หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 61 ปัจฉิมบท (3-1)
อวี๋หวั่นไม่ได้พบหน้าพ่อแม่มานาน แม้ว่าก่อนหน้านี้ราชาพ่อมดจะบอกไว้แล้วว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่เป็นไร แต่หากยังไม่ได้เห็นว่าทั้งสองเป็นอย่างไร อวี๋หวั่นก็ยังไม่วางใจ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองอยู่ตรงหน้าของเธอโดยปราศจากรอยขีดข่วน อวี๋หวั่นจึงถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก
อวี๋เซ่าชิงอุ้มทารกน้อยออกไปเล่นอย่างสบายอารมณ์ ส่วนแม่ลูกก็นั่งสนทนากันอยู่ในห้อง
อวี๋หวั่นรู้ความจริงหลังจากที่พวกเขาตกลงไปในโพรงจากนางเจียง นอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว ผู้ที่ตกลงไปในโพรงในวันนั้นมีร่างหุ่นเชิดของหลัวช่าวิญญาณอีกตัวหนึ่ง หลังจากที่ร่างนั้นตกลงไปในโพรงไร้ที่สิ้นสุด ก็ขาดการติดต่อกับหลัวช่าวิญญาณ และกลายเป็นเพียงซากศพเน่าเฟะ ส่วนนางเจียงและอวี๋เซ่าชิงหล่นลงไปในโพรงนั้นนานกี่ชั่วยามก็ไม่อาจรู้ได้
เห็นทีที่เผ่าพ่อมดเรียกหลุมนั้นว่าโพรงไร้ที่สิ้นสุดก็มิใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
อวี๋เซ่าชิงลองคว้าสิ่งต่างๆ รอบข้าง เช่นเถาวัลย์และก้อนหิน กระนั้นขณะที่ตกลงไป ก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถเกาะได้ จึงทำได้เพียงตกลงไปเช่นนั้น
โพรงไร้ที่สิ้นสุดนั้นมืดสนิท ไม่รู้ว่าตกลงนานเท่าไร อยู่ๆ ก็มีลมพัดขึ้นมา ไม่รู้ว่าในลมนั้นมีสิ่งใดผสม ทำให้ทั้งสองผล็อยหลับไป เมื่อพวกเขาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในถ้าที่มืดมิดแล้ว
ในถ้ำนี้คล้ายกับว่าจะมีลมพัดเข้ามา
ถ้ำนี้มีอากาศถ่ายเท แสดงว่าส่วนหนึ่งของถ้ำนี้เชื่อมต่อกับโพรงไร้ที่สิ้นสุด ความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่งก็คือที่นี่เป็นอีกที่หนึ่ง ที่นี่อาจเป็นกุญแจสำคัญที่พวกเขาจะออกไปจากโพรงไร้ที่สิ้นสุดได้
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางในถ้ำ จนในที่สุดก็ออกมาได้
เพียงแต่ว่า ที่นั่นอยู่ห่างจากเผ่าพ่อมดมาก ทั้งสองไปสืบความและรู้มาว่าอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉา กับคนอื่นๆ เดินทางออกจากเผ่าพ่อมดแล้ว จึงเดาว่าทั้งสองกลับต้าโจว จึงรีบตามกลับมา
“แค่นี้เองหรือ?” ทำไมอวี๋หวั่นรู้สึกว่ามันออกจะฟังดู…ง่ายดายเดินไป
นางเจียงกะพริบตาปริบๆ “แค่นี้แหละ”
ยกเว้นแต่เรื่องที่จับเจ้าสามทำอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นแล้วก็อย่างนี้ อย่างนั้นแล้วก็อย่างนี้
“เหตุใดท่านไปนานขนาดนั้นเล่า” อวี๋หวั่นคิดว่าตกลงไปในโพรงไร้ที่สิ้นสุดไม่น่าเกินสามวันสามคืน สลบอยู่ในถ้ำก็ไม่น่าจะนาน ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ทั้งสองก็ไม่ควรกลับมาถึงต้าโจวช้าเช่นนี้
นางเจียงไม่มีทางยอมรับว่านางทำอะไร จึงตอบด้วยท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะว่า “แม่ร่างกายไม่แข็งแรง เร่งรีบเดินทางไม่ไหว”
“ก็จริง” อวี๋หวั่นเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด “ลำบากท่านแม่แย่เลยเจ้าค่ะ”
นางเจียงพยักหน้า ใช่แล้วๆ ลำบากมากเลยละ
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก อวี๋หวั่นได้ยินเสียงของอิ่งลิ่วซึ่งกำลังสนทนากับคนอื่น เธอจึงเดินออกไปมองข้างนอก แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “อิ่งลิ่ว เกิดอะไรขึ้นในจวนหรือ?”
เธอไม่ได้พูดเสียงดัง แต่ก็ดังพอที่ยอดฝีมืออย่างอิ่งลิ่วจะได้ยิน
อิ่งลิ่วเดินเขาไปในห้อง คำนับอวี๋เซ่าชิงครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยืนรายงานอยู่ด้านนอกฉากกั้น “เรียนฮูหยินน้อย ในจวนจับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้สี่คน ท่านอ๋องกำลังจะสอบสวนพวกเขา ข้าจึงเรียกองครักษ์ความสามารถสูงให้พาพวกเขาไปยังห้องสอบสวนขอรับ”
“จับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว? กี่คนหรือ” เมื่อครู่มัวแต่สนใจเรื่องท่านพ่อท่านแม่กลับมา ไม่ได้ยินเรื่องอื่น
อิ่งลิ่วพูดว่า “ขอรับ จับได้สี่คน”
ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนจับ
เพราะบอกไม่ได้
พูดไปแล้วเขาคงโดนต่อยจนสะบักสะบอม
อวี๋หวั่นไม่ได้ซักไซ้ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ไปทำงานต่อเถอะ”
“ข้าน้อยขอตัวก่อน!” อิ่งลิ่วออกไปจากห้อง
อวี๋หวั่นลูบคาง “เผ่าศักดิ์สิทธิ์มีราชาศักดิ์สิทธิ์ตั้งหลายคน…แต่เผ่าพ่อมดกลับมีราชาพ่อมดเพียงคนเดียว ดูแล้ว
เผ่าศักดิ์สิทธิ์กับเผ่าพ่อมดนั้นต่างกันมาก…แต่ว่า ราชาศักดิ์สิทธิ์จะมากขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเยี่ยนอ๋องรึ?”
เมื่ออวี๋หวั่นพูดถึงประโยคสุดท้าย ในดวงตาของเธอก็เปี่ยมไปด้วยความยกย่องเยี่ยนอ๋อง
เธอไม่ได้สงสัยว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ เมื่อครู่อิ่งลิ่วไมได้บอกหรอกหรือว่าในจวนจับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้สี่คน? ยอดฝีมือในจวนนอกจากเยี่ยนจิ่วเฉา ก็ยังมีอิ่งสือซัน แต่ด้วยพลังของอิ่งสือซัน จัดการราชาศักดิ์สิทธิ์คนเดียวก็อาจไม่ไหว หากจะให้จับถึงสี่คน เกรงว่าคงจะไม่ง่ายปานนั้น ต้องใช้พลังความบ้าคลั่งเข้าสู้!
นางเจียงรู้สึกอึดอัดใจ ใช้ความบ้าคลั่งนั่นแหละ!
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ “ต้องเป็นเพราะท่านพ่อใช้สติปัญญาในการเอาชนะเป็นแน่! ข้าตัดสินใจแล้ว หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ท่านพ่อเป็นคนที่ข้ายกย่อง!”
นางเจียงหน้าง้ำงอ “ถ้าข้าบอกว่า…ข้าเป็นคนจับเขามา เจ้าจะเชื่อไหม?”
อวี๋หวั่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังนางเจียง “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…ท่านแม่ ท่านตลกจังเลย!”
นางเจียงอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เยียนเสี่ยวซื่อตื่นขึ้นเพราะแรงวูบหนึ่ง ใบหน้าของนางแลดูมึนงง
ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะทำอะไร
เป็นอีกค่ำคืนอันแสนวุ่นวายในจวนคุณชาย
อิ่งลิ่วและอิ่งซือซันหยิบเหล็กนิลซึ่งนำมาจากหมิงตูออกมา แล้วใส่ตรวนทั้งมือและเท้าให้ราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ โซ่เหล็กนิลสามารถควบคุมหลัวช่าโลหิตได้ ไม่คิดเลยว่าจะสามารถใช้การกับคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วย แม้ว่าจะไม่ถึงกับทำให้พวกเขาเจ็บปวด แต่ก็สามารถกดพลังที่พวกเขามีในตอนนี้ได้ ทำให้พวกเขาไม่สร้างเรื่อง
นี่เป็นห้องลับใต้ดิน ภายหลังถูกสร้างเป็นห้องสำหรับสอบสวน ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนเก้าอี้เย็นเฉียบ สายตาจ้องเขม็งไปยังเยี่ยนอ๋อง
ถึงแม้เจ้าหัวขโมยนั้นจะจับพวกเขาฟาดจนระดับลดลง แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เหมือนกับทหารคนก่อนหน้านี้ ไม่ทันไรก็ยอมพูดออกมาแล้ว
เยี่ยนอ๋องเป็นบุรุษที่ไร้วรยุทธ์ ทั้งยังเป็นบุรุษรูปงามหาผู้ใดเปรียบ มาต้าโจวนานถึงเพียงนี้ ต้องบอกว่าต้าโจวนั้นมีชัยภูมิที่ดี ผู้คนเป็นเลิศ และอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงปรากฏที่นี่ หรืออาจเป็นเพราะทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ จึงทำให้ต้าโจวเป็นเช่นนี้
กระนั้นความงดงามภายนอกก็ไม่เพียงพอให้ราชาศักดิ์สิทธิ์ยอมศิโรราบ…นอกเสียจากราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิม
ราชาศักดิ์สิทธิ์สิทธิ์ประจิมเชิดชูราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณมาโดยตลอด หนึ่งในเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความสามารถ
ของราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ อีกหนึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะความหล่อเหลาของราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ เขาเป็นบุรุษรูปงามที่พบได้ไม่มากในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะย่างเข้าวัยกลางคนก็ยังมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย
ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมคิดว่าในชีวิตนี้ นางไม่มีทางพบบุรุษคนใดที่มีเสน่ห์ไปกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณอีกแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยนอ๋อง ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมก็เปลี่ยนความคิดในทันใด
อีกทั้ง ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมยังคิดอยากแก้ต่างว่าตนมิได้ชื่นชมคนเพียงเพราะหน้าตา นางหลงใหลราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณก็เพราะหน้าตาและความสามารถ ทว่าแท้จริงแล้ว แค่หน้าตาก็เพียงพอแล้ว ความสามารถนั้นเป็นเรื่องรอง!
ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมมองไปยังเยี่ยนอ๋อง ยิ่งมองยิ่งหลงใหล
เหตุใดบนโลกนี้ถึงมีบุรุษรูปงามอย่างนี้ได้
หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางคงน้ำลายไหลไปแล้ว!
“ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิม” ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณเอ่ยเรียก ตัดบทความคิดของราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมพอดิบพอดี ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมได้สติกลับมา แล้วเบือนสายตาออกจากเยี่ยนอ๋องด้วยความน้อยใจ
ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณมองไปยังเยี่ยนอ๋อง “ไม่ต้องเปลืองแรงเปล่า ไม่ว่าอย่างไรพวกข้าก็จะไม่บอก ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีหนอนพิษที่เก่งกาจ สามารถควบคุมคนให้พูดความจริงได้ แต่พวกเจ้าลองกับพวกข้าก็ได้ คอยดูก็แล้วกันว่าพวกข้าจะพูดไหม หรือว่าต่อให้พวกเจ้าใช้การทรมานกับพวกข้า แล้วพวกข้าร้องออกมา ก็อย่ามาเรียกพวกข้าว่าคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์!”
“เช่นนั้นหรือ?” เยี่ยนอ๋องกล่าวเสียงค่อย
ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมทนความเขินอายไม่ไหวแล้ว แม้แต่เสียงก็ยังไพเราะเลย! ทั้งอ่อนโยนและมีพลัง ให้ความรู้สึกห่างเหินและเย็นชา ลึกลับน่าค้นหาเหลือเกิน
นี่มันเทพเซียนลงมาจากสวรรค์หรืออย่างไรกัน งามเหนือมนุษย์มนาเกินไปแล้ว!
“ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิม!” ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณกัดฟันกรอด
สตรีคนนี้ไม่ได้คอยตามติดเขามาตลอดหรอกหรือ? ไฉนทันทีที่พบบุรุษอื่น กลับเปลี่ยนใจง่ายเช่นนี้ หรือจะเป็นดังคำกล่าวที่ว่าสตรีจิตใจรวนเรง่าย?
ครั้งนี้ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมไม่เพียงหลับตาลง แต่ยังปิดโสตประสาทของตนด้วย
ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณจ้องเยี่ยนอ๋องด้วยสายตาเย็นเยียบ กลับมายังหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ ต้องบอกว่าหลังจากที่ถูกราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมกวนใจ เขาก็มิได้ดูน่าเกรงขามแต่อย่างใด!
ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณกัดฟัน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อา ใช่สิ ได้ยินว่าคนจงหยวนมียาเสน่ห์ชนิดหนึ่ง เรียกว่ายาห้าศิลา ทำให้คนลุ่มหลง เจ้าจะใช้ยาชนิดนี้กับพวกข้าก็ย่อมได้”
ยาห้าศิลามีฤทธิ์ทำให้คนลุ่มหลงมัวเมา ก่อนหน้านี้เยี่ยนอ๋องก็ได้ใช้กับยอดฝีมือชาวเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนนั้น เพียงแต่ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีพลังจิตเข้มแข็งอย่างราชาศักดิ์สิทธิ์
เยี่ยนอ๋องเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะฉะนั้นเยี่ยนอ๋องคิดว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้โอ้อวดว่าตนมีพลังมาก
แต่ต่อให้วิธีที่สาธยายมาทั้งหมดใช้การไม่ได้ เยี่ยนอ๋องก็ยังมีวิธีของตนเอง
เยี่ยนอ๋องลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย เดินไปตรงหน้าของราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ มองเขาจากศีรษะจดเท้า “เจ้าคิดว่ากระดูกของพวกเจ้าแข็งมากหรือ?”
ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมอยู่ด้านข้างราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ นางปิดสัมผัสทางตาและหูไปแล้ว แต่นางก็ยังได้กลิ่นอยู่!
กลิ่นของตำราและหนังสือกำจายออกมาจากร่างกายของเยี่ยนอ๋อง ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมตื่นเต้นเหลือเกิน
ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณกระชากโซ่อย่างแรง โซ่นั้นไม่ยาวนัก เขาขยับเพียงเล็กน้อยโซ่ก็ตรึงเขาไว้แล้ว
แต่เสียงนั้นก็เรียกสติของราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมกลับมา
ไม่มองและไม่ฟัง แต่จะห้ามนางไม่ให้หายใจก็คงจะยาก เก่งจริงเจ้าก็หล่อให้ได้เท่าเขา น้ำเสียงไพเราะให้ได้เท่าเขา กลิ่นหอมให้ได้เท่าเขาสิ!
เยี่ยนอ๋องมิได้ใส่ใจสิ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เขามองไปยังราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ สายตาสุขุมเยือกเย็นคู่นั้น ทำให้ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณรู้สึกว่าตนเองกำลังปราชัย
เยี่ยนอ๋องกลับไปนั่งบนเก้าอี้ของตน
อิ่งสือซันเห็นว่าเขากลับมาอย่างปลอดภัย จึงเก็บกระบี่ซึ่งเมื่อครู่ชักออกมาเข้าฝักไป
“ข้าจะให้ทางเลือกกับพวกเจ้า” เยี่ยนอ๋องมอง แล้วชี้ไปยังด้านหลังของทั้งสี่ “เห็นนาฬิกาทรายบนกำแพงนั่นไหม? ประเดี๋ยวพวกเจ้าเข้าไปในห้อง จะมีนาฬิกาทรายเช่นนี้อยู่ ทรายในนาฬิกาทรายไหลหมด เท่ากับหนึ่งชั่วยาม”
ทั้งสี่คนไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ทำไมอยู่ๆ ก็พูดเรื่องนาฬิกาทรายขึ้นมา อีกอย่าง หนึ่งชั่วยามที่เขาพูดถึงคืออะไรกัน
เยี่ยนอ๋องพูดต่อ “หลังจากนี้พวกเจ้าจะถูกพาไปแยกกันสอบสวน แต่ละคนมีเวลาหนึ่งชั่วยามที่จะสารภาพออก
มา ถ้าหากพวกเจ้าทุกคนไม่พูด พวกเจ้าก็ชนะ ข้าจะยอมรับว่าพวกเจ้าแข็งแกร่ง และปล่อยพวกเจ้าไป ถ้าหากพวกเจ้าทุกคนพูดออกมา ก็เท่ากับว่าข้าชนะ ข้ามีความสุข และก็จะปล่อยพวกเจ้าไป”
อะไรกัน สารภาพหรือไม่สารภาพก็ยังจะปล่อยพวกเขาไปหรือ? ใต้หล้ามีเรื่องง่ายพรรค์นี้ที่ไหนกัน หรือว่าสมองของเจ้านี่พังเสียแล้ว ไม่คิดจะบังคับให้สารภาพสักหน่อยหรือ?
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังพูดไม่จบ” เยี่ยนอ๋องบอก “พวกเจ้าสูญเสียพลังยุทธ์ไปมาก ข้ามียาวิเศษจากหมิงตู หนึ่งเม็ดเท่ากับพลังยุทธ์หนึ่งปี คนแรกที่สารภาพออกมา ก็จะได้พลังยุทธ์คืนไปสิบปี คนที่สองจะได้พลังยุทธ์อีกห้าปี คนที่สามได้พลังยุทธ์อีกสองปี คนสุดท้ายน่ะหรือ ต้องขอโทษด้วย ถ้าหากสามคนพูดไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่พูด ข้าก็คงทำได้เพียงขังเจ้าไว้ในคุกของจวนคุณชายไปเรื่อยๆ”
“พวกข้าไม่มีทางสารภาพหรอก!” ราชาศักดิ์สิทธิ์อุดรตวาดลั่น
“อื้ม เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าข้าเคารพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากไม่มีใครสารภาพเลยสักคน ข้าจะไม่เพียงปล่อยพวกเจ้าไป แต่ยังจะคืนพลังยุทธ์ให้พวกเจ้าสิบห้าปี ถ้าหากพวกเจ้าทุกคนสารภาพ ก็จะไม่ได้พลังยุทธ์คืน” เยี่ยนอ๋องมองไปยังทั้งสี่คน “อยากออกไปจากที่นี่? อยากได้พลังยุทธ์คืน? พวกเจ้าก็ต้องกัดฟันให้สนิท อย่าได้สารภาพออกมา”
พูดจบ เยี่ยนอ๋องก็โบกมือเรียกให้คนมานำตัวพวกเขาไป
จวนคุณชายมีพื้นที่กว้างขวาง ราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่มีพื้นที่ของตนเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกเขาจะมีโอกาสลอบสื่อสารกัน
แรกเริ่มเดิมที พวกเขาคิดว่าให้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม เจ้าคนชื่อเยี่ยนอ๋องดูถูกคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขาเกินไปแล้ว อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วยามเลย ต่อให้เป็นสิบวันหรือครึ่งเดือน พวกเขาก็ไม่มีทางบอกแม้แต่คำเดียว!
นอกจากนั้น พวกเขาไม่ได้โง่ เยี่ยนอ๋องบอกแล้วว่าถ้าหากไม่มีผู้ใดสารภาพออกมา พวกเขาทั้งสี่สามารถกลับออกไปได้ ทั้งยังจะได้พลังยุทธ์คืนไปสิบห้าปี
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพของยา พวกเขามิได้เคลือบแคลงใจมากนัก ทันทีที่เปิดขวดยาออกมา พวกเขาก็ได้กลิ่นของยารุนแรง และเชื่อว่ายานี้ใช้ได้ผลจริง เพียงแต่ว่าพลังยุทธ์ที่ได้มาจากยานี้ก็ไม่อาจเทียบระดับพลังของราชาศักดิ์สิทธิ์ได้ กระนั้นก็ยังดีว่าตายทั้งเป็นเช่นนี้
พวกเขาเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะเยี่ยนอ๋องได้!
พวกเขายังคิดอีกว่า เยี่ยนอ๋องอาจข่มขู่พวกเขาก็เท่านั้น สุดท้ายแล้ว หลังจากที่เยี่ยนอ๋องจับพวกเขาไปขังในห้อง ก็มิได้สนใจพวกเขาอีก!
ไม่มีใครเข้ามาเลยสักคนเดียว!!!
ในห้องนั้นมืดสนิท สี่มุมห้องเงียบสงัดจนน่ากลัว
ทุกคนลอบใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อหาความเคลื่อนไหวของคนอื่น แต่น่าเสียดายที่จวนคุณชายกว้างเกินไป
ด้วยพลังที่พวกเขามีในตอนนี้ ไม่มีทางได้ยินสิ่งที่ผู้อื่นพูดจากระยะไกล
หนึ่งชั่วยามนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จะเรียกว่าผ่านไปในอึดใจเดียวก็เห็นจะได้
ไม่มีใครเข้ามาปลุกปั่นพวกเขาสักหน่อยหรือ เช่นเข้ามาโกหกพวกเขาว่าใครสักคนสารภาพออกมาแล้ว หากเจ้าไม่พูดออกมา ก็คงไม่ได้เป็นคนที่สองแล้ว
หากอีกฝ่ายทำเช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่นึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่ว่านี่มันเงียบสงบเกินไป จนพวกเขาเกือบลืมไปแล้วว่าอยู่ในจวนคุณชาย
‘ถ้าหากสามคนพูดไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่พูด ข้าก็คงทำได้เพียงขังเจ้าไว้ในคุกของจวนคุณชายไปเรื่อยๆ’
ในตอนนั้นเอง เหลือเวลาเพียงหนึ่งเค่อก็จะครบหนึ่งชั่วยาม ในสมองของราชาศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ยินเสียงของเยี่ยนอ๋องดังขึ้น จนเขาสะดุ้งโหยง “เวรเอ๊ย! พวกเขาสามคนพูดไปแล้วกระมัง”
เพราะเมื่อพูดไปแล้ว เยี่ยนอ๋องก็ได้ข้อมูลไปแล้ว เขาจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่เป็นไร จึงไม่มีใครสนใจว่าเขาจะสารภาพหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ ก็สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดยังไม่มีใครเข้ามาสอบสวนเขา ทั้งที่จวนจะครบเวลาแล้ว
ความสงสัยนี้บังเกิดขึ้นในใจของพวกเขาทุกคน!
เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเค่อ ราชาศักดิ์สิทธิ์บูรพาทนไม่ไหวอีกต่อไป “ข้างนอกมีคนหรือไม่ มีใครอยู่ไหม?”
……………….