หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 63 ปัจฉิมบท (5-1)
กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันคน มีกำลังรบไม่ด้อยไปกว่าทัพใหญ่ซีเป่ย ด้วยพลังของพวกเขาสามารถถล่มทัพใหญ่ซีเป่ยได้ การต่อสู้กับพวกเขาจึงนับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก อย่างน้อยในสายตาของคนส่วนใหญ่ นี่นับว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา
โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นสตรีรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่ง พวกเขาคิดเพียงว่านางมั่นใจเกินไปสักหน่อย
พลังของนางน่าสะพรึงกลัว แต่พวกเขาไม่เชื่อว่านางจะเอาชนะกองทัพซึ่งมีหนึ่งพันคนได้
แม่ทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ยกกระบี่ในมือขึ้นมา แล้วตะโกนว่า “ทุกคนอย่าได้กลัวไป เรียงแถว เตรียมการโจม…”
สวบ!
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงดังแหวกอากาศมา ทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็พบว่าแม่ทัพของพวกเขาถูกไข่มุกเม็ดหนึ่งพุ่งทะลุหัวใจจนเป็นรูแล้ว!
แม่ทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ล้มลงกับพื้น
ดวงตาของเขาเบิกโพลง มองท้องฟ้ายามราตรี เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนตนหมดลมไป
เขาเป็นแม่ทัพนะ
สตรีคนนั้นใช้ไข่มุกหน้าตาน่าเกลียดเม็ดหนึ่งสังหารเขา…
เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่ตัดเส้นผมของลูกสาวนางไปนิดเดียวเอง…
แม่ทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าใจ และเขาจะไม่มีสิทธิ์เข้าใจไปตลอดกาล
การตายของแม่ทัพนำมาซึ่งความหวาดผวาแก่กองทัพ ราวกับว่าในตอนนั้น ทุกคนก็ตระหนักอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่พวกเขาทุกคนมองเห็นและสัมผัสได้ล้วนแต่ผิดพลาด สตรีคนนี้ไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่นางเป็นเทพแห่งความตายที่แท้จริง!
นี่เป็นกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แม้ว่าแม่ทัพจะตายไปแล้ว ก็ยังมีรองแม่ทัพ รองแม่ทัพรับหน้าที่บัญชาการกองทัพต่อ “โจมตี!”
สวบ!
ทันทีที่ไข่มุกเม็ดนั้นปักลงไป หัวใจของรองแม่ทัพก็เป็นรูกลวงเช่นกัน
“โอ้” นางเจียงร้องขึ้นราวกับลืมอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นไข่มุกเม็ดนั้นก็พุ่งขึ้นกลางอากาศ แล้วชนเข้าที่ลำคอของแม่ทัพและรองแม่ทัพ คอของพวกเขามีเสียงดัง ‘กร็อบ’ แล้วหักลง
กองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ต่างตะลึงงัน
ที่นางบอกว่า ‘คอของพวกเจ้าทุกคนต้องขาด’ เป็นความหมายโดยตรงหรอกหรือ…
อวี๋หวั่นอยู่ในโรงเตี๊ยม เธออยากออกมา แต่คล้ายกับว่ามีพลังมหาศาลดันประตูเอาไว้ ไม่ว่าจะเปิดอย่างไรก็เปิด
ไม่ออก
“ดูเถอะ เป็นเพราะข้ามีลูก ทำให้พลังข้าไม่เหลือเลย แม้แต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก! ฮึบ ย้ากก” อวี๋หวั่นดันเท้าเข้ากับกำแพง สองมือดึงประตูอย่างเต็มที่
กร็อบ!
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าคอของตนเคล็ด
แน่นอนว่าไม่ใช่คอของเธอที่บิดเบี้ยวผิดรูป แต่เธอรู้สึกคล้ายกับว่าคอของใครสักคนหัก
อวี๋หวั่นลูบคอด้วยความแปลกใจ
คิดไปเองมั้ง…
กร็อบ!
เสียงคล้ายกับคอหักดังขึ้นอีก
อวี๋หวั่นหายใจโกยอากาศเย็นเข้าปอด
จากนั้นก็มีเสียง กร็อบๆๆ กร็อบๆๆๆๆๆๆๆๆๆ …
ด้านนอก ก็มีเสียงดังคล้ายกับคอหักอีกระลอกหนึ่ง อวี๋หวั่นแค่ฟังก็ตัวสั่นเทิ้มแล้ว
หากพูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่ถ้าหากคอของเธอมีชีวิต มันก็กำลังหวาดผวาอยู่!
ทหารเหล่านั้นไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ ก็ถูกหักคอเสียแล้ว กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้รับความเสียหายเป็น
ครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในแผ่นดินต้าโจว
เดิมทีภารกิจที่พวกเขาได้รับคือให้ไปสังหารสตรีสองคน พวกเขายังไม่อยากทำ เพราะคิดว่าภารกิจนี้กระจอกงอกง่อยเกินไป อย่างไรเสียพวกเขาก็มีกำลังรบถึงหนึ่งพันนาย กำจัดกองทัพของต้าโจวยังทำได้ เหตุใดต้องให้พวกเขามาทำภารกิจเช่นนี้ด้วย นี่ไม่ได้เท่ากับใช้มีดเชือดวัวไปเชือดไก่หรอกหรือ?
ในตอนนี้ พวกเขาไม่คิดเช่นนั้นแล้ว ถ้าหากมีโอกาสอีกครั้ง พวกเขาจะเพิ่มกำลังพลอีกหนึ่งพันคน
แต่น่าเสียดาย ที่บนโลกนี้ไม่มี ‘ถ้าหาก’ มีเพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
อันที่จริงเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมตกใจตื่นตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงดัง จึงทำได้เพียงยืนถือตะเกียงน้ำมัน
ยืนนิ่งอยู่ในโถงกลางพร้อมกับอวี๋หวั่น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเสียงหักคอก็หยุดลง
โรงเตี๊ยมนั้นเงียบเสียจนน่ากลัว
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกระแอมด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ข้าจะไปต้มบะหมี่ให้ท่าน…กับจอมยุทธ์ท่านนั้น”
อวี๋หวั่น “…”
เมื่อครู่นางเจียงโมโหจนหน้ามืดตามัว เมื่อทำลงไปแล้วนางก็นึกเสียใจ
นางมองไปยังประตูสีดำสนิท แล้วจิ้มทนิ้วด้วยท่าทางไร้เดียงสา
แกร็ก
ประตูเปิดออกแล้ว
อวี๋หวั่นมองนางเจียงซึ่งกำลังทำอะไรไม่ถูกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นางเจียงจิ้มนิ้ว สายตาเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ “ถ้าข้า…บอกว่าข้าเวียนหัว เจ้าจะเชื่อไหม?”
อวี๋หวั่นสีหน้าถมึงทึง “…”
……
อวี๋หวั่นไม่เคยคิดเลยว่าแม่ของตนจะเป็นยอดฝีมือ นางอ่อนแอราวกับต้นหลิ่วลู่ลมไม่ใช่หรือ? เป็นสตรีผอมบาง
ไม่ใช่หรือ? เพราะฉะนั้นทั้งท่าไขว่ห้าง ทั้งท่าทางโอหังล้วนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเธอคิดไปเอง!
“ท่านเป็นคนทำร้ายนางจ้าวจนหน้าบวมเป็นหัวหมู?”
“อืม”
“ไข่มุกของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ท่านเป็นคนขโมย?”
“อืม”
“ผมของฮ่องเต้ท่านเป็นคนโกน?”
“…อืม”
“ค่ายหน่วยกล้าตายของนายท่านรองใหญ่ท่านเป็นคนทำลาย?”
“…อืม”
“หลัวช่าโลหิต…”
“…อืม”
“ราชาศักดิ์สิทธิ์…”
“…อืม”
“…อืม”
“…อืม”
นางค่อยๆ ยอมรับทีละเรื่องๆ จนอวี๋หวั่นไม่อาจแสดงสีหน้าเคร่งเครียดกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงไก่อ่อน แท้จริงแล้วกลับอยู่ระดับเทพ เทพที่แข็งแกร่งที่สุด!
“ข้าๆๆ…เป็นเพราะข้าคลอดลูกออกมา แล้วพลังถึงหายไปหรอก ไม่เช่นนั้นข้าต่างหากที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมิงตู!” อวี๋หวั่นกอดอก เบือนหน้าหนี ท่าทางไม่สบอารมณ์
“อื้ม!” นางเจียงพยักหน้า
……
การสังหารทหารทั้งหนึ่งพันนายไม่ใช่เรื่องเล่น อวี๋หวั่นเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้นางเจียงเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เช่นนั้นในสภาวะปกติ การค่อยๆ สังหารทีละคนเช่นนี้จะกินแรงมาก
หลังจากคืนนั้นผ่านไป นางเจียงก็นอนอยู่ในโรงเตี๊ยมถึงสามวันสามคืน
ในเมื่อนางเจียงไม่ได้อ่อนแอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องห้ามไม่ให้นางไปยังหน้าด่าน แน่นอนว่าที่สำคัญก็คืออวี๋หวั่นไม่มีทางสลัดนางหลุด มิหนำซ้ำนางอาจไปถึงก่อนเธอก็เป็นได้!
หลังจากนางเจียงตื่นขึ้น อวี๋หวั่นก็เดินทางไปยังหมู่บ้านซึ่งทัพใหญ่ของราชสำนักปักหลักอยู่ หมู่บ้านนั้นร้างผู้คน ดูแล้วน่าจะถูกลอบโจมตี จึงกระจัดกระจายกันไป
ก่อนอวี๋หวั่นจะมา เธอส่งจดหมายผ่านนกพิราบให้อิ่งลิ่ว อิ่งลิ่วรู้ว่าเธอจะมา จึงไม่ลืมที่จะทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้
อวี๋หวั่นเดินตามสัญลักษณ์ไปยังหุบเขาแห่งหนึ่ง และพบกับสถานที่ประจำการของกองทัพใหญ่ก่อนหน้านี้
เซียวเจิ้นถิงยาตราทัพลงใต้ เมื่อนับรวมกำลังพลซึ่งแวะรับรายทางตามค่ายต่างๆ พวกเขามีกำลังพลทั้งหมดแปดหมื่นนาย ปัจจุบันนี้มีหกหมื่นคนซึ่งประจำการอยู่ในที่ต่างๆ นอกเมืองอวี่ ส่วนอีกสองหมื่นคนติดตามเซียวเจิ้นถิงไปเผชิญหน้ากับศัตรู ล้มตายไปกว่าหนึ่งพันคน ชุยเฒ่าและหมอประจำกองทัพวิ่งวุ่นทั้งวัน จนแทบไม่มีแม้แต่เวลากินข้าว
“ฮูหยิน ฮูหยินน้อย เชิญทางนี้ขอรับ!” อิ่งลิ่วพาอวี๋หวั่นและนางเจียงเข้าไปยังกระโจมซึ่งสร้างขึ้นชั่วคราว นี่เป็นกระโจมที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อสองแม่ลูกโดยเฉพาะ กระโจมนี้คล้ายกับกระโจมทรงกลมซึ่งเรียกว่าจั่นฝาง ทว่าภายในมีพื้นที่ไม่มาก ทั้งยังบรรจุยาสมุนไพรเข้าไปอีก ทำให้แลดูคับแคบไปถนัดตา
“เกรงว่าฮูหยินกับฮูหยินน้อยต้องลำบากแล้วขอรับ” อิ่งลิ่วรู้สึกว่าที่นี่ลำบากนัก ไม่ใช่สถานที่ที่ทั้งสองควรมา
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แม่ทัพใหญ่เซียวไปไหนแล้วละ”
“เขาไปสำรวจรอบนอกเมืองอวี่น่ะขอรับ ไปได้สักพักแล้ว น่าจะใกล้กลับมาแล้วขอรับ เมื่อคืนพวกข้าสังหารปรมาจารย์วิชาหุ่นเชิดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไป ไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขาจะเคลื่อนไหวหรือไม่ ใช่แล้ว พวกข้ายังพบเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” อิ่งลิ่วเล่าเรื่องที่ทหารในทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์หายไปหนึ่งพันคนให้อวี๋หวั่นและนางเจียงฟัง
อวี๋หวั่นเหลือบมองท่านแม่ ก็เห็นท่านแม่มองท้องฟ้า มองท้องฟ้า แล้วก็มองท้องฟ้า!
อิ่งลิ่วสังเกตเห็นความผิดปกติของนางเจียงเช่นกัน เขาทำตาโต “พวกเขา…คงไม่ได้บุกโจมตีพวกท่านหรอกกระมัง?”
อวี๋หวั่นตอบ ‘อืม’ ในลำคอ นับว่าเป็นการยอมรับ
พวกเขาระมัดระวังตัวมาตลอดทาง แต่ข้อมูลก็ยังมิวายเล็ดลอดออกไป เผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงลอบโจมตีได้
“พวกท่านไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ” อิ่งลิ่วถามด้วยความเป็นห่วง
อวี๋หวั่นมองท่านแม่ของตนด้วยสีหน้าซับซ้อน “มีท่านแม่อยู่ ข้าไม่เป็นไรแน่นอน”
อิ่งลิ่ว “เอ่อ…”
พวกนั้นคงไม่ได้โดนถล่มเละไปแล้วกระมัง?
……
เมื่อเป็นเช่นนี้ อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพื่อที่จะรักษาภาพพจน์ของฮูหยินต่อหน้าฮูหยินน้อยและนายท่าน พวกเขาต้องทรมานแสนสาหัส อยากพูดก็พูดไม่ได้ ทำได้แต่มองดูคุณชายและท่านอ๋องตกเป็นแพะรับบาป ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้แล้ว
“ท่านพ่อข้ายังไม่รู้นะ”
คำพูดของอวี๋หวั่นเป็นดังน้ำเย็นเฉียบซึ่งสาดใส่หน้าพวกเขา รอยยิ้มของทั้งสองได้แต่ค้างอยู่เช่นนั้น
เซียวเจิ้นถิงมิได้รู้สึกแปลกใจ ความลับสำคัญเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องไม่มีทางปิดบังเขาได้ เขาอธิบายเรื่องนี้ทาง
จดหมายแล้ว
ในเมื่อจัดการพวกนั้นไปแล้ว เช่นนั้นก็ต้องจัดการจนถึงที่สุด อย่างไรเสียอวี๋เซ่าชิงก็ไม่อยู่ไม่ใช่หรือ?
ขณะที่อวี๋หวั่นตามชุยเฒ่าไปรักษาผู้บาดเจ็บ เซียวเจิ้นถิงและนางเจียงก็ลอบลงมือทำอีกเรื่องหนึ่ง
แม้ว่าปรมาจารย์วิชาหุ่นเชิดจะตายไปแล้ว แต่สงครามที่เกิดขึ้นจริงก็นำมาซึ่งความเสียหายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรเสียกำลังรบของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ปรมาจารย์วิชาหุ่นเชิด ก็ยังนับว่าน่าสะพรึงกลัว
“พวกเราจัดการเช่นนี้ก่อนก็แล้วกัน…” เซียวเจิ้นถิงวางเล่ห์กลทำลายกำลังรบของฝ่ายตรงข้าม
เริ่มจากเซียวเจิ้นถิงพาหน่วยกล้าตายลอบเข้าไปโจมตีค่ายแรกของพวกเขา จุดไฟเผาเสบียงของพวกเขาแล้วรีบ
หนีออกมา!
ที่จริงพวกเขามีทั้งหมดยี่สิบคน หากวัดจากวรยุทธ์ หน่วยกล้าตายไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่วิชาตัวเบาของพวกเขานับว่าเป็นเลิศ พวกเขาหนีได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีทางตามทัน ใช้สิบคนวางเพลิง อีกสิบคนที่เหลือควบม้าไปมา ตีกลองกู่ร้องให้ดังก้องราวกับเป็นกองทัพซึ่งมีกำลังพลนับร้อย
คนที่หนีออกมาอีกสิบคนให้วิ่งไปอีกทาง และทำเสียงราวกับมีกำลังพบนับร้อยเช่นกัน
เมื่อทำเช่นนี้ กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงสับสน ประตูเมืองก็ปิดสนิท ทหารต้าโจวในเมืองก็ถูกพวกเขาสังหาร
ไปแล้ว ทหารอีกพันคนเหล่านี้มาจากไหนกัน
หรือว่า…เหลืออยู่ในเมือง?
หากบอกว่ายอดฝีมือของต้าโจวลอบเข้ามาในเมือง คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็เชื่อ แม้ว่าพวกเขาจะวางกำลังอย่างแน่นหนา แต่การป้องกันนี้สามารถใช้ได้กับทหารทั่วไป เมื่อต้องประสบพบเจอกับยอดฝีมือที่เก่งกาจจริง การป้องกันของพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร
แต่ต้าโจวไม่มีทางมียอดฝีมือเช่นนี้ถึงหนึ่งพันคน
ถ้าเก่งจริง ต้องออกมาสู้กับพวกเขาแต่แรกแล้ว
คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครเชื่อว่านี่คือทหารที่ซ่อนอยู่ในเมือง
ผู้บัญชาการของค่ายแรกออกคำสั่งว่า “เจ้า พาคนสองร้อยคนตามพวกเขาไป ส่วนเจ้า พาคนสามร้อยคนไปจัด
การพวกที่เหลืออยู่ในเมือง”
“จะให้แจ้งค่ายอื่นหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่จำเป็น เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า”
“ขอรับ!”
ค่ายที่หนึ่งใช้ทหารทั้งหมดห้าร้อยคน
สองร้อยคนไล่ตามเข้าไปในป่า ไม่ทันไรก็ถูกนางเจียงสังหารหมด
ส่วนอีกสามร้อยคนไล่ตามเข้าไปในเมือง ไม่ทันไรก็ถูกนางเจียงตามไปฆ่าเช่นกัน
ครั้นอยู่ในตำบล นางเจียงสังหารทหารหนึ่งพันคนในคราวเดียว นับว่าหนักหนาเกินไปสำหรับนาง เซียวเจิ้นถิงคำนวณไว้แล้ว วันละห้าร้อยคนไม่มากไปไม่น้อยไป กำลังพอดี
ในตอนที่ถูกลอบโจมตีนั้นกำลังย่างเข้ายามเย็น ทหารห้าร้อยคนไม่กลับมา ผู้บังคับบัญชาก็มิได้ใส่ใจ เขายังคงสั่งการต่อไป ผลก็คือในวันที่สอง เซียวเจิ้นถิงก็กลับมาเผาเสบียงอีกครั้ง!
ทว่าในครั้งนี้ทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์วางกำลังแน่นหนากว่าเดิมมาก เขาไม่อาจเผาเสบียงได้ จึงไปเผากางเกงชั้นในของผู้บัญชาการทัพแทน
ผู้บัญชาการทัพ “…”
นี่คือ…สุนัขจนตรอก…ที่มาล้างแค้นในครั้งก่อน? หรือว่าอีกกลุ่มหนึ่งกัน?
เซียวเจิ้นถิงเผาเสร็จก็หนีไป!
กองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์โทสะพลุ่งพล่าน เก่งนักก็อย่าหนีสิ! อยู่ที่นี่ก่อน! มาสู้กันให้รู้ผลแพ้ชนะไปเลย!
ผู้บัญชาการทัพเดือดดาล เขารู้ว่าไม่ควรมีโทสะกับเรื่องเล็กน้อย แต่เผากางเกงในนี่มันอะไรกัน
อีกฝ่ายจองหองเกินไปแล้ว!
ผู้บัญชาการจึงส่งทหารห้าร้อยนายให้ตามไป ครานี้ต้องจับเป็นให้ได้! เขาอยากเห็นว่าเจ้าเวรตะไลที่เผากางเกงชั้นในของเขาหน้าตาเป็นอย่างไร!
เป็นไปดังคาด ห้าร้อยคนนั้นล้วนถูกนางเจียงสังหารเสียราบคาบ
จากนั้นก็ส่งไปอีกหนึ่งพันคน แต่ก็ไม่กลับมาเลยสักคนเดียว!
เขาทนอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ เช้าตรู่ของวันที่สามจึงส่งคนออกไปอีกห้าร้อยคน
สุดท้ายแล้ว ก็หายไปอีกเช่นกัน!
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ขณะที่พวกเขาคิดว่าจะไปแจ้งข้อมูลแก่ค่ายอื่นๆ เพื่อเตือนให้พวกเขาระวัง เขาก็ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งถูกยิงมาพร้อมกับศรธนู
“กางเกงชั้นในของเจ้าอยู่ในกำมือของข้า หากอยากได้กางเกงชั้นในคืน คืนพรุ่งนี้ยามไฮ่ เนินตงหลิ่ว ไม่พบกันไม่เลิกรา ห้ามพาคนอื่นมาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะเผากางเกงชั้นในของเจ้าให้ดู!”
ผู้บัญชาการทัพอ่านจบ ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว
เป็นคนวิปลาสจากที่ใดกัน ขโมยเงินทองของล้ำค่าหรือแม้แต่ตราแม่ทัพไปยังเข้าใจได้ แต่ขโมยกางเกงในนี่มันอะไรกัน เจ้านั่นขโมยกางเกงในของเขาหรือ?
ไม่ได้สิ!
นี่คือศักดิ์ศรีของบุรุษ!
“ใต้เท้า ระวังถูกซุ่มโจมตีนะขอรับ!” ลูกน้องคนสนิทของเขาบอก
ผู้บัญชาการทัพบอกว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เจ้าเตือนด้วยรึ ข้ารู้อยู่แล้วว่ามีการลอบโจมตี เจ้าไปหาทหารมือดีมาหนึ่งพันคน คืนพรุ่งนี้ไปที่เนินตงหลิ่วกับข้า!”
เล่ห์กลใดๆ ย่อมพังทลายลงเมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังที่เกรียงไกร เขาไม่เชื่อ ถึงแม้เขาจะพาทหารฝีมือดีไปด้วยหนึ่งพันนาย ก็อาจเละคามือเจ้าพวกเศษสวะเหล่านั้นได้
ทหารฝีมือดีหนึ่งพันนายของเผ่าศักดิ์สิทธิ์แน่นอนว่าน่ากลัว เมื่ออยู่ภายใต้ความโกรธแค้นจนหน้ามืดตามัว ต่อให้เป็นนางเจียง ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะจัดการทหารหนึ่งพันนายได้ทั้งหมดเฉกเช่นในคืนนั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว จากมุมมองของผู้บัญชาการทัพ แผนการของตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เพียงแต่น่าเสียดาย สิ่งที่ผู้บัญชาการทัพไม่รู้ก็คือสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าไม่ได้มีเพียงยอดฝีมือ
ในป่าไม่มีกับดัก ไม่มีเกาทัณฑ์หรืออาวุธลับ กระนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในป่า หนอนพิษนับหมื่นตัวก็พุ่งออกมาจากพื้นดิน และพุ่งเข้าหากองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ภายใต้พลังกดของราชันหมื่นสัตว์พิษ
หากอยู่ในภาวะปกติ พิษเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ไม่มีทางข่มขู่พวกเขาได้ ทว่าท่ามกลางความมืด พวกเขาไม่รู้ว่ามีหนอนพิษอยู่มากเท่าใด นำมาซึ่งความกดดันอยู่ภายในใจ กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงสับสนอลหม่าน
ในตอนนั้นเอง นางเจียงซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดทะยานขึ้นฟ้า และเริ่มลงมือล่าเหยื่อ!
สัตว์พิษตัวน้อย อิ่งสือซัน จวินฉางอัน และเซียวเจิ้นถิงก็มิได้นิ่งเฉยเช่นกัน
ความสามารถในการรบของพวกเขาไม่เทียบเท่านางเจียง แต่เมื่อรวมกันแล้วก็นับว่าเป็นกองกำลังที่ไม่อาจดูเบาได้
ผู้บัญชาการทัพหนีไปแล้ว
ทหารหนึ่งพันคนด้านหลังของเขา…ถูกจัดการจนราบคาบ!
ที่ปล่อยเขาไป ก็เพราะต้องการให้เขาไปส่งข่าว
พวกเขาทำเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ แต่ยอดฝีมือซึ่งซ่อนตัวอยู่ในค่ายยังไม่ปรากฏตัวออกมา ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาเชื่อว่าคนผู้นั้นต้องปรากฏตัวในอีกไม่ช้า
……………..