หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 64 ปัจฉิมบท (6-2)
หลายวันมานี้หักโหมทำงานหนัก อวี๋หวั่นผอมลงไปมาก เนื้อที่ปรางแก้มของเธอหายไปแล้ว จนใบหน้าของเธอกลับไปเรียวเล็กดังเดิม
เยี่ยนจิ่วเฉายกมือขึ้นมาจับ แต่ก็ไม่ยักมีเนื้อให้จับแล้ว
อวี๋หวั่นจับมือของเขามา “เยี่ยนจิ่วเฉา”
“หืม?”
“ลูกๆ เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอ “สบายดี เจ้าละ?”
“ข้าก็สบายดี” อวี๋หวั่นยิ้ม เธอจับมือเขา แล้วเดินไปด้วยกันท่ามกลางความมืด สองสามีภรรยาแต่งงานกันมานาน แทบไม่ได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขสักที หากไม่ได้หนีไปทางนั้นก็ต้องไปทางนี้ จนในคืนหลังศึกครั้งนี้สิ้นสุดลง เธอก็ได้สัมผัสถึงวันคืนสงบสุข
แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่คนพูดมาก อวี๋หวั่นก็เช่นกัน แต่หลังจากที่เธอแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา เธอก็พูดเยอะขึ้นมา เธอชอบคุยกับเขา และชอบฟังเขาตอบคำถาม
อวี๋หวั่นเดินไกวมือไปพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉา “เยี่ยนจิ่วเฉา หลังจากสงครามจบลง ท่านอยากไปที่ไหน”
“ไม่อยากไปที่ไหนทั้งนั้น” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
ตอบอย่างไร้เยื่อใยจริงๆ อวี๋หวั่นเบ้ปาก “แต่ข้าอยากไป”
“อยากไปที่ใด” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
“อืม…” อวี๋หวั่นชี้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ “เริ่มจากเมืองเยี่ยน ข้าอยากเห็นสถานที่ที่ท่านใช้ชีวิตในวัยเด็ก”
“ได้”
ข้าจะพาเจ้าไป
“จากนั้นค่อยไปซยงหนู ข้าได้ยินพระชายาของเฉิงอ๋องบอกว่าที่นั่นมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ กว้างกว่าทุ่งหญ้าในจงหยวนรวมกันเสียอีก”
“ได้”
ข้าจะพาเจ้าไป
“ยังอยากไปที่ใดอีก” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นพลางครุ่นคิด “ข้าอยากไปทะเลทรายเกอปี้ ”
“ได้” เยี่ยนจิ่วเฉารับคำ
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็ยิ้มออกมา เธอหยุดฝีเท้าลง ดวงตาเป็นประกายจ้องมองเยี่ยนจิ่วเฉา “พวกท่านจะชนะสงครามได้จริงใช่ไหม”
เยี่ยนจิ่วเฉาจับจอนผมซึ่งถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงของอวี๋หวั่นทัดหูให้เธอ “จริง ข้าสัญญา”
สายตาของทั้งสองจ้องมองกันด้วยความสน่หา ไม่ไกลออกไป มีคนลอบมองเหตุการณ์นี้อยู่
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้แม้แต่จะมองคนผู้นั้น สายตาของเขายังคงอยู่ที่อวี๋หวั่น “เขายังไม่ถอดใจ ตอนนั้นที่สวี่โจวเจ้าไม่ควรช่วยเขาตั้งแต่แรก”
อวี๋หวั่นมองไปทางเยี่ยนไหวจิ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “คนที่ช่วยเขาในตอนนั้นไม่ใช่ข้า เขาจำคนผิดแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะข้อมูลที่เขาได้รับไม่ได้บอกว่าอย่างนั้น
อวี๋หวั่นหลุบตาลง จับมือเขาไว้ “เยี่ยนจิ่วเฉา รอให้ศึกครั้งนี้จบลง ข้าจะบอกความลับหนึ่งกับท่าน”
“ความลับอะไร” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“ตัวตนของข้า” อวี๋หวั่นตอบ
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำยากที่จะหยั่งรู้ “ตกลง”
……
ไฟสงครามลุกโหม ความอบอุ่นทางใจเช่นนี้เป็นสิ่งล้ำค่า ทั้งสองจูงมือกันเดินเล่นไปเรื่อยๆ จึงกลับมาทำหน้าที่ของตน อวี๋หวั่นมีคนไข้ต้องรักษา ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาก็ต้องไปวางแผนการรบ
เยี่ยนจิ่วเฉา เซียวเจิ้นถิง และแม่ทัพอีกหลายคนกำลังวางแผนการรบ วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง ใครเล่าจะกล้าเรียกเขาว่าเจ้าวิปลาสไร้ประโยชน์อีก ทันทีที่เปิดตัวมา เขาก็กลายเป็นผู้สังหารเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
กล่าวตามจริง จนบัดนี้พวกเขาก็ยังคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่ลองหยิกตัวเองดูแล้ว ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่นี่!
ทันใดนั้นเอง เซียวเจิ้นถิงก็นึกบางเรื่องออก เขาตบเข่าฉาด “ไอ้หยา! พวกเจ้าไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว! จวนคุณชายกับอาเยี่ยนจะไม่เกิดเรื่องใช่ไหม!”
บรรดาแม่ทัพล้วนตื่นตระหนก นั่นสิ ผู้สำเร็จราชการไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว กองทัพซิวหลัวก็มาอยู่ที่หน้าด่าน จวนคุณชายก็ไม่มีผู้ใดคอยอารักขาแล้วกระมัง?
ถ้าเกิด…พวกเขาคิดว่าถ้าเกิดเผ่าศักดิ์สิทธิ์ส่งยอดฝีมือไปยังเมืองหลวง แล้วควบคุมจวนคุณชายไว้จะทำอย่างไร
ทั้งบิดาและลูกๆ ของผู้สำเร็จราชการ แล้วก็พระชายารัชทายาทล้วนอยู่ในจวนคุณชาย!
ความกังวลของทุกคนไม่ใช่ไร้เหตุผล เผ่าศักดิ์สิทธิ์ปักหลักอยู่ที่เมืองอวี่ แต่ก็ยากที่จะยืนยันได้ว่ายอดฝีมือจะเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
อันที่จริง ตั้งแต่คืนที่เยี่ยนจิ่วเฉาประมือกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก เผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งยอดฝีมือไปบุกจวนคุณชายจริงๆ
แต่จากระดับพลัง พลังของพวกเขาไม่อาจเทียบเท่าเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่ทุกคนล้วนถูกฝึกฝนให้เป็นมือสังหารฝีมือดี เป้าหมายของพวกเขาก็คือสังหารโหดคนจวนคุณชาย แล้วช่วงชิงไข่มุกวิญญาณกลับมา!
ไข่มุกวิญญาณอยู่ที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อ เป็นของเล่นที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อชอบที่สุด ทุกคืน นางจะผล็อยหลับไปพร้อมกับกระจกและไข่มุกเม็ดนี้
ไข่มุกวิญญาณช่วยเสริมพลังของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีมันอยู่ ทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกรียงไกรกว่าเดิม
ยอดฝีมือกลุ่มนี้ ลอบเข้าไปในจวนคุณชายได้อย่างง่ายดาย และจัดการองครักษ์ในจวนซึ่งเป็นอุปสรรค
แม่นมได้ยินเสียงต่อสู้กัน จึงรีบพุ่งเข้าไปหาเปลของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ หมายจะอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อออกมา แต่กลับถูกมือสังหารของเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งตีจนสลบ!
มือสังหารอุ้มห่อผ้าของทารกน้อยซึ่งกำลังหลับสบายออกมา ในมือของนางมีสมบัติล้ำค่าของเผ่าศักดิ์สิทธิ์
มือสังหารเอื้อมมือไปแย่ง ทว่าทันใดนั้นก็มีเงาเล็กสายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วดุจกระสุนปืนใหญ่ กระแทกจนเขากระเด็นออกไป!
มือสังหารทั้งหมดในจวนรับรู้ได้ทันที พวกเขาชักกระบี่ออกมา แล้วบุกเข้าไปในห้อง โดยที่มิได้คาดคิดเลยว่ามีร่างหนึ่งปราดเข้ามาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า คนผู้นั้นเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจนตาเนื้อไม่อาจมองเห็น
คนผู้นั้นมีระดับพลังไม่สูงเท่าพวกเขา แต่เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับเป็นเงาของปีศาจอย่างไรอย่างนั้น เขาเคลื่อนที่ไปมาไม่หยุด กว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ยอดฝีมือกว่าครึ่งหนึ่งในนั้นก็ล้มลงไปแล้ว
ทั้งหมดล้วนตายเพราะถูกปาดคอ
แน่นอนว่ายังมีมือสังหารกรูกันเข้ามาทางหน้าต่างอีก แต่พวกเขาก็ถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ชนเข้า
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้แม้แต่ยอดฝีมือก็ต้องตะลึงงัน
คนผู้นั้นคล้ายกับรู้ว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่ออยู่ในห้องจะไม่เป็นอันตราย เขาจึงไม่บุกเข้าไปด้านในของห้อง และ
ตัดสินใจจัดการมือสังหารนอกเรือนแทน
บนโลกนี้ไม่มีมือสังหารที่ไร้ซึ่งความกลัว นอกเสียจากว่าพลังของเขาจะมีมากพอ มือสังหารห้าคนสุดท้ายตื่นกลัวแล้ว พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วหันหลังหมายจะสับเท้าหนี!
แต่พวกเขาก็หมดโอกาสหนี เพราะคนผู้นั้นง้างมือขึ้นมาปาดคอพวกเขาแล้ว!
นรกนั้นแสนว่างเปล่า เพราะอาเว่ยอยู่บนโลกมนุษย์อย่างไรละ!
อาเว่ยเข้าไปในห้องของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เยี่ยนเสี่ยวซื่อตื่นแล้ว นางกำลังมองไปรอบๆ
อาเว่ยเดินเข้าไป สองมือค่อยๆ อุ้มนางไว้ในอ้อมอก
เมื่อก่อนเขาเคยกลัวเด็ก ทว่าตั้งแต่มาเป็นอาจารย์ของเจ้าลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องทั้งสาม สัญชาตญาณความเป็นพ่อของเขาก็ได้ส่องประกายขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อครู่การต่อสู้ดุเดือดไปสักหน่อย เขาจึงไม่ได้สนใจกลิ่นอายในห้อง แต่ว่าเขารู้ว่านางเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อนางตื่นแล้ว ก็หมายความว่ามือสังหารที่บุกเข้ามาในห้องก่อนหน้านี้ก็ถูกพลังราชาศักดิ์สิทธิ์ของนางจัดการหรือ?
“เจ้าน่ะหรือ ราชาศักดิ์สิทธิ์?” อาเว่ยถาม
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่ได้ตอบ นางตอบไม่ได้ นางเพิ่งอายุเพียงเดือนเดียว
นางชะเง้อหน้ามองออกไป
อาเว่ยคิดว่านางกำลังมองหาใครสักคนอยู่
มือข้างหนึ่งของเยี่ยนเสี่ยวซื่อถือไข่มุกวิญญาณ มืออีกข้างหนึ่งถือดอกไม้สีเหลือง ดอกไม้นี้สวยงามน่ามอง กลีบดอกมีหยดน้ำเกาะอยู่ คล้ายกับว่า… เพิ่งจะมีน้ำหยดลงมา
……
หมู่บ้านนอกเมืองอวี่กลายเป็นค่ายทหารขนาดใหญ่ กำลังเสริมมุ่งตรงมายังหมู่บ้าน ภายใต้การนำของเยี่ยนจิ่วเฉา
“ท่านมีทหารทั้งหมดกี่คน” ในกระโจม เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
“หนึ่งแสน” เซียวเจิ้นถิงตอบ
“ทัพใหญ่เผ่าศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่กี่คน” เยี่ยนจิ่วเฉาถามต่อ
ผู้ที่ตอบคำถามในครั้งนี้คืออิ่งลิ่ว “เดิมทีในเมืองอวี่มีแปดหมื่นคน ตายไปหนึ่งหมื่น เหลืออีกเจ็ดหมื่น แต่ว่า…
คุณชายหมายความว่า ราชาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นบอกว่ามีทั้งหมดหนึ่งแสนคน แล้วอีกสองหมื่นคนหายไปไหนใช่ไหมขอรับ? ”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไป แล้วกล่าวว่า “อาเว่ยออกมาจากการเก็บตัวก่อนซิวหลัว ก็กลับเผ่าปีศาจไปรอบหนึ่งก่อนจะเดินทางมายังต้าโจว ได้ยินว่ายอดฝีมือของเผ่าปีศาจถูกจับตัวไป ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์หรือไม่”
ความจริงก็คือ แม้ว่ากองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์เดินทางออกจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็แยกกันเดินทางเข้าจงหยวน ทหาร
คนเดียวที่รู้ทางไปจงหยวนในบรรดาทหารกลุ่มสุดท้ายก็ป่วยตายกะทันหัน ในตอนนั้นพวกเขาอยู่ใกล้กับเผ่าปีศาจพอดี จึงไปจับยอดฝีมือมานำทาง
ในบรรดายอดฝีมือที่ถูกจับมา มีอาโต้วรวมอยู่ด้วย อาโต้วรู้จักคนจงหยวน เคยกินดื่มกับคนจงหยวน เคยตกหน้าผากับคนจงหยวน เคยสนทนาเรื่องบ้านเกิดเมืองนอนกับพวกเขา!
กระนั้นแล้ว อาโต้วก็หลงทางอยู่หลังภูเขาของเผ่าปีศาจมานับสิบปี ความสามารถเรื่องทิศทางของเขาไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอย่างไร
อาโต้วสาบานว่าเขาพยายามนำทางอย่างสุดความสามารถ แค่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาพาทหารของเผ่าศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นคนนั้นหลงไปที่ใด
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่าโศกนาฏกรรมเสียอีก
“บุกเมือง!” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ!” เยี่ยนไหวจิ่งลุกขึ้นยืน “ต่อให้ไม่รู้ว่าสองหมื่นคนนั้นหายไปไหน แต่ในเมืองก็ยังมีอยู่อีกเจ็ด
หมื่นคน ความสามารถในการรบของเขา เจ้ายังไม่เคยเห็น ก็จะใช้ทหารหนึ่งแสนคนเข้าโจมตี เจ้าจะใช้ชีวิตของทุกคนไปเสี่ยงหรือ? เจ้าคิดว่าในมือเจ้ามีซิวหลัวแค่ไม่กี่ร้อยคน จะกวาดล้างกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ? ทระนงตนเกินไปแล้วเยี่ยนจิ่วเฉา!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเยี่ยนไหวจิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กลัวตายมากก็ไม่ต้องไป เจ้าจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้ต่างกัน จะนั่งเป็นรัชทายาทอยู่ในกระโจมต่อไปก็ได้”
เมื่อก่อนเยี่ยนไหวจิ่งใช้วรยุทธ์เอาชนะเยี่ยนจิ่วเฉาได้ บัดนี้วรยุทธ์ของเขาไม่อาจเทียบชั้นกับเยี่ยนจิ่วเฉา
ครั้นเยี่ยนจิ่วเฉาสำแดงพลังที่แท้จริงออกมา เขาจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความต่างชั้น การตัดสินใจของเยี่ยนจิ่วเฉานับว่าบ้าบิ่น ทว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีผู้ใดคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาคิดผิด!
“ข้าคิดว่าได้” เซียวเจิ้นถิงกล่าว “อาศัยโอกาสที่ทหารของพวกเขากำลังหวาดกลัว และทหารอีกสองหมื่นนายของพวกเขายังไม่ตามมาสมทบ โจมตีพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัว!”
“ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าเห็นด้วย!”
……
มติเป็นเอกฉันท์!
อันที่จริงถึงมติจะไม่เป็นเอกฉันท์ก็ไม่เป็นไร มีดไปจ่อถึงคอหอยแล้ว ก็พอจะบังคับให้พวกเขาสงบปากสงบคำได้บ้าง
ที่เยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่าให้บุกโจมตีเมืองนั้นไม่นับว่าปราศจากการไตร่ตรอง เพราะที่จริงแล้วกำลังเสริมของหนานจ้าวได้เดินทางข้ามชายแดนมาแล้ว อีกไม่นานก็จะมาถึงประตูเมืองที่สำคัญอีกด้านหนึ่งของเมืองอวี่
อวี๋เซ่าชิงและเห้อเหลียนเซิงนำพลรบทั้งหมดหนึ่งแสนนายมาแล้ว ต่งเซียนเอ๋อร์สวมชุดเกราะสีแดง ติดตามเห้อเหลียนเซิงมาด้วย
“ที่จริงเจ้าไม่ต้องมาก็ได้” เห้อเหลียนเซิงพูดพลางควบม้า
ต่งเซียนเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านข้างกระตุกเชือก นางเลิกคิ้วแล้วถามว่า “ข้านอนกับเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่รับผิดชอบข้าหรือ!”
เห้อเหลียนเซิง “…”
ย่างเข้ายามสนธยา เยี่ยนจิ่วเฉานำกองทัพบุกโจมตีประตูเมืองทิศเหนือ
ทหารเผ่าศักดิ์สิทธิ์บนกำแพงเมืองยิงศรลูกไฟใส่เยี่ยนจิ่วเฉา ทำให้เหล่าม้าศึกซึ่งวิ่งมาด้วยตกใจตามสัญชาตญาณ มีเพียงม้าที่เยี่ยนจิ่วเฉาขี่มาเท่านั้นที่ยังคงควบนำหน้าต่อไปท่ามกลางเปลวเพลิงโดยไม่ครั่นคร้าม!
‘มันอยากเป็นม้าศึก’
ในที่สุดเจียงจวินก็ไม่ใช่ลูกม้าตัวน้อยของราชาพ่อมดแล้ว มันเป็นม้าศึก มันได้เป็นตัวของตัวเองสักที!
เยี่ยนจิ่วเฉากระโดดขึ้นไปบนกำแพงเมือง ซิวหลัวฟันน้ำนมก็พาพรรคพวกขึ้นไปบนกำแพงเมือง และเปิดฉากสังหารทหารประจำการ จากนั้นก็เปิดประตูเมืองจากด้านใน
หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้น อวี๋เซ่าชิงและคนอื่นๆ ก็บุกประตูเมืองทิศใต้
“ข้าขึ้นไปก่อน!” ต่งเซียนเอ๋อร์ซึ่งสวมชุดเกราะสีแดงทะยานขึ้นไปบนกำแพงเมือง
กระนั้นอีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะเตรียมการไว้แล้ว พวกเขาโยนตาข่ายซึ่งติดเข็มพิษไว้ทั่วเข้าใส่นาง
“โอ๊ย!” ต่งเซียนเอ๋อร์หน้าถอดสี นางใช้แส้ตวัดใส่กำแพงเมือง หมายจะผลักตนเองออกมา เพื่อหลบตาข่ายเข็มพิษ แต่ตาข่ายนั้นใหญ่เกินไป นางหลบไม่ทันเสียแล้ว
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง เห้อเหลียนเซิงก็พุ่งเข้ามาโอบเอวของนางไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับกระบี่ แล้วตัดตาข่ายเข็มพิษจนขาด
ต่งเซียนเอ๋อร์พลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ใบหน้าของนางแดงก่ำ นางซุกใบหน้าเข้ากับหน้าอกของเขา “บอกมานะ ว่าเจ้าก็มีใจให้ข้า”
เห้อเหลียนเซิงไม่ได้ตอบ เขาเพียงปล่อยแขนเบาๆ ต่งเซียนเอ๋อร์ก็กลิ้งหล่นลงไปแล้ว
“อ๊าา! เจ้าพระบ้า! ข้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ!”
……
การบุกโจมตีเมืองอวี่ยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งคืน หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าไปยังใจกลางเมือง
ชาวบ้านในเมืองอวี่หลบหนีออกมาไม่หยุดหย่อน อวี๋หวั่นพยายามช่วยเหลือทุกคนที่ช่วยได้ คนที่ต้องได้รับการรักษาส่วนหนึ่งก็ส่งไปยังในตำบล ส่วนผู้ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนก็รักษาในค่าย
อวี๋หวั่นและชุยเฒ่าทำงานจนมือไม้เป็นพัลวัน
คนหนึ่งก็เพิ่งคลอดลูก อีกคนหนึ่งก็อายุมากแล้ว ง่วนอยู่กับการรักษาผู้บาดเจ็บทั้งวันต่างทรุดลงกับพื้นด้วยความอ่อนล้า
ม้าเร็วเดินทางมาถึงในรุ่งอรุณของวันที่สิบห้า
อวี๋หวั่นกำลังเย็บแผลให้ทหารอยู่ เธอหันหลังไปเห็นผิงเอ๋อร์กำลังกระวีกระวาดเข้ามา “ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ! พวกเราชนะแล้ว! กองทัพใหญ่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์แพ้แล้วเจ้าค่ะ!”
เผ่าศักดิ์สิทธิ์มีทหารทั้งหมดแปดหมื่นนาย หลังจากสูญเสียกำลังรบไปกว่าครึ่ง พวกเขาก็เหลือทหารเพียงไม่ถึงสองหมื่นนาย พวกเขาขาดแคลนเบียง ยอดฝีมือทุกคนล้วนถูกเยี่ยนจิ่วเฉาสังหาร ในบรรดายอดฝีมือเหล่านั้น ไม่เหลือรอดแม้แต่แม่ทัพระดับครึ่งราชาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่อยากรบต่อแล้ว
“เยี่ยนจิ่วเฉาจะกลับมาแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นดวงตาเป็นประกาย
“เจ้าค่ะ! คุณชายจะกลับมาแล้ว!” ผิงเอ๋อร์ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะไปรอเขา!”
เธออยากเป็นคนแรกที่ได้พบเขา
อวี๋หวั่นถอดถุงมือ แล้วเดินออกไปอย่างร่าเริงราวกับดรุณีน้อยกำลังรอคอยคนรัก
ทว่าใครเล่าจะไปคาดคิดว่าในตอนนั้นเอง หอกแหลมเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเธอ
เธอยืนอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน กำลังชะเง้อมองสามี หอกเล่มนั้นก็พุ่งเข้ามาปักทะลุอกของเธอ
“ฮูหยินน้อย!” ผิงเอ๋อร์ตะโกนดังลั่น
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าก็รู้สึกคล้ายกับเจ็บแปลบที่หัวใจ!
อวี๋หวั่นก้มหน้าลงมอง นี่คือหอกเล่มที่เยี่ยนจิ่วเฉาใช้สังหารเทพศักดิ์สิทธิ์…
เยี่ยนไหวจิ่งรุดออกมา เขามองไปยังคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่รู้ว่าแฝงตัวเข้ามากับพวกเขาตั้งแต่เมื่อใด จากนั้นก็ชักกระบี่ขึ้นมาปาดคอเขา!
อวี๋หวั่นล้มลงบนกองเลือด
เธอมองไปยังประตูเมือง คล้ายกับอยากพูดอะไร แต่กลับกระอักเลือดสดออกมา
ปลายนิ้วของเธอขยับเล็กน้อย
เยี่ยนจิ่วเฉา ข้าเจ็บเหลือเกิน…
……………………..