หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 63 ปัจฉิมบท (5-2)
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าวัน ทหารในกองทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ลดลงไปถึงสามพันคน ขณะที่กองทัพต้าโจวไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย มีเพียงหน่วยกล้าตายสามสี่คนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างปฏิบัติภารกิจ นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
เรื่องนี้ย่อมมีผลต่อจิตใจผู้คน เหล่าทหารกล้าซึ่งกำลังรู้สึกท้อแท้ก็พลันฮึกเหิมขึ้นมา
พวกเขาตระหนักดีว่า เรื่องนี้มิได้เป็นเพียงความดีความชอบของแม่ทัพใหญ่เซียวและพวกองครักษ์อิ่ง แต่ยังเป็น
ความดีความชอบของยอดฝีมือนิรนามอีกด้วย
พวกเขาไม่เคยเห็นว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของนาง เพียงแต่เห็นเงาของนางจากระยะไกล นางสวมชุดเกราะสีดำทั้งตัว ท่าทางเย็นชา รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ทว่าแลดูองอาจห้าวหาญ ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้ที่ตัวเล็กเช่นนางถึงมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ สรุปแล้วพวกเขาจึงเรียกนางว่าหงส์ดำ
“คนผู้นั้นเป็นใคร” ในกระโจม เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยถามจวินฉางอัน
“ไม่รู้” จวินฉางอันตอบ
เยี่ยนไหวจิ่งจ้องมองเขา “เจ้าออกไปปฏิบัติภารกิจกับนางตั้งหลายครั้ง ไม่ได้ยินเซียวเจิ้นถิงกับอิ่งสือซันเรียกนาง
เลยหรือ?”
“ไม่ได้ยิน” จวินฉางอันตอบ
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว “นางหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าคงรู้กระมัง?”
“องค์รัชทายาทคิดจะทำอะไร” จวินฉางอันถามกลับ
“ยอดฝีมือเช่นนี้ หากมารับใช้ข้า…” ประโยคต่อมา เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้พูด
ยอดฝีมือเช่นนี้ สามารถสู้กับศัตรูได้หนึ่งต่อพัน ใครบ้างไม่อยากได้นางไว้ในครอบครอง นางเดินทางมาพร้อมกับอวี๋หวั่น นางเป็นยอดฝีมือของจวนคุณชาย หรือว่าเป็นผู้ที่หนานจ้าวส่งมาอารักขาอวี๋หวั่น?
จวินฉางอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าคิดว่า นางไม่มีทางทำงานให้รัชทายาท”
จวินฉางอันมองเยี่ยนไหวจิ่งด้วยความเห็นอกเห็นใจ เยี่ยนไหวจิ่งคิดว่าบิดาของตนแพ้บิดาของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เยี่ยนไหวจิ่งคิดผิดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบบิดา เพราะแค่เปรียบเทียบพ่อตาแม่ยาย เขาก็สู้เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้แล้ว
กองทัพใหญ่ต้าโจวกลับไปยังหมู่บ้าน
ในสภาวะที่ต้าโจวปราศจากผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งยังทำให้ทหารของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ถึงสามพันนายล้มตาย
ถึงแม้จะไม่นับว่ามากมายสำหรับกองทัพที่มีกำลังถึงหนึ่งแสนคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อคิดว่าต้าโจวไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ก็นับว่าออกจะน่าหวาดกลัวไปสักหน่อย
หลายวันมานี้ เซียวเจิ้นถิงไม่ได้ให้อิ่งลิ่วเข้าไปสืบความในเมืองอวี่ เพื่อความปลอดภัย กระนั้นแล้ว ต่อให้ไม่ได้เข้าไปสืบความ แต่จากที่ทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์วางกำลังเพิ่มขึ้นที่บริเวณกำแพงเมือง พวกเขาก็มองออกว่าอีกฝ่ายเริ่มระวังตัวมากขึ้นแล้ว
ปรมาจารย์วิชาหุ่นเชิดตายไปแล้ว พลรบของต้าโจวที่ล้มตายก็ไม่มีทางกลายเป็นหุ่นเชิดและถูกสังหารด้วยคมมีดของเพื่อนร่วมชาติอีก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากองทัพต้าโจวจะวางใจได้
เผ่าศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีพลรบอีกเกือบหนึ่งแสนนาย หากในครั้งนี้เผ่าศักดิ์สิทธิ์ใช้กำลังรบทั้งหมด ยอดฝีมืออย่างนางเจียงอาจไม่เป็นไร แต่ทหารทั่วไปอาจเอาชีวิตไม่รอด เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสชนะในสนามรบ พวกเขาจำต้องตัดกำลังของยอดฝีมือของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน
ดังคำกล่าวที่ว่า หากจะยิงศัตรู ให้ยิงม้าของศัตรูเสียก่อน หากจะจับโจร ให้จับหัวหน้าโจรเสียก่อน ไม่ใช่หรอกหรือ?
กำลังทหารนั้นสู้ไม่ได้ จึงต้องสังหารยอดฝีมือของพวกเขาก่อน!
……
ในวันที่สิบนับจากที่อวี๋หวั่นและนางเจียงเดินทางมา ทั้งสองฝ่ายเริ่มเปิดฉากสงครามกันอย่างจริงจังเป็นครั้งที่สอง
ประตูเมืองอวี่เปิดออก กองทัพจากค่ายที่หนึ่งของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนทัพออกมาอย่างน่าเกรงขาม โดยมีผู้บัญชาการกองทัพนำทหารออกมา
หลังจากที่พวกเขาจัดกระบวนทัพเสร็จ ประตูเมืองก็ปิดลง
อันที่จริง ชื่อเรียกค่ายที่หนึ่ง ที่สอง หรือที่แปดล้วนเป็นสิ่งที่อิ่งลิ่วตั้งขึ้น พวกเขาเรียกแต่ละค่ายว่าอย่างไรอิ่งลิ่ว
ไม่รู้ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องรู้
หลังจากที่กำลังรบลดลงสามพันนาย พวกเขาก็เหลือทหารเพียงเจ็ดพันคน
อย่างไรก็ดี หากจะใช้คำว่า ‘เหลือเพียง’ ก็อาจไม่เหมาะสมเท่าไรนัก เพราะฟังดูราวกับว่าพวกเขาอ่อนปวกเปียก ความจริงแล้วกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่มีเจ็ดพันคนล้วนแต่มิได้รู้สึกกดดันกับกำลังพลเจ็ดหมื่นคนของต้าโจวแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนั้นเอง ยามที่เซียวเจิ้นถิงและเหล่าทหารกล้าปรากฏตัวด้วยความอาจหาญ เผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงมิได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
ต้าโจวมียอดฝีมือคนหนึ่ง สามารถใช้หนอนพิษได้ เรื่องนี้ผู้บัญชาการทัพรู้ดี ทว่าวันนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวยอดฝีมือคนนั้นอีกต่อไป เพราะยอดฝีมือของพวกเขาก็มา!
ผู้บัญชาการทัพส่งสายตาเหยียดหยามให้เซียวเจิ้นถิง เขายกแขนขึ้นมาโบก กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็เริ่มขยับจากตรงกลาง จากนั้นก็พลันขยับไปด้านข้างอีกหลายก้าวเพื่อเปิดทาง
ยอดฝีมือของเผ่าศักดิ์สิทธิ์แปดคนแบกเกี้ยวออกมาจากด้านหลังเหล่าทหารด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วขี่ม้าอยู่ด้านข้างเซียวเจิ้นถิง ทั้งสองมองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าทั้งแปดมีพลังในระดับใด
ทุกคนล้วนแต่เป็นครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์ ระดับพลังใกล้แตะระดับราชาศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ใช้ครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์แบกเกี้ยวให้ตนเองนั้นเจ๋งเป้งกว่าซือคงฉางเฟิงซึ่งใช้ซิวหลัวแบกเกี้ยวเป็นไหนๆ
คนแบกเกี้ยวยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวจะต้องมีพลังระดับใดกัน
ในใจของทั้งสองเต็มไปด้วยความสงสัย
“มองออกหรือยัง?” เซียวเจิ้นถิงกระซิบถาม
ทั้งสองส่ายหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามองระดับของอีกฝ่ายไม่ออก
“ข้าคิดว่า พลังของเขาน่าจะเกินระดับราชาศักดิ์สิทธิ์ขอรับ” อิ่งลิ่วกระซิบ
พวกเขาเคยเห็นราชาศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือที่มีพลังระดับนี้ ไม่ว่าจะอยู่ขั้นแรกหรือขั้นสูงสุด พวกเขาก็ล้วนมองออก
“เก่งกาจกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์…เช่นนั้น…คืออะไรหรือ” ระดับสูงกว่านั้น เซียวเจิ้นถิงก็ไม่เคยได้ยิน
“เทพศักดิ์สิทธิ์” อิ่งสือซันบอก “ข้าเคยได้ยินอาม่าพูดถึง”
อาม่าก็เอ่ยถึงแค่นั้น แต่ไม่ได้อธิบายมาก รู้เพียงว่าเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ ส่วนแข็งแกร่งแค่ไหนนั้น ว่ากันว่าไม่อาจวัดจากระดับได้ ก็เหมือนกับทะเลลึกและทะเลสาบ
“เช่นนั้น…เจียงป้าเทียนจะสู้ได้ไหม?” เซียวเจิ้นถิงถามต่อ
หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะถามอิ่งสือซันอย่างไร อิ่งสือซันก็จะตอบว่า ‘ได้อย่างแน่นอน’ ทว่าในตอนนี้ พวกเขาเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
ความน่ากลัวของเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในระดับที่เหนือกว่าพวกเขาจะรับรู้ได้ พวกเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงระดับใด
ตอนนั้นที่เจียงป้าเทียนบุกเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือระดับสูงสุดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เก็บตัว หากในตอนนั้นแม้แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ออกมาจากการเก็บตัว ผลแพ้ชนะอาจคาดเดาได้ยากแล้ว
บนหอซึ่งห่างออกไปหนึ่งร้อยหมี่ เยี่ยนไหวจิ่งก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสนามรบ
เขาถามจวินฉางอันซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “คนผู้นั่นดูท่าทางเก่งกาจ หงส์ดำจะสู้ได้ไหม?”
เยี่ยนไหวจิ่งไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนางเจียง เขาจึงเรียกนางว่าหงส์ดำตามที่ทหารในกองทัพเรียก
จวินฉางอันไม่ตอบ
แม้ว่าเขาจะรู้ถึงพลังของนางเจียง แต่เขาไม่รู้ระดับพลังของยอดฝีมือเผ่าศักดิ์สิทธิ์ สัญชาตญาณบอกเขาว่าอีก
ฝ่ายนั้นอันตรายมาก คนผู้นั้นไม่ได้อันตรายถึงชีวิต หากแต่อันตรายจนฟ้าถล่มดินทลาย
ส่วนเรื่องทหารสองหมื่นนายนั้นเขาไม่ได้กังวลใจนัก สำหรับเขาแล้ว หงส์ดำเป็นเทพเหนือเทพสงครามทั้งปวง ผู้ใดมาก็ไม่ครั่นคร้าม ทุกคนล้วนมอดม้วยด้วยคมดาบของนาง!
เหล่าทหารต้าโจวต่างตีกลองเพื่อประกาศความเกรียงไกรของหงส์ดำ
อวี๋หวั่นเพิ่งรักษาบาดแผลให้ทหารนายหนึ่งเสร็จ เธอได้ยินเสียงกลองดังลั่นเสียดโสตประสาท เธอก็รู้สึกตื่นตระหนกตามไปด้วย
“ฮูหยินน้อยจะไปดูไหมเจ้าคะ” ผิงเอ๋อร์ถาม
“อืม…อื้ม!” อวี๋หวั่นพยักหน้า ที่นี่งานใกล้เสร็จแล้ว ประเดี๋ยวเธอเก็บของสักหน่อย แล้วจะพาผิงเอ๋อร์ไปช่วยส่ง
เสียงให้กำลังใจหงส์ดำผู้ยิ่งใหญ่ในใจเหล่าทหาร
สิ่งที่แตกต่างจากราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณก็คือ ราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณแม้จะกลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ก็เพิ่งจะเปลี่ยนระดับ พลังยังไม่คงที่ ก็ถูกนางเจียงจัดการจนกลับไปมีระดับพลังเท่าเดิมแล้ว ทว่ายอดฝีมือตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับพลังคงที่มาหลายปีแล้ว
ทันทีที่กลิ่นอายของเขาปล่อยออกมา เซียวเจิ้นถิงก็พลันรู้สึกเลือดร้อน “เจ้าเวรตะไล!”
อย่างไรก็ดี กลิ่นอายของเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่รอบกายพวกเขานานนัก แต่กลับพุ่งตรงไปหานางเจียง การโจมตีในครั้งนี้ไร้ซึ่งกระบวนท่าแพรวพราว ไร้ซึ่งทักษะเหนือชั้น แต่เป็นการโจมตีที่มุ่งสังหารในคราเดียว!
เขาต้องการสังหารสตรีคนนี้ เพื่อสังเวยแก่วิญญาณผู้ล่วงลับทั้งสามพันคน!
พลังซึ่งมอดไหม้ทุกสรรพสิ่ง ระเบิดขึ้นเป็นขุนเขาแห่งเพลิงกัลป์ ตวัดวนพร้อมพุ่งเข้าใส่นางเจียง!
ดวงตาของทุกคนประหนึ่งถูกแผดเผา สถานการณ์ของนางเจียงจะเป็นอย่างไร พวกเขาไม่กล้ามอง
เทพศักดิ์สิทธิ์แค่นเสียงขึ้นจมูก ยกมือเตรียมเก็บศพของอีกฝ่าย ไหนเลยจะคาดคิดว่าในตอนนั้นเอง พลังมหาศาลที่เขาปล่อยออกมา กลับถูกปั้นรวมกันเป็นลูกไฟไร้รูปร่าง แล้วพุ่งใส่หน้าของเขาแทน
เขาหลบไม่ทัน จึงตกลงมาจากเกี้ยว
และในตอนนั้นเอง เงาสีดำเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วดุจศรเกาทัณฑ์ คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของเขา ลากเขาทะยานขึ้นเหนือพื้นดิน แล้วฟาดเขาเข้ากับกำแพงเมืองอวี่เต็มแรง!
กำแพงเมืองยุบเข้าไปเป็นรูปร่างคน
กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ล้วนตะลึงงัน
เกิดอะไรขึ้น
สตรีคนนั้นยังไม่ตายอีกรึ?
เมื่อครู่นางจับเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งไม่มีใครเกินฟาดเข้ากับกำแพง?
แกร็กๆๆ
ไม่เพียงฟาดกับกำแพง
แต่ข้ายังแกะเขาออกมาจากกำแพงได้ด้วยนะ!
นางเจียงลากราชาศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วทะยานขึ้นฟ้า จากนั้นก็ฟาดเขาเข้ากับกำแพงอีกครั้ง!
เทพศักดิ์สิทธิ์ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้!
ต่อมา นางเจียงก็เริ่มการแสดงอีกครั้ง
นางดึงเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วฟาดลงไปอีก ดึงออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนที่ฟาด แล้วก็ดึงออกมาอีก แล้วก็เปลี่ยนสถานที่ฟาด
กำแพงเมืองถูกฟาดไปเป็นแถบ มองดูเป็นแถบยุบลงไป ราวกับมีคนมายืนเรียงกัน แล้วจับมือกันแล้วแนบเข้ากับกำแพง เป็นระเบียบเรียบร้อยสุดๆ!
เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นเริ่มสงสัยว่าท่านแม่ของนางเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า ฟาดซะเรียงเป็นแนวยาวเชียว!!!
เทพศักดิ์สิทธิ์ก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ถูกนางเจียงฟาดเช่นนี้ ระดับคงลดฮวบแล้ว แต่เทพ
ศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่รอดปลอดภัย
ไม่เลว ทนไม้ทนมือดี
นางเจียงเล่นอย่างสนุกสนาน
เซียวเจิ้นถิงมองกำแพงเมืองซึ่งถูกนางเจียงฟาดไม่ยั้งด้วยสีหน้าสับสน เขาคิดในใจว่าตนน่าจะเตือนนางเจียงสักหน่อยว่าอย่าทำลายกำแพงเมือง…
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว
ผู้คนในสนามรบล้วนแต่คิดว่าสงครามครั้งนี้จบลงเช่นนี้เป็นแน่ แม้แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ยังดูเหมือนยอมศิโรราบแล้ว
แต่ทว่า ขณะที่นางเจียงฟาดราชาศักดิ์สิทธิ์ลงบนกำแพงอีกครั้ง นางก็พบว่ากำแพงไม่ยุบลงไป!
นางเจียงรอง ‘โอ้’ จากนั้นก็ฟาดเขาลงไปบนผนังอย่างสุดแรงอีกครั้งหนึ่ง
…กำแพงยังคงไม่ยุบลงไป
ไม่เพียงเท่านี้ นางยังพบว่าพลับภายในของตนค่อยๆ ร่อยหรอลง อยู่ๆ นางก็ต้องใช้แรงมากยามที่จับราชาศักดิ์สิทธิ์
เทพศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกฉงนใจเช่นกัน นางเหนื่อยแล้วหรือ ในที่สุด! เพราะถ้านางยังไม่เหนื่อย เขาต้องตายแน่ๆ!
แต่ไม่นาน เทพศักดิ์สิทธิ์ก็พบว่านางไม่ได้แค่เหนื่อย ทันใดนั้นเขาก็ค่อยๆ ร่วงลงไปบนพื้น และผู้ที่ร่วงลงไปพร้อมกับเขาก็คือสตรีซึ่งแลดูหมดเรี่ยวหมดแรง
อวี๋หวั่นหน้าถอดสี “ท่านแม่!”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อิ่งสือซันจะรุดเข้าไปรับนางเจียง แต่กลับไม่ทันเสียแล้ว นางเจียงตวัดมือลง
บนพื้นดิน แล้วใช้พลังภายในประคองร่างของตนไว้ จนในที่สุดนางก็ร่วงลงบนพื้นดิน ในตอนนั้น นางก็ได้ใช้พลังที่เหลืออยู่จนหมดไปแล้ว
นางลุกไม่ขึ้นแล้ว
ทุกคนอ้าปากค้าง
เกิดอะไรขึ้นอีก
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ก็หมดแรงเอาเสียง่ายๆ
เทพศักดิ์สิทธิ์ตอบโต้นางหรือ?
กล่าวตามตรง เทพศักดิ์สิทธิ์เองก็งงเช่นกัน เขายังไม่ได้ทำอะไร สตรีคนนั้นจะล้มลงไปได้อย่างไรกัน
ไม่มีเวลาให้คิด ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดสินใจด้วยความบ้าบิ่น ไม่ว่าสตรีคนนี้จะหมด
พลังไปด้วยเหตุใด แต่ในตอนนี้ นับเป็นเวลาที่ดีที่จะได้สังหารนาง!
“แย่แล้ว! เจ้าลูกเต่านั่นจะฆ่านางแล้ว!” เซียวเจิ้นถิงยกคันธนูขึ้นมา แล้วยิงไปยังเทพศักดิ์สิทธิ์!
อิ่งสือซันพุ่งเข้าหานางเจียง
“สัตว์พิษตัวน้อย!” อวี๋หวั่นปล่อยสัตว์พิษตัวน้อยออกมา
ถ้าของพรรค์นี้สามารถหยุดเขาได้ เขายังจะกล้าเรียกตนเองว่าเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ?
เทพศักดิ์สิทธิ์หัวเราะเย็นชา เขาโบกมือ พลังมหาศาลก็กลายเป็นกำแพงทั้งสี่ทิศ ป้องกันการโจมตีของทั้งสาม
โอกาสที่จะสังหารสตรีคนนี้ ก็คือตอนนี้แหละ!
ถูกนางเจียงฟาดอยู่นาน พลังของเทพศักดิ์สิทธิ์ลดลงอยู่บ้าง แต่นับว่าเหลือเฟือที่จะใช้สังหารสตรีไร้แรงเชือดไก่คนนี้
เทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือออกมา หมายจะควักหัวใจของนาง
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง หอกยาวเล่มหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามาด้วยพลังมหาศาล ส่งเสียงดังดุจ
มังกรคำราม แล้วสั่นสะท้านหัวใจของทุกคน!
หอกเล่มนี้พุ่งทะลุพลังของเทพศักดิ์สิทธิ์ ทะลุกำแพงพลังที่เขาสร้างขึ้น แล้วแหวกเข้ากลางอก ทะลุหัวใจของเขา จนหัวใจหลุดติดหอกออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าปักลงบนกำแพงเมือง!
ราชาศักดิ์สิทธิ์เบิกตาโพลงด้วยความเหลือเชื่อ
ท่ามกลางแสงสีทองอร่าม บุรุษคนหนึ่งเจิดจรัสเสียยิ่งกว่าดวงตะวันปรากฏตัวขึ้น สีหน้าของเขาเย็นเยียบ ดูประหนึ่งเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นที่เก้า ลงมาผดุงความยุติธรรม
…………………..