หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 64 ปัจฉิมบท (6-1)
ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงพลังของบุรุษหนุ่มผู้นี้ กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น โดยเฉพาะเยี่ยนไหวจิ่ง ลูกตาของเขาแทบถลนออกมา
“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร…” เยี่ยนไหวจิ่งพูดไม่ออก
“นั่นสิ เป็นไปได้อย่างไรกัน” จวินฉางอันก็มิได้ตกใจน้อยไปกว่ากัน ก่อนหน้านี้เขานึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา ทว่ากลับไม่มีบุรุษผู้นี้อยู่แม้แต่น้อย
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย “เยี่ยนจิ่วเฉา…”
เขามาแล้ว ราวกับเทพจากสรวงสวรรค์ลงมาปัดเป่าหายนะ เป็นเหมือนกับครั้งก่อนๆ แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เขาแข็งแกร่งกว่าเดิม แข็งแกร่งพอที่จะยืนอยู่เหนือราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง
ในใจของเซียวเจิ้นถิงกู่ร้อง บัดนี้เด็กน้อยที่พวกเขาคอยปกป้องได้เติบโตขึ้นแล้ว เขายืนอยู่เบื้องหน้าของทุกคน กลายเป็นผู้ที่ปกป้องคนอื่น
ยามที่ฝูงชนตั้งสติได้ การโจมตีที่รุนแรงของเยี่ยนจิ่วเฉายังคงไม่หยุดลง พลังภายในจากวิชาอายุวัฒนะพุ่งลงใส่ร่างของเทพศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เว้นจังหวะให้เขาโจมตีกลับ และไม่เบาแรงแม้ว่าเขาจะถูกตอกติดกำแพงไปแล้ว ทุกกระบวนท่าล้วนแต่มุ่งเอาชีวิต ทุกการโจมตีเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล
ในที่สุดเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ตระหนักได้ว่าตนไม่เหลือโอกาสรอดชีวิต เขาเริ่มเผาไหม้ตนเอง
“แย่แล้ว! เขาจะระเบิดตัวเอง!” เซียวเจิ้นถิงขมวดคิ้วแน่น
เทพศักดิ์สิทธิ์ระเบิดตนเอง มิได้รุนแรงน้อยไปกว่าหลัวช่าวิญญาณ มีคนราวสามหมื่นคนอยู่ในบริเวณนั้น ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู เกรงว่าทุกคนคงจะต้องตายอยู่ที่นี่พร้อมกัน
กระนั้นแล้ว คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์มิได้มีสีหน้าหวาดหวั่นแต่อย่างใด ราวกับว่าตั้งแต่ที่พวกเขาก้าวเข้าสู่สนามรบ ก็เตรียมตัวเตรียมใจสังเวยชีวิตของตนเองไว้แล้ว “ถอยทัพ! ถอยทัพให้หมด!” เซียวเจิ้นถิงตะโกนลั่น
ทหารต้าโจวต่างเร่งรีบหนีกันจ้าละหวั่น แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ เพราะทันทีที่เทพศักดิ์สิทธิ์ระเบิดตนเอง ก็จะไม่เหลือผู้ใดให้วิ่งหนีอีกต่อไป
เพียงแต่ว่า สิ่งที่เทพศักดิ์สิทธิ์คาดไม่ถึงก็คือ วินาทีที่เขากำลังจะระเบิดตัวเองนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็เปลี่ยนพลังภายในของตนเป็นใบมีด แล้วปักลงไปบนจุดตันเถียนของเขาอย่างแรง ในตอนนั้นเอง วิชาอายุวัฒนะในจุดตันเถียนของเขาก็แยกออกราวสายฟ้า กระจายไปทั่วร่าง และทำลายเส้นลมปราณของเขากลายเป็นผุยผง
เขาไม่อาจระเบิดตัวเองได้อีก ทำได้เพียงแหลกสลายไป!
กองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์เดือดดาลยิ่งนัก
ผู้บัญชาการทัพกวัดแกว่งกระบี่ในมือ ตวาดลั่นด้วยโทสะว่า “ล้างแค้นให้เทพศักดิ์สิทธิ์!”
“ล้างแค้นให้เทพศักดิ์สิทธิ์!”
“ล้างแค้นให้เทพศักดิ์สิทธิ์!”
“ล้างแค้นให้เทพศักดิ์สิทธิ์!”
ทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เริ่มฮึกเหิม ตะโกนเสียงดังกึกก้องด้วยความโกรธแค้น
ทันใดนั้นสีหน้าของเซียวเจิ้นถิงก็ซับซ้อนขึ้นมา มิน่าเล่ากองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงได้ชื่อว่าเกรียงไกรยากแก่การเอาชนะ ในยามที่ยอดฝีมือซึ่งแข็งแกร่งที่สุดถูกสังหารไปแล้ว พวกเขายังคงรักษาวินัยและความองอาจ เมื่อมองจากมุมนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทหารทั่วไปจะทำได้
คนเหล่านั้น เดิมทีสามารถรบได้หนึ่งต่อร้อย ทว่าในตอนนี้พวกเขากำลังฮึกเหิม กำลังรบย่อมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
และมิได้ด้อยไปกว่ายามที่มีหุ่นเชิดคอยเสริมทัพแม้แต่น้อย หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่ากำลังรบสองหมื่นคนของตน จะไม่เพียงพอที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้…
แต่ว่าพวกเขาถอยมาหลายครั้งแล้ว ในครั้งนี้มีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างเยี่ยนจิ่วเฉา ถ้าหากพวกเขาไม่บุกสักครั้ง ต่อให้พวกเขาเอาชีวิตรอดไปได้ เหล่าทหารกล้าก็คงภูมิใจไม่ออกไปชั่วชีวิต…
ดังนั้น พวกเขายอมสู้จนตัวตาย แต่จะไม่หนีโดยเด็ดขาด!
เซียวเจิ้นถิงกำดาบยาวในมือแน่น เขาจับเชือก แล้วควบม้านำทัพไป “บุก! จัดการพวกลูกเต่านั่นเสีย!”
ผู้บัญชาการทัพหัวเราะเย็นเยียบ พวกเขาออกมาแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไป ในเมื่อไม่อาจปกป้องเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ยินดีรับโทษประหาร แต่ถ้าก่อนตาย พวกเขาได้ลากทหารต้าโจวสองหมื่นชีวิตมาสังเวย ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
นี่จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ พลรบต้าโจวมิใช่ไม่กลัว แต่เซียวเจิ้นถิงได้บุกออกไปแล้ว ผู้สำเร็จราชการ
ก็กำลังแบกรับศึกสำคัญ พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ถอย
“พี่น้องทั้งหลาย! ไปสู้กับพวกมัน! บุก!”
“เอาชนะเผ่าศักดิ์สิทธิ์ให้ได้!”
ทหารแห่งทัพต้าโจวเดินทัพเข้าไปด้วยความองอาจ
“ไม่สำเหนียกตัวเองเอาเสียเลย!” ผู้บัญชาการทัพพูดด้วยความเย่อหยิ่ง แล้วมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งลอยอยู่
กลางอากาศ เยี่ยนจิ่วเฉาแลดูประหนึ่งเทพเจ้าซึ่งกำลังมองลงมายังโลกมนุษย์ สายตาของเขาเย็นเยียบและเฉียบคม ไร้ซึ่ง…ความเกรงกลัว
นี่มันอะไรกัน กองทัพฝั่งเขากำลังจะถูกถล่ม ไฉนเขาจึงมีท่าทางนิ่งเฉยเช่นนี้ เขาคงไม่ได้คิดว่าด้วยพลังของตนเองจะสามารถเอาชนะกำลังรบเจ็ดพันคนของกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้กระมัง
อ่า จะทำเช่นนั้นได้เห็นจะมีวิธีเดียว…ระเบิดตัวเอง
แต่การระเบิดร่างของตนเองนั้นมิได้แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ตายเพียงฝ่ายเดียว
เหล่าทหารของต้าโจวก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกัน
เขาคนนี้คงไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนั้น ทว่าท่าทางสบายใจไร้กังวลนี่คืออะไรกัน
เขาไม่สนใจความเป็นความตายของทหารต้าโจวเลยหรือ? เขาคิดจะตายไปพร้อมกับกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าเขาอยากจะเป็นเพียงผู้ชมสงครามในครั้งนี้กัน?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้บัญชาการทัพจึงรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
หวูดดดด
เสียงสัญญาณดังขึ้นจากบนเส้นขอบฟ้าอันไกลสุดลูกหูลูกตา
ตามมาด้วยเสียงระลอกคลื่น
ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ผู้ใดร้องขึ้นว่า “กองทัพเรือเมืองเยี่ยน!”
ในคลองขุดห่างออกไปหลายหลี่ กองทัพเรือแห่งเมืองเยี่ยนกำลังเคลื่อนเข้ามา!
ผู้บัญชาการทัพไม่เข้าใจ พวกเขาไม่ได้สู้รบกันทางน้ำสักหน่อย นำกองทัพเรือมามีประโยชน์อันใด อยู่ห่างออกไปตั้งหลายหลี่ ต่อให้กองทัพเรือยิงเกาทัณฑ์หรือหรือยิงหินมาก็คงทำอะไรไม่ได้
ยามที่พวกเขาสู้รบกันขึ้นมา ไม่ว่าจะยิงเกาทัณฑ์หรือยิงหิน ก็ล้วนแต่เป็นการโจมตีไม่เลือกหน้า!
ผู้ที่คิดแผนนี้…สมองพังไปแล้วหรืออย่างไร
ผู้บัญชาการทัพอยากหัวเราะให้ฟันร่วง ทว่าทันใดนั้นเอง เขาก็หัวเราะไม่ออก
ด้านหลังของเรือรบแห่งเมืองเยี่ยน มีร่างสูงใหญ่กำยำกลุ่มหนึ่งทะยานขึ้นกลางอากาศ ดูประหนึ่งพญาอินทรีสยายปีก บินพุ่งมายังบรรดาทหารของกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังส่งเสียงร้องด้วยความฮึกเหิม ในชั่วพริบตาเดียวกระบวนทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็แตกกระสานซ่านเซ็นไม่เป็นรูปเป็นร่าง
พวกเขามีกันเพียงไม่กี่ร้อยคน เมื่อเทียบกับกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีถึงเจ็ดพันคน เพียงแค่นับจำนวนก็ไม่อาจเทียบกันได้ กระนั้นกำลังรบของเขาก็ทำให้ทุกคนกลัวจนตัวสั่น!
บุรุษที่เป็นหัวหน้านั้นสวมชุดเกราะสีดำ ผมเผ้าสยาย ดวงตาสีแดงก่ำดุจโลหิต เหน็บขวดนมใบเล็กเอาไว้ที่เอว
กองกำลังที่โจมตีกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ คว้าหมับเข้าที่ทหารในกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งลอบสังหารอวี๋หวั่น แล้วฉีกออกเป็นสองซีก!
พลังรุนแรงกดลงทั่วทั้งสนามรบ จนทุกคนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
อวี๋หวั่นถอนหายใจอย่างโล่งอก
ซิวหลัว!
ซิวหลัวฟันน้ำนม!
เขาพากองทัพซิวหลัวแห่งหมิงตูมาแล้ว!
ซิวหลัวเพียงคนเดียวก็มีพลังสังหารเพียงพอแล้ว บัดนี้มีซิวหลัวนับร้อยคน ในพริบตาเดียวกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์กระจัดกระจาย ร้องลั่นไปทั่ว ทหารแห่งทัพต้าโจวเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกราวกับพวกตนมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง!
พวกเขาอยู่ด้านหลังซิวหลัว พุ่งรบอย่างไม่เกรงกลัว
สถานการณ์ในสนามรบพลิกผันอย่างรวดเร็วหลังจากที่ซิวหลัวเข้ามา กองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้คิดจะถล่มกองทัพต้าโจวให้ราบคาบ บัดนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวเข้ากระดูกดำ
ถ้าหากตายไปพร้อมกับศัตรู ยังไม่นับว่าขาดทุน แต่ปัญหาก็คือพวกเขาจะต้องตายเปล่าหรือ!
จะให้ทนได้อย่างไรกัน?
ทหารของกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีหลายพันคนล้มตายไปกว่าครึ่งภายในเวลาเพียงครู่เดียว แต่ทหารต้าโจวกลับยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บัญชาการทัพเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงสับเท้าวิ่งทันที แต่ก็ยังไม่ทันซิวหลัวฟันน้ำนม ซิวหลัวฟันน้ำนมคว้าคอเสื้อทุ่มเขาลงบนพื้นจนตายคาที่!
……
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากสงครามกัน และกองทัพต้าโจวได้รับชัยชนะ ทำให้เหล่าทหารตื่นเต้นจนร่ำไห้ออกมา เซียวเจิ้นถิงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเก็บกวาดสนามรบ ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาก็พานางเจียงกลับไปยังกระโจม
หลัวช่าฟันน้ำนมนั่งดื่มนมอยู่ที่ประตูกระโจม
หลังจากที่หลัวช่าฟันน้ำนมบรรลุระดับพลัง เขาก็กลายเป็นราชาแห่งซิวหลัวในหมิงตู เขาหลังจากที่เขาช่วยน้องชายเหล่านั้นแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำคือพาพวกเขากลับมายังต้าโจว
สกุลซือคงยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ…
นี่ไม่ต่างอะไรจากการที่อยู่ๆ ลูกที่เลี้ยงมากับมือถูกคนเสเพลลักพาตัวไป จะตามอย่างไรก็ไม่มีทางกลับมา
สกุลซือคงถึงกับคิดจะกำจัดซิวหลัวฟันน้ำนมเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าทำอย่างไรได้ หนีไปแล้วก็แล้วกัน ตามไปก็ตามไม่ทัน นอกจากนั้นแล้วพวกเขาจะไปปกป้องจิ่วเฉากับอาหวั่นไม่ใช่หรือ สกุลซือคงจะไปห้ามได้อย่างไร
ในสายตาของทหารต้าโจว กองทัพของซิวหลัวนั้นเป็นเป็นตัวแทนของความเกรียงไกร แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีพวกเขา ไม่รู้ว่าวันนี้ทหารต้าโจวต้องหลั่งเลือดมากมายเพียงใด
พวกเขาอยากเข้าไปแสดงความขอบคุณและไมตรีจิตต่อกองทัพซิวหลัว แต่ว่า…สิ่งที่พวกเขาเห็นนี่มันอะไรกัน หัวหน้าซิวหลัวนั่งดื่มนมอยู่ที่ม้านั่งพับหน้ากระโจมอย่างนั้นรึ?
แต่ว่า…
ซิวหลัวคนเดียวนั่งดื่มนมแล้วอย่างไร?
เคยเห็นซิวหลัวห้าร้อยคนดื่มนมพร้อมกันไหมเล่า?!
ม้านั่งสนามด้านนอกกระโจมไม่พอนั่ง หัวหน้าจึงได้นั่ง ส่วนซิวหลัวคนอื่นๆ นั่งยองอยู่ที่พื้น สองมือจับขวดนมขึ้นดื่ม ท่าทางน่าเกรงขาม หรือจะเรียกว่าแปลกพิสดารก็คงจะได้
เหล่าทหารต้าโจวรู้สึกงุนงงไปตามๆ กัน
หรือว่า…ที่พวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ…ก็เพราะพวกเขาไม่ดื่มนม?
……
ในกระโจม นางเจียงนอนหลับสนิท
อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาคอยเฝ้านางอยู่หน้ากระโจม อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันก็อยู่ด้วย
อวี๋หวั่นจับชีพจรให้นาง เธอกังวลว่าตนเองจับชีพจรผิดพลาด จึงให้อิ่งสือซันไปตามชุยเฒ่ามา เพื่อให้เขาจับ
ชีพจรให้นางเจียงอีกครั้ง
เรื่องในสนามรบ ชุยเฒ่าได้ฟังมาบ้างแล้ว หงส์ดำผู้ไร้เทียมทานหมดแรงอย่างฉับพลัน จนเกือบถูกศัตรูสังหาร สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือนางเจียงถูกวางยาพิษ แต่เขาก็คิดว่าไม่ใช่ยาพิษ
วรยุทธ์ของนางเจียงสูงส่งเช่นนี้ นอกจากไป๋หลี่เซียงซึ่งเป็นยาพิษที่หาได้ยากยิ่ง แม้แต่หงอนกระเรียนแดงก็ยังไม่อาจทำอะไรนางได้ ทว่าฤทธิ์ของยาพิษไป๋หลี่เซียงนั้นก็ไม่ใช่อาการเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับนางในสนามรบ
เพราะฉะนั้น เขาจึงขบคิดมาตลอดว่านางเจียงเป็นอะไร จนกระทั่งเขาได้จับชีพจรของนาง
“เป็นอย่างไรบ้าง” อวี๋หวั่นถาม
ชุยเฒ่าวางมือของนางเจียงกลับที่เดิม เขาพยักหน้า แล้วตอบว่า “มิผิด นางตั้งครรภ์ ที่นางหมดแรงกะทันหันก็คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
อวี๋หวั่นยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เธอจับมือเยี่ยนจิ่วเฉา “ท่านแม่ตั้งครรภ์ ข้าก็จะได้เป็นพี่สาวอีกแล้ว!”
ไม่ถูกยาพิษหรือมีปัญหาอื่นก็ดีแล้ว การสูญเสียพลังยุทธ์ก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีชีวิต
นอกจากนั้นแล้ว ท่านแม่ตั้งครรภ์นับเป็นเรื่องดี
เพียงแต่ว่า ทำไมท่านแม่ตั้งครรภ์แล้วถึงได้สูญเสียพลังยุทธ์ไปละ!!!!!
“อืม…” ชุยเฒ่าลูบเครา “ข้าว่า…อยู่ๆ นางก็มีอาการผิดปกติ ทั้งที่อยู่ในหมู่บ้านมานานหลายปีแต่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้มาลองคิดดูแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
นางเจียงวรยุทธ์สูงส่ง แต่สูงส่งแค่ไหน ไม่มีผู้ใดรู้ ทว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนมีกฎของมัน และนั่นเป็นดาบสองคม ดังเช่นวิชาอายุวัฒนะซึ่งเป็นวรยุทธ์ขั้นสูงสุดของเผ่าพ่อมดและเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในขณะเดียวกัน ในคืนพระจันทร์เต็มดวง มันก็ทำให้ผู้ฝึกวิชานี้อ่อนแอจนถึงชีวิตได้
ถ้าหากวิชาที่นางเจียงฝึกมีจุดอ่อนเช่นเดียวกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่นางห้ามตั้งครรภ์? แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่สามารถมีทายาทได้ แต่การตั้งครรภ์ของนางนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย
นางคลอดอวี๋หวั่น จากนั้นคลอดเถี่ยตั้นน้อย หลายปีมานี้ความอ่อนโยนที่นางมีให้ลูกๆ นั้นมิใช่การเสแสร้ง แต่แน่นอนว่าหากเอ่ยถึงเรื่องที่นางป่วยกระเสาะกระแสะ นั่นไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก
ชุยเฒ่าจับชีพจรให้นางแล้ว พลังยุทธ์ของนางสลายไปชั่วคราวจริงๆ แต่ร่างกายของนางไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ชุยเฒ่ามองนางด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ แค่ให้เจ้าแสร้งว่าป่วย เจ้าก็แสร้งแล้วแสร้งเล่า แสร้งป่วยจนป่วยขึ้นมาจริงๆ
“ไม่รู้ว่าข้าเดาถูกหรือไม่ แต่ข้านึกถึงเหตุผลอื่นที่เหมาะสมไม่ออก” ชุยเฒ่าบอก
“ท่านคิดว่าอย่างไร” อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า
เขาเห็นด้วยกับชุยเฒ่า แต่ว่านั่นก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องที่พญามัจจุราชผู้นี้บุกเข้าไปโกนผมและขนของฮ่องเต้ เป็นเพราะไม่ได้สำแดงวรยุทธ์มาหลายปี เก็บกดจนแทบเป็นบ้าแล้วอย่างนั้นหรือ?
“พลังของวิชาอายุวัฒนะสูญหายไปเดือนละสามสี่วัน พลังยุทธ์ของนางกลับไม่สูญหาย แต่เมื่อใดที่สูญหายไป ก็จะใช้เวลาหลายปี” ชุยเฒ่านึกถึงคนที่ฟื้นตัวจากอาการป่วย เขาตบไหล่อวี๋หวั่นเบาๆ “หลังจากนี้พวกเจ้าก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
เพราะหลังจากที่ใครบางคนได้พลังยุทธ์กลับคืนมา ก็จะไม่มีผู้ใดได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีก
นางเจียงกำลังหลับใหล
อิ่งสือซันเห็นว่าที่นี่ไม่มีเรื่องใดแล้ว จึงส่งสายตาให้อิ่งลิ่ว และพาชุยเฒ่าออกไป
ในกระโจมเงียบลง
อวี๋หวั่นไปตักน้ำ บิดผ้า แล้วก็เช็ดตัวให้นางเจียง ระหว่างนั้นเธอก็ถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม ถอนพิษเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“อืม เรียบร้อยแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อวี๋หวั่นเช็ดหน้าและมือให้นางเจียงเสร็จ ก็ยกกะละมังน้ำออกมา แล้วปิดประตูให้นางเจียง
อวี๋หวั่นวางกะละมังลง เดินไปนั่งข้างเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วจับชีพจรให้เขา ชีพจรของเขาปกติดีทุกอย่าง แต่คล้ายกับว่าจะมีพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา
“วิชาอายุวัฒนะหรือ?” อวี๋หวั่นเงยหน้ามองเขา “บรรลุระดับอีกแล้วหรือ?”
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้านวลของเธอ ไม่อาจเก็บซ่อนสายตาอันอ่อนโยนไว้ได้
………………………….