวินฉางอันมาที่นี่ขอรับ”
“จวินฉางอัน? ยอดฝีมือจากยุทธภพที่อยู่ข้างกายรัชทายาทน่ะหรือ?” เยี่ยนอ๋องถาม
“ใช่ขอรับ” อิ่งสือซันตอบ
เยี่ยนอ๋องวางสาส์นลง “เขามีเรื่องอะไร”
อิ่งสือซันตอบไปตามความจริงว่า “รัชทายาทให้เขามาขอรับ รัชทายาทให้เขานำข้อมูลมาบอกพวกเราว่าคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่หนีไปจากจวนรัชทายาทนั้น มีกองทัพอยู่ในมือ”
คิ้วของเยี่ยนอ๋องขมวดเล็กน้อย
อิ่งสือซันพูดต่อ “คนเหล่านั้นรับปากว่าจะช่วยเหลือรัชทายาท บอกว่าพวกเขาเป็นเผ่าเล็กๆ ซึ่งอยู่โพ้นทะเล มีกองกำลังที่แข็งแกร่ง ขอเพียงรัชทายาทสู้ราคาไหว กองกำลังรับจ้างของพวกเขาก็จะทำเพื่อรัชทายาท รัชทายาทจ่ายเงินไปแล้ว กองทัพกำลังเดินทางมายังต้าโจว”
เยี่ยนอ๋องใช้ความคิด แล้วพูดว่า “เกรงว่าจะไม่ใช่กองกำลังรับจ้าง หากแต่เป็นทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์”
อิ่งสือซันพยักหน้า “รัชทายาทก็กล่าวเช่นนั้นขอรับ”
เดิมทีเยี่ยนไหวจิ่งเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่บัดนี้ตัวตนของคนเหล่านั้นได้ถูกเปิดเผย ต่อให้เยี่ยนไหวจิ่งจะโง่เขลาเบาปัญญากว่านี้ก็เดาออกว่ากองกำลังนี้ไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ทางที่ควรเปิด เขาก็เปิดให้แล้ว ดังนั้นเยี่ยนไหวจิ่งเองจึงยังไม่รู้แน่ชัดว่ากองทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดแล้ว
“อีกฝ่ายมีทั้งหมดกี่คน” เยี่ยนอ๋องถาม
อิ่งสือซันตอบว่า “พวกเขาบอกรัชทายาทว่าเป็นทหารฝีมือดีหนึ่งหมื่นคน แต่ข้ารู้สึกว่ามิได้มีเพียงเท่านี้”
พวกเขาจะไปบอกความจริงกับรัชทายาทได้อย่างไรกัน แม้แต่จุดประสงค์ที่พวกเขาเข้าใกล้เยี่ยนไหวจิ่งก็ยังปลอม จำนวนกองกำลังที่แท้จริงก็ย่อมต้องมีลับลมคมใน
อิ่งสือซันพูดต่อว่า “รัชทายาทติดต่อกับสายสืบไม่ได้ คาดการณ์ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็สังหารผู้ที่รัชทายาทส่งไป”
“เข้าใจแล้ว” เยี่ยนอ๋องพยักหน้า “เจ้าให้อิ่งลิ่วไปสืบมาก่อนว่าตอนนี้กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดแล้ว มีคนมากถึงเพียงนั้นคงไม่อาจหลบซ่อนได้ เมื่อรู้ว่าอยู่ที่ใด ก็จะให้ทางการของเมืองนั้นปิดเมืองไว้”
“ทางการ…จะยอมหรือขอรับ?” อิ่งสือซันยังคงเคลือบแคลงใจ
เยี่ยนอ๋องเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบของทรงสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งออกมา
อิ่งสือซันมอง จากนั้นก็ถึงกับตื่นตะลึง!
นี่มันตราราชลัญจกรหยกของฝ่าบาทไม่ใช่หรือ?
ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่สนใจอำนาจและฐานะ แต่กลับมีตราราชลัญจกรหยกอยู่กับตัวเนี่ยนะ?
“อะแฮ่ม” เยี่ยนอ๋องกระแอม “เจ้านำไปให้อิ่งลิ่ว”
“แค่กๆ …ขอรับ!” อิ่งสือซันยื่นมืออันสั่นเทิ้มออกไปรับราชลัญจกรหยก ท่านคงไม่ได้ให้หน่วยกล้าตายเข้าไปหยิบมาหรอกกระมัง? ท่านไม่ได้เข้าวัง ฝ่าบาทไม่มีทางมอบให้ท่านง่ายๆ แน่!
“อีกเรื่องหนึ่ง” อิ่งสือซันกำลังจะเดินออกไป เยี่ยนอ๋องก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงเรียกเขาไว้ “อาหวั่นกำลังพักฟื้น เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องทำให้นางเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย พวกเจ้าทำในนามของนาง ส่วนเรื่องวังหลวง ก็ต้องจับตาดูสักหน่อย”
วังหลวง? เรื่องนี้ข้าจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างไรกัน?
อิ่งสือซันยังไม่ทันได้พูดความในใจออกมา ก็พบว่าเยี่ยนอ๋องเปิดลิ้นชักออกมาอีกครั้ง แล้วหยิบของที่เล็กกว่าราชลัญจกรหยกออกมา…ตราประทับของฮองเฮา
อิ่งสือซันมุมปากแทบกระตุกขึ้นไปถึงใบหู
“จวนรัชทายาท หงลู่ซื่อ รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…” เยี่ยนอ๋องหยิบตราประทับทองของรัชทายาทออกมา
“…”
อิ่งสือซันหน้าดำตาถมึงทึง
ท่านอ๋อง ถามจริงเถอะ ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้ให้คนเข้าไปย่องเบาวังหลวง? ท่านไม่ได้กำลังฉวยโอกาสท่ามกลางหายนะจริงๆ ใช่ไหม?
……………..