หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 6.1 พี่จิ่วถูกใส่ความ (1)
อวี๋หวั่นมีความสุขที่อากาศเป็นใจตลอดการเดินทาง ทว่าช่วงบ่าย สวรรค์ก็ประทานสายฝนลงมา และโดยรอบล้วนแต่ว่างเปล่า พวกเขาทำได้เพียงหาวัดร้างเพื่อหลบฝน สายฝนโหมกระหน่ำลง แต่ก็หยุดลงอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
พวกเขาเดินทางต่อ แต่กลับไปไม่ถึงตำบลชิงเหอก่อนตะวันตกดิน
“คุณชาย ฮูหยินน้อย คืนนี้คงต้องค้างแรมริมลำธารขอรับ”
ในตอนแรกที่เยี่ยนจิ่วเฉาได้รับความทรงจำของยอดฝีมือ เขาเกือบสังหารอิ่งลิ่วกับอิ่งสือซันไปแล้ว แต่ว่าในวันที่สอง ทั้งสองหลุดปากเรียกเขาว่าคุณชาย เขาก็ชะงักไป ราวกับกำลังคิดว่าเคยได้ยินเสียงเรียกว่าคุณชายเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน ทว่าเพียงชั่วขณะหนึ่งก็ดูราวกับว่าชิ้นส่วนของความทรงจำนั้นถูกขุดขึ้นมา สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมรับคำเรียกนี้ และยอมรับองครักษ์ทั้งสอง
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบเบาๆ พลางโอบกอดอวี๋หวั่นตัวอวบอ้วนซึ่งนอนหลับสนิทน้ำลายย้อยลงบนเสื้อของเขา
พร้อมทั้งส่งสายตาให้ทั้งสองเสียงเบาๆ
ทั้งสองมองไปยังเด็กน้อยทั้งสามซึ่งนอนหัวไปทางเท้าไปอีกทางอยู่บนเบาะ จากนั้นก็มองไปยังฮูหยินน้อยซึ่งคุณชายกำลังกอดไว้แน่น ในใจก็พลันคิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า ‘ใครว่าลูกมีพ่อนับเป็นลาภอันประเสริฐ แล้วคุณชายน้อยที่ถูกพ่อทิ้งไว้อย่างกับหญ้าแห้งสามต้นนี่คืออะไรกัน?!’
“ประเดี๋ยวข้าช่วย” ผิงเอ๋อร์เปิดม่านรถม้าออกมา
อิ่งลิ่วตอบว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้านั่งรออยู่บนรถม้า! งานใช้แรงเช่นนี้ พวกเจ้าทำไม่ไหวหรอก!”
ถ้าหากคนรูปร่างสูงใหญ่อย่างฝูหลิงอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่านางอาจทำได้ ทว่าสำหรับผิงเอ๋อร์และเซียงเหลียนซึ่งพวกเขารับมาระหว่างทาง งานนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางทำ
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันไปยกกระโจมและอุปกรณ์สำหรับค้างแรมจากรถม้าคันสุดท้าย จากนั้นก็หาพื้นที่โล่งและแห้ง แล้วลงมือตั้งกระโจม
ที่นี่ฝนไม่ตก พื้นดินจึงแห้งสนิท เหมาะแก่การตั้งกระโจมเป็นที่สุด
เซียงเหลียนและผิงเอ๋อร์นั่งรออยู่ในรถอย่างว่าง่าย แม้ว่าอิ่งลิ่วจะไม่ยอมให้พวกนางทั้งสองช่วยงาน แต่ผิงเอ๋อร์
กลับนั่งไม่ติด นางคอยมองออกไปข้างนอก เผื่อว่าอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันมีสิ่งใดให้นางช่วย นางจะได้เข้าไปได้ทันท่วงที
“ผิงเอ๋อร์” เซียงเหลียนเรียกนางด้วยเสียงค่อย
ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้ามาด้วยกันตลอดทั้งช่วงบ่าย นับว่าได้สนทนากันบ้างแล้ว เพียงแต่ผิงเอ๋อร์เป็นคนพูดน้อย ทั้งยังไม่ค่อยสุงสิงกับใคร หากเซียงเหลียนไม่เริ่มพูดกับนางก่อน นางก็ไม่ปริปาก
“มีอะไรหรือเซียงเหลียน?” ผิงเอ๋อร์เอ่ยถาม
เซียงเหลียนถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นคนต้าโจวหรือ?”
“ไม่ใช่” ผิงเอ๋อร์ส่ายหน้า
“เป็นคนหนานจ้าวหรือ?” เซียงเหลียนถามต่อ
“ข้าเป็นคนประเทศมรกต” ผิงเอ๋อร์ตอบ
“ประเทศมรกต?” เซียงเหลียนมีสีหน้าฉงนใจ ราวกับไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“เป็นสถานที่ที่ไกลมาก” ผิงเอ๋อร์เองก็ไม่ค่อยกระจ่างนักว่าสรุปแล้วประเทศมรกตนั้นอยู่ที่ใด นางถูกคนพาตัวไปตลอดทาง เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นไปที่ใด นางก็ไปที่นั่น นางไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไปที่ใดหรือไปอย่างไร นางเพียงแต่ทำหน้าที่ของนางให้ดีที่สุด และดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารของพวกเขาก็เพียงพอแล้ว
หนึ่งในเหตุผลที่อวี๋หวั่นชอบผิงเอ๋อร์ก็เพราะนางไม่พูดมาก อวี๋หวั่นรู้สึกสบายหู ทั้งยังเรียกใช้ง่ายและทำงานคล่องแคล่ว
เซียงเหลียนยิ้ม แล้วถามผิงเอ๋อร์ว่า “คุณชายกับฮูหยินน้อยไปทำอะไรในสถานที่ที่ไกลขนาดนั้นหรือ?”
“น่าจะ…ไปหาคน” ผิงเอ๋อร์ครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง นางไม่รู้เรื่องยาถอนพิษของเยี่ยนจิ่วเฉา นางรู้เพียงว่าคุณชายกับฮูหยินน้อยมีความจำเป็นต้องเดินทางไปเผ่าพ่อมด ส่วนพวกเขาไปทำอะไรนั้น ไม่มีใครบอกนาง และนางก็ไม่ได้ไปสืบความแต่อย่างใด
แต่สุดท้ายแล้ว ฮูหยินก็ได้พบกับท่านปู่เป้าที่หมู่บ้านนอกเผ่า
เพราะฉะนั้นนางคิดว่าเป็นไปได้มากที่ฮูหยินน้อยและคุณชายจะไปตามหาท่านปู่เป้า!
แน่นอนว่าพวกเขาก็ไปหาราชาพ่อมด แต่ราชาพ่อมดก็เป็นคนตามหาลูกชายของท่านปู่เป้ากลับมาไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นเป้าหมายที่พวกเขาตามหาราชาพ่อมดก็นับว่าชัดเจนอยู่แล้ว นั่นก็คือเพื่อให้ราชาพ่อมดช่วยทำนาย และตามหาลูกชายของท่านปู่เป้า!
“หาคนหรือ…หาใครกัน…ไปตามหาเสียไกลถึงเพียงนั้น” เซียงเหลียนพึมพำ
ผิงเอ๋อร์นั่งไม่ติดแล้ว นางอยากลงไปช่วยงาน!
“ผิงเอ๋อร์” เซียงเหลียนจับมือของนาง “ร่างกายของคุณชาย…ไม่ค่อยแข็งแรงใช่ไหม?”
ผิงเอ๋อร์ทำตาโต “จะเป็นไปได้อย่างไร? คุณชายออกจะร่างกายแข็งแรง! วรยุทธ์ของคุณชายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา!”
เท่าที่ผิงเอ๋อร์รู้ วรยุทธ์สูงนั้นเท่ากับร่างกายแข็งแรง ไม่มีสิ่งใดผิดปกตินี่!
“มีวรยุทธ์ได้อย่างไรกัน…หรือว่าตามมาผิดคน?”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ผิงเอ๋อร์ได้ยินไม่ชัด
“อา ไม่มีอะไร” เซียงเหลียนยิ้ม แล้วชี้ไปยังอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันซึ่งตั้งกระโจมเสร็จเรียบร้อยแล้ว “น่าจะเสร็จแล้ว พวกเราไปยกของกันเถอะ”
ทั้งสองคนยกเครื่องนอนเช่นฟูกสำสี แล้วแยกย้ายกันไปปูตามกระโจมต่างๆ
พวกเขามีทั้งหมดสี่หลัง ชุยเฒ่ากับอาม่าหนึ่งกระโจม ผิงเอ๋อร์กับเซียงเหลียนหนึ่งกระโจม อิ่งลิ่วกับอิ่งสือซันหนึ่งกระโจม เยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น และเด็กทั้งสามนอนกระโจมเดียวกัน
ชุยเฒ่าเหนื่อยแทบขาดใจ รถม้าโยกไปเยกมา จนเขาปวดหลังไปหมด
เขาลากแข้งขาซึ่งปวดร้าวและอ่อนแรงของตนลงจากรถม้า และหันไปมองอาม่าซึ่งมีสภาพย่ำแย่กว่าเขา แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ข้าไม่เข้าใจ เจ้าบอกว่าตัวยาหาครบแล้ว สิ่งที่เจ้าควรทำก็ทำครบแล้ว เหตุใดไม่กลับเผ่าปีศาจ หรือว่าใช้ชีวิตที่หนานจ้าว? เหตุใดต้องลำบากกลับมาที่นี่ด้วย”
“เจ้าไม่เข้าใจ”
จิ่วเฉาอาจไม่ต้องการเขาแล้ว แต่เด็กๆ ในหมู่บ้านเหลียนฮวายังต้องการเขา
อาม่าหยิบตำราเรียนซึ่งเขาพลิกอ่านไปนับครั้งไม่ถ้วน แล้วสาวเท้าเดินเข้ากระโจมไป!
เยี่ยนจิ่วเฉาพาอวี๋หวั่นซึ่งยังคงหลับสนิทเข้าไปในกระโจม
อิ่งสือซันอุ้มต้าเป่าและเอ้อร์เป่า ส่วนอิ่งลิ่วอุ้มเสี่ยวเป่าตรงไปยังกระโจมของเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น ขณะที่ทั้ง
สองกำลังจะพาเด็กทั้งสามเข้าไปในกระโจมนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ดึงกระโจมปิด
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันยืนอ้าปากค้าง…
ทั้งสองสงสารเด็กน้อยทั้งสามคน จึงพาพวกเขากลับไปยังกระโจมของพวกตน
อิ่งลิ่วนอนอยู่ด้านซ้าย อิ่งสือซันนอนอยู่ด้านขวา ส่วนเด็กๆ นอนตรงกลาง ภาพเช่นนี้ออกจะ…
………..
บนรถม้ามีอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหาร ผิงเอ๋อร์ยกเตาเล็กมา เรียกให้เซียงเหลียนจุดไฟ นางนำวัตถุดิบไปล้างในลำธารซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป เดินไปเพียงครู่เดียวก็ถึงแล้ว
ผิงเอ๋อร์ล้างมันเทศหลายหัว หัวผักกาดกับผักกวางตุ้งอีกตะกร้าหนึ่ง และไข่ไก่สิบฟองกับเนื้อสามชั้นรมควัน อากาศในหนานจ้าวค่อนข้างร้อน การรมควันเนื้อจึงทำได้ยาก นี่เป็นเนื้อที่ร้านค้าซื้อมาจากต้าโจว นางถานเห็นว่าเนื้อรมควันเก็บรักษาง่าย จึงให้พวกเขานำมาด้วย ส่วนผักกวางตุ้งนั้น พวกเขาแวะซื้อระหว่างทาง
เมื่อผิงเอ๋อร์ล้างวัตถุดิบเสร็จ เซียงเหลียนก็จุดไฟเสร็จแล้ว
ผิงเอ๋อร์นำหัวมันวางลงในกองไฟ จากนั้นก็หั่นเนื้อรมควัน ผัดกวางตุ้ง และหัวผักกาด เมื่อผัดเสร็จก็ตุ๋นเป็นน้ำแกง ในตอนนั้น กลิ่นหอมยั่วยวนของอาหารก็ลอยไปในอากาศ
เด็กทั้งสามเพิ่งหลับไปตอนหัวค่ำ กว่าจะตื่นก็คงจะพรุ่งนี้เช้า เยี่ยนจิ่วเฉาให้อวี๋หวั่นกินอาหารรองท้องไปแล้ว เธอจึงไม่หิว เพียงแต่กินหัวมันไปครึ่งหนึ่ง กับเนื้อรมควันสองสามชิ้น เธอนั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงไปเดินเล่นริมลำธารกับเยี่ยนจิ่วเฉา
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วยังอยู่ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อดูแลเด็กทั้งสาม เหตุผลที่สองก็เพื่อไปจับตาดูเซียงเหลียน
ตลอดทางมาที่นี่ เซียงเหลียนมิได้มีท่าทีพิรุธแต่อย่างใด
หรือว่า…พวกเขาเข้าใจนางผิดไป?
“ผิงเอ๋อร์…” ขณะที่กำลังเก็บกวาดเครื่องครัว เซียงเหลียนก็แอบดึงชายเสื้อของผิงเอ๋อร์เบาๆ
“มีอะไรหรือ” ผิงเอ๋อร์หันไปถาม
เซียงเหลียนกัดริมฝีปาก “ข้า…ข้าอยากไปถ่ายเบา เจ้า…ไปกับข้าหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ!” ผิงเอ๋อร์ตอบอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในป่า
โดยทั่วไปสตรีมักรู้สึกกระดากอาย เรื่องอย่างการปลดทุกข์ ย่อมไม่พาองครักษ์ไปด้วย
“พวกนางไปไหนกัน” อิ่งสือซันเปิดกระโจมออกมา เมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่หน้ากองไฟหายไปแล้ว จึงรีบถามอิ่งลิ่ว
อิ่งลิ่วตอบว่า “เข้าไปในป่าแล้ว น่าจะไปทำธุระของสตรี เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก”
อิ่งสือซันกลับคิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
…………………………