หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 65.1 ตอนจบ (1)
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉากลับไปถึงกระโจม อวี๋หวั่นก็นอนอยู่บนแคร่ซึ่งปูด้วยหญ้าแห้งและฟูกนุ่มแล้ว สภาพความเป็นอยู่ในค่ายทหารนั้นยากลำบาก อวี๋หวั่นไม่เคยเรียกร้องว่าตนเองต้องกินดีอยู่ดีกว่าคนอื่นๆ
หอกซึ่งปักลงบนร่างของเธอถูกดึงออกมาแล้ว ชุยเฒ่าก็รักษาให้เธออย่างสุดความสามารถ ทว่าหอกเล่มนี้แทงทะลุอกของอวี๋หวั่น ต่อให้ไม่โดนตำแหน่งหัวใจ แต่ก็ทำให้เป็นแผลที่ไม่อาจรักษาได้
จะไม่ดึงหอกออกก็ไม่ดี แต่ดึงออกไปก็ทำให้บาดเจ็บหนักกว่าเดิม อาการบาดเจ็บของอวี๋หวั่นนั้นรุนแรงกว่าที่ชุยเฒ่าคิด
ชุยเฒ่าเครียดจนผมหงอกกว่าเดิมอีกหลายเส้น
เขาสั่งให้คนยกเลือดออกไปเป็นกะละมัง แสงตะเกียงในกระโจมส่องสะท้อนใบหน้าซีดเผือดของเขา เขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็พลันผุดขึ้นในใจ
บรรยากาศในค่ายทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งอยู่ไกลออกไปสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ สถานที่ซึ่งเคยเซ็งแซ่คล้ายกับถูกปิดเสียงเอาไว้ในฉับพลัน ประหนึ่งโลกนี้จะไร้ซึ่งเสียงไปตลอดกาล
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ากระโจมไป
อวี๋หวั่นนอนอยู่บนเตียง ราวกับกำลังนอนหลับในยามปกติ เพียงแต่ใบหน้าขาวซีดของเธอกลับทรยศเธอ นอกจากนั้น ตั้งแต่ที่อวี๋หวั่นเดินทางมาถึงที่นี่ เธอไม่เคยได้พักผ่อนเต็มอิ่มสักครั้ง ตอนนี้เธอก็ควรจะอยู่ช่วยรักษาทหารที่บาดเจ็บเช่นกัน…
นางเจียงนั่งอยู่ข้างเตียง จับมือของอวี๋หวั่นแน่น
นางได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยนจิ่วเฉา จึงหันหลังไปมอง ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “อาหวั่นนาง…ไม่ตื่น…”
อวี๋เซ่าชิงก็เข้ามาในกระโจมเช่นกัน “มีอะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น…”
เสียงของเขาหยุดลงทันทีที่เห็นนางเจียงดวงตาแดงก่ำ ขอบตาบวมเป่ง สายตาของเขาเบนจากนางเจียงไปหยุดอยู่ที่ร่างของอวี๋หวั่นซึ่งนอนไม่ได้สติ เขาหน้าถอดสีในทันใด “อาหวั่นเป็นอะไร!”
นางเจียงร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด น้ำตาหยดเปาะแปะลงมาไม่หยุด “ข้าเรียกอาหวั่น แต่นางไม่ตื่น…”
อวี๋เซ่าชิงรู้สึกว่าสมองของตนชาหนึบไปชั่วขณะหนึ่ง ก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาในค่ายทหารแล้ว มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ในค่ายก็เต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บ เขาจึงไม่คิดว่าจะเป็นบุตรสาวของตน
อวี๋เซ่าชิงเดินเข้ามาข้างเตียง มองดูบุตรสาวซึ่งกำลังหลับตาสนิท หมวกเกราะของเขาร่วงลงบนพื้น
“เจ้าสาม…” นางเจียงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่เคยโศกเศร้าเช่นนี้มาก่อน และนางไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาเช่นนี้ แต่อาหวั่นของนางไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว นางกำลังจะเสียอาหวั่นไปจริงๆ…
อวี๋เซ่าชิงโอบนางเจียงด้วยแขนอันสั่นเทิ้ม “เป็นไปไม่ได้…อาหวั่นจะไม่เป็นไร….สวรรค์คุ้มครองคนดี…นางต้องฟื้นขึ้นมา…”
“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ผิงเอ๋อร์ตอบด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “เป็นความผิดของข้า…ข้าได้ยินข่าวว่าทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ…จึงวิ่งมาบอกฮูหยินน้อย…ฮูหยินน้อย…ฮูหยินน้อยจึงไปรอคุณชายที่ทางเข้าหมู่บ้าน… แล้วก็…ถูกลอบโจมตี…”
หลายวันมานี้เยี่ยนไหวจิ่งไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้อวี๋หวั่น เหตุผลประการแรกก็เพราะอวี๋หวั่นยุ่งอยู่กับงาน เหตุผลประการที่สองก็เพราะสถานที่ที่อวี๋หวั่นทำงานนั้นไม่เจริญหูเจริญตา เขาไม่ชอบสถานที่ที่มีเลือดและสกปรกเช่นนี้
เขาไปสำรวจเหตุการณ์ และกำลังจะมาหาอวี๋หวั่น ทันทีที่เดินเข้าไปในกระโจม มือเย็นเฉียบก็คว้าเข้าที่ลำคอของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาบีบคอของเขา แล้วจับเขาออกมานอกกระโจม และกระแทกไปยังต้นไม้ฝั่งตรงข้าม
ทหารซึ่งอยู่บริเวณนั้นล้วนตื่นตะลึง
เกิดอะไรขึ้น ผู้สำเร็จราชการกับรัชทายาทต่อสู้กันหรือ?
เยี่ยนไหวจิ่งใบหน้าแดงก่ำ เขาพยายามดิ้น เพื่อให้ตนเองหลุดจากพันธนาการของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ฝ่ามือใหญ่ของเยี่ยนจิ่วเฉาแข็งแกร่งประหนึ่งกรงเล็บเหล็กกล้า ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไปไม่ได้
ทหารซึ่งมุงดูเหตุการณ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยนไหวจิ่งใบหน้าเขียวอมแดง เขารู้สึกขายหน้าเหลือเกิน
เขากัดฟันพูดออกมาอย่างยากลำบาก “เยี่ยนจิ่วเฉา…เจ้าทำอะไร…”
ดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉาดุดันประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุกโหม “เรื่องเละเทะในเมืองหลวง ข้าเป็นคนจัดการ สงครามที่เมืองอวี่ ข้าก็ไปสู้ ความเป็นความตายของราษฎร ข้าก็ดูแล…ให้เจ้าทำเพียงเรื่องเดียว…แค่ดูแลค่ายทหารให้ดี เรื่องแค่นี้…เจ้ากลับทำไม่ได้!”
เยี่ยนจิ่วเฉากดเขาไว้กับพื้น
เยี่ยนไหวจิ่งบาดเจ็บภายใน เขากระอักเลือกสดออกมาคำโต
นัยน์ตาของจวินฉางอันกระตุกวูบ เขาก้าวออกไปด้านหน้า “ผู้สำเร็จราชการ…”
“ไสหัวไป!”
เยี่ยนจิ่วเฉาตวาดลั่น จิตสังหารรุนแรงระเบิดออกมา ราวกับลำแสงไร้รูปร่าง พุ่งออกมากระแทกจวินฉางอันจน
กระเด็นออกไป
ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงจากเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าแทนเยี่ยนไหวจิ่ง
พวกเขาเห็นสิ่งที่อวี๋หวั่นทำ เธอเพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน ยังไม่ทันครบกำหนดพักฟื้น ก็มาอยู่ร่วมกับทุกคน มิได้เย่อหยิ่งคิดว่าตนเองเป็นถึงชายาของผู้สำเร็จราชการ เธอง่วนอยู่กับงานทั้งวัน จนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน
ไม่ใช่ทหารทุกคนที่จะถูกนำตัวมาถึงค่ายด้วยสภาพสะอาดสะอ้านน่ามอง แต่ถึงแม้พวกเขาเนื้อตัวเปรอะเปื้อน
เลือด แลดูสกปรกโสโครกแค่ไหน เธอก็ไม่เคยรังเกียจรังงอนที่จะช่วยเหลือ
อวี๋หวั่นไม่ได้ช่วยรักษาผู้บาดเจ็บเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่ผู้สำเร็จราชการตัดสินใจบุกเมืองอวี่ เธอได้ส่งคนไปแจ้งแก่ทางการของตำบลโดยรอบว่าให้เตรียมตัวรับผู้อพยพ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย อาจมีสงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ และมักมีภาพเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เรื่องทั้งหมดนี้ เธอล้วนเป็นคนจัดการ
เธอมีทั้งความสามารถและคุณธรรม ทั้งยังมีวิธีที่ชาญฉลาด ทำให้ผู้สำเร็จราชการและเหล่าทหารกล้าซึ่งกำลังฮึกเหิมออกรบโดยปราศจากความกังวลใจ
เมื่อเธอถูกทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงรู้สึกเดือดดาล
ผู้สำเร็จราชการกล่าวไว้ไม่ผิด เขาให้รัชทายาทรับผิดชอบเพียงเรื่องเดียว แต่รัชทายาทก็ยังทำเสียเรื่อง
เยี่ยนไหวจิ่งก็เข้าใจดีว่าตนเองหนีความผิดไม่พ้น เขาคิดอยากแก้ตัว แต่ต่อให้หลอกคนอื่นได้ เขาก็หลอกตัวเองไม่ได้ นั่นก็คือคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีออกมาพร้อมกับชาวบ้านเมืองอวี่ ตอนนั้นคนผู้นั้นบาดเจ็บหนักทั้งยังอุ้มทารกซึ่งกำลังร้องกินนมคนหนึ่งมา อาจเป็นเพราะทารกคนนั้น เขาจึงไม่ได้ระแวงอีกฝ่ายมากนัก
คนปกติและคนที่บาดเจ็บไม่มากล้วนถูกส่งไปตามตำบลต่างๆ โดยรอบ เจ้าสารเลวจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนนั้นขาหัก
ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน จึงถูกส่งเข้าไปในกระโจมของกองทัพ
ไม่ใช่ว่าผู้บาดเจ็บทุกคนจะถูกส่งไปหาอวี๋หวั่น เธอไม่ใช่กวนอิมพันกร ไม่อาจช่วยรักษาคนไข้นับพันคนในเวลาพร้อมกันได้ แต่เยี่ยนไหวจิ่งกลับเห็นหน้าค่าตาคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนนั้นมาก่อน!!!
เพียงแต่เขามองไม่ออกว่าคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์กับคนไข้คนอื่นๆ แตกต่างกันตรงไหน
บางครั้งเยี่ยนไหวจิ่งก็คิดว่าถ้าหากตอนนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่นี่ เขาจะมองออกไหม ก็คงมองไม่ออกเหมือนกันกระมัง
กระนั้นแล้ว หลังจากนั้นอิ่งสือซันกับอิ่งลิ่วก็เข้าไปตรวจในกระโจมคนไข้ดูแล้ว และจับคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้อีกสิบกว่าคน ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ปะปนมาในตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉานำทัพกลับจากเมืองอวี่ เยี่ยนไหวจิ่งเห็นพวกเขาทุกคน แต่ก็มองไม่ออกเลยสักคน
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไสหัวกลับเมืองหลวงไปซะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”
ถ้าหากเยี่ยนจิ่วเฉาระเบิดอารมณ์ ลงมือต่อยเขาขึ้นมา เรื่องอาจจบลงได้ แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับปล่อยเขาไปง่ายๆ แสดงว่าเรื่องนี้ไม่มีทางดีขึ้นแล้ว
เยี่ยนไหวจิ่งอยากพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกซิวหลัวฟันน้ำนมจับคอเสื้อ ลากออกไปนอกค่ายเสียแล้ว!
เยี่ยนจิ่วเฉากลับไปยังกระโจม
“พวกเราออกไปกันก่อนเถิด ให้จิ่วเฉาอยู่เป็นเพื่อนอาหวั่น” อวี๋เซ่าชิงพานางเจียงออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งลงข้าเตียง
เขาเร่งร้อนควบม้ามา ก็เพื่อให้ได้พบอวี๋หวั่นเป็นคนแรก
แต่กลับไม่คิดว่าจะได้พบกับอวี๋หวั่นที่ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
“คุณชายขอรับ คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์…” อิ่งสือซันตามเข้ามา
“ฆ่าให้หมด!” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
“อะไรนะ” ในกระโจมของเซียวเจิ้นถิง แม่ทัพแซ่จ้าวคนหนึ่งลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “ผู้สำเร็จราชการจะให้ฆ่า?
ฆ่าใคร คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ยอมแพ้ต่อต้าโจวน่ะหรือ? พวกเขายอมแพ้แล้วนะ! แต่โบราณมีกฎไม่ให้สังหารกองทัพที่ยอมแพ้! ทำเช่นนี้ก็ไม่ถูกหลักการน่ะสิ!”
“นั่นสิ จะฆ่าคนพวกนี้ไม่ได้ มันผิดกฎ หากแพร่งพรายออกไป ต้าโจวต้องถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่…”
“ถูกต้อง คนพวกนั้นถ้าฆ่าไปแล้วก็แล้วกัน แต่หากยอมแพ้ก็ไม่ควรฆ่า ไม่เช่นนั้นชื่อของผู้สำเร็จราชการคงจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์”
ที่บอกว่าถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นั้นเป็นเพียงการพูดให้ฟังดูรื่นหู ความหมายที่แท้จริงก็คือถูกคนด่าทอไปรุ่นแล้วรุ่นเล่ากระมัง?
นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้พูดอะไร
เมื่อมองในมุมของขุนนางราชสำนัก คนเหล่านั้นไม่ควรถูกสังหาร แต่เมื่อมองในมุมมองของพ่อคนหนึ่ง ลูกของเขาต้องมาสูญเสียภรรยาไป เขาเองก็อยากเข้าไปฟันคอเจ้าพวกนั้นให้ตายคาที่!
“แม่ทัพใหญ่เซียว ไม่ดีแล้ว ท่านไปเกลี้ยกล่อมผู้สำเร็จราชการสักหน่อยสิขอรับ เขานำทัพโจมตีคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ความดีความชอบมหาศาล เดิมทีควรจะชื่อเสียงขจรไกล แค่หากทำพลาดไปเพียงเล็กน้อย ถูกคนสังหารได้เลยนะขอรับ…” แม่ทัพคนสนิทของเซียวเจิ้นถิงบอก
เซียวเจิ้นถิงกุมขมับด้วยความหนักใจ “ข้า…”
เขากำลังจะเอ่ยปาก องครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “แย่แล้ว! กองทัพซิวหลัวหายไปแล้วขอรับ!”
อวี๋หวั่นได้รับบาดเจ็บ ซิวหลัวฟันน้ำนมโทสะพลุ่งพล่าน
เขาจึงพาพรรคพวกบุกเข้าไปในค่ายทหารของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ และสังหารกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่หลง
เหลืออยู่ในเมืองอวี่ จนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว!
ซิวหลัวคืออะไร
อสูรอย่างไรเล่า
เป็นเพราะมีอวี๋หวั่นและเด็กทั้งสาม พวกเขาก็เป็นอสูรที่ปกป้องทั้งสี่ แต่เมื่ออวี๋หวั่นไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็จะเป็นอสูรที่ล้างแค้นแทนเธอ
ณ เมืองหลวง ในจวนคุณชาย
เยี่ยนอ๋องกำลังอ่านสาส์น
ชายแดนจะส่งข่าวผ่านนกพิราบมาทุกวัน วันนี้ออกจะช้าไปสักหน่อย มืดแล้วยังมาไม่ถึงสักที
ในใจของเยี่ยนอ๋องสัมผัสได้ถึงลางไม่ดี เขาดันหน้าต่างออกไป แล้วมองไปยังพระจันทร์เสี้ยว แต่ก็มองอยู่ได้ไม่นาน ทันใดนั้นเมฆทึบก็เคลื่อนเข้าปกคลุมฟ้ากระจ่าง สายลมพัดกรรโชก สาส์นบนโต๊ะถูกลมพัดจนกระจัดกระจาย
เขารีบปิดหน้าต่าง ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มีแสงสว่างวาบ ตามมาด้วยเสียงดังกัมปนาท จนสมองของเขามึนงงไปชั่วขณะ
“อุแว้”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งอยู่ในห้องร้องไห้ออกมา
เด็กทั้งสามลืมตาตื่นขึ้นในทันใด พวกเขารีบลุกขึ้น เลิกผ้าห่มออก เท้าเล็กวิ่งเตาะแตะออกมา
“อ๊าาาา”
เสี่ยวเป่าล้มลงขณะก้าวข้ามธรณีประตู
เยี่ยนอ๋องกำลังจะไปดูว่าเด็กๆ เป็นอย่างไรบ้าง แต่กลับมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าพอดี จึงรีบเข้าไปอุ้มเสี่ยวเป่ามา
“ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถาม
เสี่ยวเป่าขอบตาแดงก่ำ
“เป็นอะไร เจ็บหรือ?” เยี่ยนอ๋องถามอีก
เสี่ยวเป่าสะอึกสะอื้น ไม่ยอมพูดออกมา
เยี่ยนอ๋องมองไปยังเอ้อร์เป่าและต้าเป่า ทั้งสองมีท่าทางหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัว แค่ฟ้าร้อง” เยี่ยนอ๋องกอดเด็กทั้งสาม
ในห้องของแม่นม เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้องไห้เสียงดังลั่น แม่นมอุ้มนางเดินไปมาอยู่ในห้อง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่หยุดร้อง
“เป็นอะไรกัน ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่านะ ปกติคุณหนูเล็กไม่ร้องไห้งอแงอย่างนี้นี่…”
ไม่ได้ฉี่รดผ้าอ้อม ป้อนนมก็ไม่กิน แต่กลับร้องไห้ไม่หยุด
เสียงร้องของนางก็ดังลั่นแข่งกับเสียงฟ้าร้อง
……
อวี๋หวั่นบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ชุยเฒ่าเองก็จนปัญญา แต่อันที่จริงในใจของทุกคนก็มีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นก็คือไปหาโจวจิ่น!
ก่อนหน้านี้เนี่ยหวั่นโหรวก็บาดเจ็บหนัก ราชาพ่อมดก็เป็นคนรักษาชีวิตของนางไว้ โจวจิ่นเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ย่อมต้องช่วยต่อลมหายใจและทำให้หัวใจของอวี๋หวั่นเต้นต่อไปได้
อวี๋เซ่าชิงออกเดินทางในคืนนั้น เขาขี่เจียงจวินมุ่งหน้าไปยังเผ่าพ่อมด
แม้ว่าเจียงจวินจะวิ่งนับหมื่นหลี่ต่อวัน แต่ต้าโจวนั้นห่างจากเผ่าพ่อมดเหลือเกิน ต่อให้เดินทางทั้งวันทั้งคืนก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือน กระนั้นที่โชคดีก็คือ โจวจิ่นกำลังอยู่ระหว่างทางมายังต้าโจว พวกเขาได้พบกันที่หนานจ้าว
อวี๋เซ่าชิงถามว่า “เจ้าทำนายว่าอาหวั่นจะเกิดเรื่อง จึงเดินทางมาเพื่อช่วยอาหวั่นอย่างนั้นหรือ?”
โจวจิ่นส่ายหน้า “ข้าทำนายโชคชะตาของท่านพี่หวั่นไม่ได้ ข้าแค่จะมาเยี่ยมท่านพี่หวั่นกับราชาศักดิ์สิทธิ์”
โจวจิ่นไม่ได้โกหก เขาสามารถทำนายโชคชะตาของทุกคน ยกเว้นอวี๋หวั่น เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
อวี๋เซ่าชิงกล่าวว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เจ้ารีบไปเมืองอวี่กับข้า เจ้าต้องไปช่วยอาหวั่น!”
ณ เมืองอวี่ โจวจิ่นเห็นอวี๋หวั่นนอนหลับไม่ได้สติอยู่ในห้อง
โจวจิ่นรู้สึกปวดใจ เขาเดินเข้าไปจับมืออวี๋หวั่น
ทุกคนออกไปจากห้อง เหลือเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งมีสีหน้าเย็นเยียบ
เมื่อโจวจิ่นลืมตาขึ้น แล้วปล่อยมือจากอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงของเขาฟังดูสุขุมเยือกเย็น แต่น้ำเสียงอันสั่นเครือของเขากลับบ่งบอกความในใจของเขา
เขากำลังกังวล กังวลอยู่ตลอดเวลา!
โจวจิ่นส่ายหน้าด้วยความหนักใจ “พลังพ่อมดของข้าใช้กับท่านพี่หวั่นไม่ได้”
“เหตุใดถึงใช้ไม่ได้” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
โจวจิ่นหันหน้าไปทางอวี๋หวั่น ”นางไม่ใช่คนที่นี่ นางเป็น…วิญญาณเร่ร่อนจากโลกอื่น”
ไม่น่าแปลกใจที่เขาทำนายชะตาของอวี๋หวั่นไม่ได้ โชคชะตาของอวี๋หวั่นไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของฟ้าดินในโลกนี้
‘เยี่ยนจิ่วเฉา รอให้ศึกครั้งนี้จบลง ข้าจะบอกความลับหนึ่งกับท่าน’
‘ความลับอะไร’
‘ตัวตนของข้า’
‘ตกลง’
บทสนทนาระหว่างทั้งสองคนแล่นปราดเข้ามาในสมองของเขา ราวกับเธอกำลังพูดด้วยรอยยิ้มตรงหน้าเขา เยี่ยนจิ่วเฉามองโจวจิ่น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
โจวจิ่นไม่ได้ถามว่าท่านไม่ตกใจเลยหรือ ท่านไม่คิดจะถามซักไซ้สักหน่อยหรือ โจวจิ่นเพียงแต่เดินออกไปจากห้องเงียบๆ ปล่อยให้โลกนี้เป็นของพวกเขาทั้งสองคน
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งลงบนม้านั่ง จับมืออันเย็นเฉียบของอวี๋หวั่นมาประทับที่ริมฝีปากของตน พึมพำว่า “อวี๋อาหวั่น ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร เป็นคนหรือเป็นวิญญาณเร่ร่อน เจ้ารีบตื่นขึ้นมาได้แล้ว”
……….