หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 57 เยี่ยนเสี่ยวซื่อเคลิบเคลิ้ม!
อันที่จริง สิ่งที่เยี่ยนอ๋องเป็นห่วงในตอนนี้ไม่ใช่กองทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกองทัพข้ามเขตแดนมาย่อมต้องมีข่าวคราว ทว่าเพราะเหตุใดพวกเขาใกล้เคลื่อนทัพมาถึงที่นี่แล้ว แต่เยี่ยนอ๋องยังไม่รู้แน่ชัดว่ากำลังพลมีเท่าใด และนั่นทำให้เขาไม่อาจยืนยันจำนวนที่แท้จริงได้
แต่ด้วยวิธีของคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเลือกที่จะเอาชนะด้วยสติปัญญา และไม่ใช้การโจมตีเป็นวิธีแรก กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์อาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะกำราบต้าโจว
นี่ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะเปิดฉากสู้รบกัน แต่อย่างน้อยเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจยอมรับราคาที่ต้องจ่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยามที่พวกเขากำลังจะเข้ามาในเขตแดนของต้าโจว หรือเข้ามาแล้ว ย่อมต้องปกปิดตัวตนให้ดี ไม่เข้าไปคุกคามหรือเข่นฆ่าชาวบ้าน
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์พิจารณาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อใดที่ตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผย เยี่ยนอ๋องก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะจับราษฎรเป็นตัวประกัน และจะใช้วิธีมัจฉาตายตาข่ายขาด[1]กับทางการของต้าโจวหรือไม่
เพราะฉะนั้น เยี่ยนอ๋องจึงให้อิ่งลิ่วชิงเอาชนะด้วยสติปัญญา เหตุผลที่ปิดเมืองก็ปรับเปลี่ยนไปตามพื้นที่ สรุปแล้วก็คือ พวกเขาต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อถ่วงเวลากองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วรอกองทัพของราชสำนักตามไปสมทบ
หลังจากที่อิ่งสือซันนำคำสั่งของเยี่ยนอ๋องไปแจ้งแก่อิ่งลิ่ว อิ่งลิ่วก็หอบตราประทับทั้งหมดออกเดินทางไป
เพื่อความปลอดภัย เยี่ยนอ๋องคัดลอกราชโองการลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ไว้ฉบับหนึ่ง เพราะฉะนั้นหากราชโองการถูกปลอมแปลงออกไป จะไม่มีผู้ใดกล่าวโทษเยี่ยนจิ่วเฉาได้ ต้นฉบับอยู่ที่เยี่ยนจิ่วเฉา บุตรสืบทอดงานของบิดา นับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
เมื่อมีราชโองการย่อมต้องมีราชลัญจกรหยก เยี่ยนอ๋องมิได้กังวลว่าอิ่งลิ่วจะเผชิญกับเรื่องเหนือความคาดหมาย เมื่อถึงตอนนั้น อิ่งลิ่วก็สามารถนำราชลัญจกรหยกออกมาบังคับใช้ได้
อิ่งลิ่วมักจะเงอะงะกับเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับงานใหญ่ เขาไม่เคยผิดพลาด
อิ่งสือซันกลับไปรายงานเยี่ยนอ๋องในห้องหนังสือ เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอ๋องยังไม่ลงมือทำอะไร จึงอดสงสัยไม่ได้ “ท่าน
อ๋องกังวลว่าอิ่งลิ่วจะหยุดกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่ได้หรือขอรับ?”
เยี่ยนอ๋องกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าอิ่งลิ่วทำได้ อีกทั้งทัพใหญ่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางพบกับอิ่งลิ่วรวดเร็วถึงเพียงนั้น”
อิ่งสือซันถามว่า “เช่นนั้นท่านอ๋อง…กำลังเป็นห่วงคุณชายอยู่หรือขอรับ?”
คุณชายเก็บตัวอยู่หลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าชุยเฒ่าจะยืนยันว่ายาถอนพิษนั้นถูกต้อง แต่อิ่งสือซันก็ยังเป็นห่วงคุณชาย
อย่างไรเสียกระบวนการถอนพิษนั้นต้องใช้แรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก ต้องละเอียดรอบคอบ เพื่อหาพิษในร่างกายอย่างถ้วนถี่ ไม่อาจทำอย่างขอไปทีได้
เพียงวันสองวันคุณชายอาจทนไหว แต่หากกินเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนเล่า? นานวันเข้า คุณชายจะไม่รำคาญใจแย่หรือ?
เยี่ยนอ๋องส่ายหน้า “ข้าก็เชื่อมันในฉงเอ๋อร์เช่นกัน เขาต้องถอนพิษแล้วกลับออกมาอย่างปลอดภัย”
อิ่งสือซันพยักหน้า แม้ว่าทั่วทั้งใต้หล้าจะคิดว่าคุณชายบ้านเขาไม่เอาไหน แต่เขาติดตามคุณชายมานาน เขาย่อมเข้าใจนิสัยของคุณชายดี ก่อนหน้านี้เขาไม่สนว่าตนเองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทว่าในตอนนี้เขาหวงแหนชีวิตนี้มาก
เขามีคนที่ต้องปกป้อง มีเหตุผลที่ทำให้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
เยี่ยนอ๋องหยิบสาส์นฉบับหนึ่งขึ้นมา ยังไม่ทันได้เปิดอ่านก็วางกลับลงไป “ข้ากำลังกังวลเรื่องราชาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์”
อิ่งสือซันถามด้วยความสงสัยว่า “ราชาศักดิ์สิทธิ์หนีไปแล้วนี่ขอรับ? พลังของเขาไม่มากพอ ทั้งยังมีแผนการอยู่ในใจ คงไม่มาที่นี่ง่ายๆ อีก”
ดูจากสภาพสะบักสะบอมของเขาหลังจากถูกราชาศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยเล่นงาน ไม่ว่าอย่างไรอิ่งสือซันก็ไม่เชื่อว่าเขาจะมารนหาที่ตายเป็นครั้งที่สอง
เยี่ยนอ๋องกล่าวว่า “เจ้าคงไม่รู้…ว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีราชาศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียว”
คำพูดนี้ทำให้อิ่งสือซันถึงกับนิ่งไป ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร เผ่าศักดิ์สิทธิ์ยังมีราชาศักดิ์สิทธิ์คนอื่นอีกหรือ?
เห็นอิ่งสือซันตกใจถึงเพียงนี้ จะว่าไปก็ไม่น่าแปลก ที่จริงแล้วทั้งเผ่าศักดิ์สิทธิ์และเผ่าพ่อมดล้วนเป็นเผ่าโบราณที่แข็งแกร่ง เขามักจะชอบนำเผ่าพ่อมดมาเปรียบเทียบ ทุกวันนี้เผ่าพ่อมดมีราชาพ่อมดเพียงคนเดียว เมื่อมีโจวจิ่นซึ่งเพิ่งบรรลุระดับพลังเพิ่มมาอีกหนึ่งคน จึงนับเป็นสองคน แต่กว่าโจวจิ่นจะบรรลุระดับพลังได้นั้นไม่ง่ายเลย เขามีทั้งสายเลือดของราชาพ่อมดและราชาศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
และเป็นไปไม่ได้ในเผ่าศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
เขาจึงคิดว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์มีราชาศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเช่นกัน
แต่ความจริงแล้ว โครงสร้างของเผ่าศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างจากเผ่าพ่อมด ในเผ่าพ่อมด ผู้กุมอำนาจสูงสุดนั้นเรียกว่าราชา ส่วนในเผ่าศักดิ์สิทธิ์เรียกว่าจักรพรรดิ โครงสร้างการปกครองของเผ่าศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้มงวดและทะเยอทะยานมากกว่าเผ่าพ่อมด
หากไม่ใช่เพราะที่ตั้งของเผ่าพ่อมดไม่มีสิ่งดึงดูดคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าป่านนี้เผ่าศักดิ์สิทธิ์คงยกทัพไปตีไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาส่งมารดาของโจวจิ่นไปเป็นสายลับในเผ่าพ่อมด ก็เพราะสภาพแวดล้อมของของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมาะสมต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น พวกเขาจึงอยากรู้ว่าที่เผ่าพ่อมดเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้ว มารดาของโจวจิ่นรายงานกลับไปว่าเผ่าพ่อมดไม่เหมาะสมยิ่งกว่าเสียอีก
ดังนั้นเผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงล้มเลิกแผนการเปิดศึกกับเผ่าพ่อมด หลังจากนั้นหลายปี เผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงจะรู้เรื่องของโจวจิ่น
เยี่ยนอ๋องกล่าวว่า “ข้าก็เพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากวันที่สอบสวนนักโทษ เผ่าศักดิ์สิทธิ์มีราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดห้าคน แม่ของโจวจิ่นเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอายุน้อยที่สุด นางไม่อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ตอนนี้เหลือราชาศักดิ์สิทธิ์ทิศบูรพา ทิษประจิม ทิศทักษิณ และทิศอุดร ผู้ที่บุกมาวันนี้คงจะเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ทิศบูรพา”
อิ่งสือซันหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ “เช่นนั้นก็หมายความว่า…ราชาศักดิ์สิทธิ์อีกสามคนก็แข็งแกร่งใกล้เคียงกับเขาหรือขอรับ?”
น่ากลัวเหลือเกิน
ราชาศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจเอาชนะราชาศักดิ์สิทธิ์ถึงสิบคนพร้อมกันได้
เยี่ยนอ๋องส่ายหน้า “ไม่ใช่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับเขา หากแต่นับว่าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าเขา”
อิ่งสือซันหายใจเข้าด้วยความตกใจ
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่คิดว่าที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต่อราชาศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยเป็นเพราะพลังไม่แข็งแกร่งพอ เขาไม่เคยดูเบาพลังของอีกฝ่ายเพียงเพราะเรื่องนี้
ถ้าหากราชาศักดิ์สิทธิ์มาพร้อมกันเช่นนั้นจริง เกรงว่าคงทำได้เพียงรอให้คุณชายออกมาร่วมมือกับราชาศักดิ์สิทธิ์น้อย จึงจะมีโอกาสชนะ แต่คุณชายกลับเพิ่งเริ่มถอนพิษ อีกนานกว่าจะออกมา
“พวกเขา…คงไม่ได้อยู่ระหว่างทางมายังเมืองหลวงหรอกใช่ไหมขอรับ?” อิ่งสือซันหายใจไม่ทั่วท้อง
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า “กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์แบ่งออกเป็นหลายทัพย่อย หนึ่งในนั้นเป็นกองทหาร อีกส่วนหนึ่งเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ตามหลักแล้ว ทั้งสี่คนคงจะออกเดินทางจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาพร้อมกัน แต่ที่ราชาศักดิ์สิทธิ์ทิศบูรพาปรากฏตัวเพียงคนเดียว ข้าเดาว่าเป็นเพราะเขาต้องการสำรวจเส้นทาง และนำหน้าอีกสามคนที่เหลือ แต่อีกสามคนก็คงไม่ยอมรั้งท้าย พวกเขาน่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างช้าไม่เกินสองวัน”
ราชาศักดิ์สิทธิ์มิใช่ทหารหัวอ่อนแต่ชอบอวดเบ่ง พวกเขามีวรมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง มีพลังภายในที่ลึกล้ำ แม้ว่าเมืองหลวงจะปิดประตูเมืองไปแล้ว แต่ประตูเมืองก็ย่อมมิใช่อุปสรรคสำหรับพวกเขา
นี่คือสิ่งที่เยี่ยนอ๋องวิตกที่สุดในตอนนี้
เยี่ยนจิ่วเฉากำลังเก็บตัว ถ้าหากราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่คนบุกมาที่นี่ เรื่องแพ้ชนะยังไม่ต้องเอ่ยถึง เยี่ยนอ๋องกังวลว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะละทิ้งการถอนพิษกลางคัน และออกมาปกป้องพวกเขา หากเป็นเช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดก็จะสูญสลายลงในพริบตา
ชุยเฒ่าเคยบอกว่า เยี่ยนจิ่วเฉามีโอกาสถอนพิษเพียงครั้งเดียว ถ้าหากถูกขัดจังหวะ เขาก็จะปราศจากทางรอดแล้ว
ความกังวลของเยี่ยนอ๋องไม่นับว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว เพราะในคืนนั้น หลังจากที่เขาสนทนากับอิ่งสือซันเสร็จ ราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามก็เดินทางถึงเมืองหลวง
เป็นดังที่เยี่ยนอ๋องคาดการณ์ กำแพงเมืองสูงตระหง่านก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกเขาได้ พวกเขาใช้วิชาตัวเบา กระโดดข้ามกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย
ในตอนนั้น เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังไม่รู้ว่าเจ้าคนอ่อนหัดที่ตนรังเกียจนั้นได้เรียกกำลังเสริมมาแล้ว และกำลังจะเดินทางมาจัดการนางในไม่ช้า
นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ อาบน้ำจนสะอาด
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเป็นแม่นางน้อยที่รักความสะอาด นอกจากการกินนมแล้ว สิ่งที่นางชอบที่สุดคือการอาบน้ำ
และนางก็ให้ความร่วมมือดีเหลือเกิน
แม่นมเลี้ยงเด็กมามาก แต่ไม่เคยเห็นเด็กคนไหนรักการอาบน้ำเช่นนี้มาก่อน ผ้ายังเช็ดไม่ถึงอก นางก็หันหน้าไป เพื่อให้แม่นมเช็ดลำคอแล้ว
จะว่าไปนางก็เปลี่ยนแปลงไปมาก แรกเกิดไม่หนักเท่าไร เรียกว่าน้ำหนักน้อยกว่าเด็กทั่วไปก็คงได้ แค่หลังจากคลอดออกมาได้ไม่เท่าไรก็ตัวใหญ่กว่าเดิม เด็กทั่วไปตัวเท่าเดิม แต่นางกลับดูราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง!
หากไม่รู้ คงคิดว่ามีคนแอบป้อนนมให้นาง
“เอาละ อาบน้ำเสร็จแล้ว” แม่นมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นมา
นางคลอดออกมาก็หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู บนใบหน้าปราศจากร่องรอย คลอดออกมาเพียงไม่กี่วัน ผิวก็ขาวนวลและนุ่มนิ่ม มือและเท้าเล็กเป็นสีชมพูระเรื่อ งดงามจนละสายตาไม่ได้
ผมของนางสวย ทั้งหนาและดกดำ แต่เส้นไม่ใหญ่ ผมของคนอื่นอาจยาวออกมาสะเปะสะปะ แต่ผมของนางกลับต่างออกไป นุ่มสลวยและไม่ยุ่งเหยิง ประหนึ่งสวรรค์ประทานเส้นผมให้นาง
ต้าโจวมีธรรมเนียมตัดผมทารก เดิมทีเยี่ยนอ๋องคิดจะตัดผมให้นาง เขาตัดผมให้นางด้วยตนเอง แต่ทันทีที่ลงมือตัด นางก็ร้องไห้เสียงดัง
สุดท้ายแล้วเยี่ยนอ๋องก็ต้องยอมแพ้
แม่นมสวมเสื้อผ้าให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ผิงเอ๋อร์รุดเข้ามาหยิบกระจกส่องให้นาง “คุณหนูของพวกเรางามเหลือเกิน”
ตามหลักแล้ว เด็กเล็กเช่นนี้ไม่มีทางชอบมองกระจก แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อเป็นเด็กธรรมดาที่ไหนกัน?
สายตาของนางจับจ้องไปยังทารกในกระจก จากนั้นก็เริ่มน้ำลายไหล
วินาทีต่อมา นางก็ล้มลงไป
ผิงเอ๋อร์ถึงกับตะลึงงัน นางมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งกำลังน้ำลายไหล อีกทั้งยังมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม จนผิงเอ๋อร์อดรู้สึกฉงนใจไม่ได้
คุณหนูเล็กเป็นอะไรไป
ถึงแม้พูดเช่นนี้จะฟังดูแปลกประหลาด แต่คุณหนูเล็กคงไม่ได้เคลิบเคลิ้มในความงามของตนเองจนล้มลงไปหรอกกระมัง?
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ : ข้า งาม ขนาดนี้ ได้อย่างไร!
………………………………