หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 65.2 ตอนจบ (2)
อวี๋หวั่นรักษาตัวอยู่ที่เมืองเยี่ยน เซียวเจิ้นถิงนำทัพซึ่งพิชิตศึกได้สำเร็จกลับเมืองหลวง
ฮ่องเต้อาการดีขึ้นมากแล้ว แม้ว่ายังเคลื่อนไหวได้จำกัด แต่สติสัมปชัญญะกลับมาดีขึ้นแล้ว พระองค์เรียกเซียวเจิ้นถิงและแม่ทัพซึ่งออกรบในทัพหน้าเข้าเฝ้าที่ห้องบรรทม
แม้สาส์นจากม้าเร็วจะบรรยายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เรื่องบางเรื่อง พระองค์ก็อยากรับรู้ด้วยตนเอง
“เราได้ยินว่า…ทัพใหญ่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ยอมศิโรราบ แต่ถูกผู้สำเร็จราชการสั่งให้สังหารจนหมด เกิดอะไรขึ้นกัน” อาการป่วยของฮ่องเต้ยังไม่หายดี พระองค์ยังพูดได้ช้า แม้แต่ยามที่ฟังเรื่องราว ก็มีบางครั้งบางคราวที่สับสน
เซียวเจิ้นถิงมิได้รู้สึกแปลกใจ เขาตอบอย่างจริงจังว่า “ทูลฝ่าบาท กองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ใช้การยอมแพ้เป็นข้ออ้าง ความจริงแล้วพวกเขาต้องการให้พวกกระหม่อมตายใจ พวกเขาอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อลอบโจมตีค่ายทหารของพวกกระหม่อม ทั้งยังทำร้ายพระชายาของผู้สำเร็จราชการ จนบัดนี้พระชายายังไม่ฟื้นเลยพ่ะย่ะค่ะ การที่ผู้สำเร็จราชการออกคำสั่งโจมตีนั้นมิได้อยู่ในแผนการพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” สายตาของฮ่องเต้ไปหยุดอยู่ที่แม่ทัพสิบกว่าคนด้านหลัง “เยี่ยนจิ่วเฉาต่อสู้กับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะต้องการระบายอารมณ์?”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ทุกคนตอบพร้อมกัน
ฮ่องเต้เห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความอะไร จึงโบกมือ ให้แม่ทัพทั้งหลายออกไป “เซียวเจิ้นถิง เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ฮ่องเต้จะคุยกับเซียวเจิ้นถิงเรื่องเยี่ยนไหวจิ่ง เรื่องที่เยี่ยนไหวจิ่งชักนำคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์มานั้นได้แพร่สะพัดไปนานแล้ว ฮ่องเต้ต้องการฟังความเห็นของเซียวเจิ้นถิง
เซียวเจิ้นถิงจะไปมีความเห็นอะไรได้ ถ้าเป็นลูกของเขาเอง เขาคงจะลากไปตีให้ตายไม่รู้กี่รอบแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าเยี่ยนไหวจิ่งก็ถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์หลอกใช้ แต่ถ้าหากเขาไม่คิดอยากกำจัดเยี่ยนจิ่วเฉาแต่แรก เขาจะหลงกลของคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน
หากเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นขุนนางทุจริตทำเรื่องเลวร้าย แรงจูงใจของเยี่ยนไหวจิ่งยังจะพอเข้าใจได้ แต่คำถามคือเยี่ยนจิ่วเฉาทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ทุบตีเยี่ยนไหวจิ่ง? ก็เป็นเพราะเยี่ยนไหวจิ่งไปแย่งคนรักของเขา จะไม่ให้เขาตามมาจัดการได้อย่างไร ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
กระนั้นเซียวเจิ้นถิงก็รู้ดีว่าที่ฮ่องเต้ถามเขา ไม่ใช่เพราะต้องการฟังความเห็นของเขา แต่ต้องการให้เขาทัดทานพระองค์ อย่างไรเสียเขาก็เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความดีความชอบมากที่สุดในศึกครั้งนี้ เขามีสิทธิที่จะพูด
แต่เขาจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้ลดหย่อนผ่อนโทษเยี่ยนไหวจิ่งหรือ?
“ฝ่าบาท รัชทายาททำความผิด ควรได้รับโทษประหารพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้โมโหจนแทบจะลมจับ!
แน่นอนว่าฮ่องเต้รู้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งทำความผิดมหันต์ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงรัชทายาท ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ประหารเขา
ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนคิดผิดที่เรียกให้เซียวเจิ้นถิงอยู่ต่อ เขาเป็นคนหัวแข็ง ไม่โอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ
“เอาละๆ ออกไปก่อนเถอะ!”
ฮ่องเต้รีบไล่เซียวเจิ้นถิงออกไป
เยี่ยนไหวจิ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาท ทำให้อัครมหาเสนาบดีหานพลอยโดนหางเลข ถูกบังคับให้ ‘ปลดเกษียณไปใช้ชีวิตบั้นปลาย’ ตามไปด้วย เยี่ยนไหวจิ่งถูกส่งไปอยู่ในพื้นที่แร้นแค้นทางตอนเหนือ
ฮ่องเต้มิได้เอาผิดหานจิ้งซู และอนุญาตให้นางพำนักอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้ เพียงแต่ลูกในท้องของนางจะไม่มีชื่ออยู่ในพงศาวลีของราชวงศ์ ส่วนนางจะไม่ได้มีศักดิ์เป็นพระชายารัชทายาทหรือพระชายาขององค์ชายรองอีกต่อไป นางจะได้ใช้เพียงสกุลของเยี่ยนไหวจิ่ง เป็นเพียงฮูหยินเยี่ยน
หานจิ้งซูขอร้องฮ่องเต้ ให้ทรงอนุญาตให้นางติดตามเยี่ยนไหวจิ่งไปด้วย
นอกจวนรัชทายาท จวินฉางอันขวางหน้ารถม้าของนางไว้ “ทำไม…ทำไมท่านไม่อยู่ในเมืองหลวง ท่านรู้ใช่ไหมว่าเมื่อไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก”
ท้องของหานจิ้งซูนูนออกมาจนเห็นได้ชัดแล้ว นางลูบท้อง แล้วตอบว่า “พ่อของลูกข้าไปที่ใด ข้าก็จะไปที่นั่น”
จวินฉางอันบอกว่า “ท่านอย่าไป! ถ้าท่านเป็นห่วงลูก ก็อยู่ที่นี่ ข้า…ข้าจะดูแลพวกท่านเอง!”
หานจิ้งซูยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณ ลาก่อน”
……
บาดแผลของอวี๋หวั่นสมานกันแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาจึงพาเธอกลับเมืองเยี่ยน
จวนเยี่ยนอ๋องยังคงเหมือนเดิม แม้แต่กระดานหมากรุกซึ่งวางอยู่บนโต๊ะในสวนดอกไม้ยังคงวางอยู่เช่นนั้น
ทุกคนรู้ว่าคุณชายกับฮูหยินน้อยจะกลับมาแล้ว จึงตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะพบฮูหยินน้อย แต่ฮูหยินน้อยกลับต้องนั่งบนรถเข็นหลายปี ขยับไม่ได้ราวกับเจ้าหญิงนิทรา
เมืองเยี่ยนสี่ฤดูดุจฤดูใบไม้ผลิ ยามที่เมืองหลวงมีหิมะหนาสองสามฉื่อ จวนเยี่ยนอ๋องกลับมีผีเสื้อหลากสีดอมดมมวลบุปผา
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นมานั่งที่เก้าอี้ในสวนดอกไม้
สายลมสงบนิ่ง แสงอาทิตย์สาดส่อง
อวี๋หวั่นสวมชุดสีฟ้าทะเลสาบ ร่างกายที่เคยอวบอ้วนเมื่อตั้งท้อง กลับผ่ายผอมเฉกเช่นครั้นพวกเขาพบกันครั้งแรก ชุดที่ใส่เมื่อเดือนที่แล้ว กลายเป็นหลวมโพรก
สายลมอ่อนพัดโชยมา พัดเส้นผมของอวี๋หวั่นจนหล่นลงมาบนปลายจมูกของเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉาปัดผมออก กอดอวี๋หวั่นเอาไว้ เขามองไปรอบๆ แล้วกระซิบข้างหูของเธอว่า “ที่นี่คือสถานที่ที่ข้าเติบโต เจ้าบอกว่าอยากมาเห็นไม่ใช่หรือ?”
เขาชี้ไปยังเรือนไม้ขนาดเล็กตรงหน้า “เห็นศาลานั่นไหม ด้านหลังศาลามีเรือนไม้อยู่หลังหนึ่ง เดิมทีเอาไว้เลี้ยงสุนัข ด้านในมีห้องของสุนัขอยู่หลายห้อง ตอนข้ายังเด็ก ไม่มีอะไรทำก็ปีนเข้าไปในเรือนนั้น…อืม…ใช่แล้วละ…ตอนนั้นข้าตัวเล็กนิดเดียว ถึงปีนเข้าไปได้…หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามหาข้า แต่ไม่เคยมีใครหาข้าพบ เจ้ารู้ไหมว่าทำไม ก็เพราะว่าพวกเขาไม่คิดว่าคุณชายเมืองเยี่ยนจะมาอยู่ในเรือนเลี้ยงสุนัขอย่างไรละ”
เยี่ยนจิ่วเฉายอมรับว่าเขาไม่ใช่คนพูดเก่ง
เขาพูดน้อยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัว ที่จริงอวี๋หวั่นก็พูดไม่เก่ง แต่ยามที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เธอก็มักจะสรรหาเรื่องต่างๆ มาคุยกับเขาเสมอ
ตอนนี้เธอพูดไม่ได้ เขาจึงพูดแทนเธอแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทัดไว้บนผมของเธอ เธอยังงดงามปานภาพเขียน ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันใด
“ในโลกของพวกเจ้าเป็นอย่างไร มีดอกไม้ที่งามเช่นนี้ไหม”
เยี่ยนจิ่วเฉาก้มหน้าลง จุมพิตลงบนข้างจอนผมของเธอ “เจ้ากลับไปแล้วหรือ? เที่ยวจนหนำใจแล้วอย่าลืมรีบกลับมาละ”
……
“อุแว้”
ฤดูหนาวผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้น เยี่ยนเสี่ยวซื่ออายุหกเดือนแล้ว
ว่ากันว่าเด็กอายุเจ็ดเดือนนั่งได้ แปดเดือนคลานได้ เด็กคนอื่นอายุเจ็ดแปดเดือนจึงจะคลานได้ ตอนนี้นางคลานได้แล้ว
นางอาศัยจังหวะที่แม่นมสัปหงก คลานเตาะแตะไปยังสวนดอกไม้ของจวนเยี่ยนอ๋อง แล้วเด็ดดอกโบตั๋นสีเหลืองที่สวยที่สุดมาหนึ่งดอก
ตั้งแต่อวี๋หวั่นเกิดเรื่อง เด็กทั้งสามก็รู้ความขึ้น ไม่เพียงไม่สร้างเรื่องไปทั่ว แต่ยังตั้งใจเรียนหนังสือมากขึ้น
ลุงวั่นคิดว่าเมื่อเด็กน้อยทั้งสามไม่เล่นซนอีก ดอกไม้ของเขาก็จะอยู่รอดปลอดภัย ดูแลแล้วดูแลเล่า แต่ไม่อาจดูแลให้พ้นมือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคาบดอกโบตั๋นไว้ในปาก แล้วคลานไปยังห้องของอวี๋หวั่นอย่างชำนาญทาง
นางปีนขึ้นไปบนเตียง มือเล็กจับดอกไม้ แล้ววางไว้ข้างหมอนของอวี๋หวั่น “อื้อๆ อื้อ”
ท่านแม่ ดอกไม้!
หลังจากมอบดอกไม้ให้ท่านแม่แล้ว นางก็พยุงตัวเองกับเตียง แล้วหอมแก้มท่านแม่ แต่นางยังทรงตัวได้ไม่ดี และหล่นลงมา
นางยังไม่หล่นลงบนพื้น เพราะทันใดนั้นเอง มือคู่หนึ่งก็รับนางไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นมา พลางมองไปยังดอกโบตั๋นสีเหลืองข้างหมอน แล้วถามด้วยความเอ็นดู “เอาดอกไม้มาให้ท่านแม่อีกแล้วหรือ”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อขยับแขนและขาไปมา “อื้อๆ อื้อๆ!”
ใช่แล้ว!
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “เหตุใดถึงเป็นสีเหลืองเล่า ชอบสีเหลืองถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าคิดว่าดอกไม้สีเหลืองจึงจะเป็นดอกไม้?”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “อื้อๆ อื้อๆ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาก็ฟังไม่ออกว่านางพูดว่าอย่างไร
เขาอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับไปยังห้องของนาง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อดิ้นอยู่สักพัก “อื้อๆ อื้อๆ!”
ให้ดอกไม้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้หอมแก้มท่านแม่เลย!
……
ตกกลางคืน จวนเยี่ยนอ๋องก็เงียบสงัดลง
เยี่ยนจิ่วเฉายกน้ำมาเช็ดหน้าให้อวี๋หวั่น ที่จริงใบหน้าของอวี๋หวั่นไม่ได้ดูซีดเผือดเฉกเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แต่จากคำพูดของโจวจิ่น วิญญาณของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้นอวี๋หวั่นจะไม่ตื่นไปชั่วชีวิต
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เชื่อ
เขาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่
เขาเชื่อว่าวันหนึ่งเธอจะฟื้นขึ้นมา
เธอจะกลับมา
“มีจดหมายมาจากเมืองหลวง ข้าจะอ่านให้เจ้าฟัง” เยี่ยนจิ่วเฉาวางผ้าลง อ่านจดหมายซึ่งคนส่งสาส์นเพิ่งนำมาส่ง มีทั้งหมดสองฉบับ ฉบับแรกมาจากหมู่บ้านเหลียนฮวา อีกฉบับหนึ่งมาจากเยี่ยนอ๋องซึ่งออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์พร้อมกับหลานชายทั้งสาม
“ในจดหมายบอกว่าอวี๋เฟิงกับไป๋ถังมีลูกแล้ว เป็นลูกชาย ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่ดีใจมาก แล้วก็ปีนี้มีการสอบเอินเคอใช่ไหมเล่า? อวี๋ซงจะเข้าร่วม เขาบอกว่าเขาจะสอบเป็นจ้วงหยวนให้ได้ เจ้ารู้ไหมว่าเอินเคอคืออะไร ปกติการสอบเคอจวี่จัดสามปีต่อครั้ง เอินเคอเป็นการสอบที่จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเฉิงอ๋องเป็นรัชทายาท ปกครองใต้หล้า จึงมีพระราชานุญาตให้จัดสอบเอินเคอขึ้น”
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดราวกับว่าเขาได้รวบรวมสิ่งที่ไม่ได้พูดมาทั้งชีวิต เพื่อมาพูดในระยะเวลาเพียงครึ่งปีนี้
“ยังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ท่านพ่อเขียนมา เจ้าอยากฟังไหม” เขามองอวี๋หวั่น
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นให้คำตอบเขาไม่ได้ เธอเป็นเพียงกายหยาบที่ไร้วิญญาณ
เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดจดหมาย เขาอ่านไปได้เพียงครึ่งเดียว เสียงก็เริ่มตะกุกตะกัก “…ต้าเป่าพูดแล้ว เขาเรียกท่านแม่ได้แล้ว…ละเมอก็ยังเรียก…เขาคิดถึงเจ้า…”
เยี่ยนจิ่วเฉากำจดหมายในมือแน่น ทั้งตัวของเขาสั่นเทิ้ม “อวี๋อาหวั่น…ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน…ข้าคิดถึงเจ้า…อวี๋อาหวั่นข้าคิดถึงเจ้า…”
หยดน้ำตาอุ่นไหลอาบสองข้างแก้มของเขา แล้วหยดลงบนหว่างคิ้วของอวี๋หวั่น
……
คืนหิมะตกหนัก
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ในห้องมืดไร้แสงตะเกียง แต่แสงสะท้อนจากหิมะเล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ในห้องจึงสว่างขึ้นเล็กน้อย
“คุณชาย ได้เวลากินข้าวแล้วขอรับ” ลุงวั่นยกกล่องอาหารเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ
หลังจากที่อวี๋หวั่นหมดสติไป เยี่ยนจิ่วเฉาก็เริ่มงดกินเนื้อสัตว์ เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เขาเริ่มกินเจและสวดมนต์เพื่ออวี๋หวั่น
หลังจากลุงวั่นวางอาหารง่ายๆ สองสามชนิดลงบนโต๊ะ ก็ค่อยออกไปจากห้อง
นี่เป็นอาหารที่พ่อครัวฝีมือดีทำ พิษไป๋หลี่เซียงถูกถอนออกไปแล้ว ความสามารถในการรับรสของเขากลับมาแล้ว แต่ทุกสิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉากินเข้าไปก็ยังคงไร้รสชาติสำหรับเขา
เขาวางตะเกียบลงเบาๆ ทันใดนั้นข้างห้องก็มีเสียงดังขึ้น เขาจึงลุกขึ้นเดินออกไป
เขาผลักประตูเข้าไปในห้องด้านข้าง และพบว่าจิ้งจอกหิมะซึ่งมีสัญลักษณ์คล้ายเปลวเพลิงตัวหนึ่งนอนอยู่บนเบาะรองนั่งของเขา มันกำลังกอดซาลาเปาไส้เนื้ออยู่!
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไป เขาสาวเท้าเดินไป แล้วแย่งซาลาเปาไส้เนื้อลูกนั้นมา
จิ้งจอกหิมะน้อยตกใจ มันจ้องมองเยี่ยนจิ่วเฉา
ทำอะไรน่ะ
เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าไปเอาซาลาเปานี่มาจากไหน”
จิ้งจอกหิมะน้อยหันหลัง
“จะบอกไม่บอก? ไม่บอกข้าจะตีให้ตาย!”
จิ้งจอกหิมะน้อยชี้ไปยังประตูอย่างไม่สบอารมณ์
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกไปท่ามกลางหิมะ มาถึงเรือนไม้ไผ่เล็กๆ หลังหนึ่งตามทิศทางที่จิ้งจอกหิมะน้อยบอก
ในห้องมีแสงตะเกียง มีไอร้อนลอยออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉารีบร้อนเดินเข้าไป
หน้าเตามีสตรีแปลกๆ คนหนึ่งยืนอยู่ ที่แปลกก็คือเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ เสื้อพอดีตัว เย็บติดกับกระโปรง เผยให้เห็นแขนและขาเรียวเล็ก และเท้าเปลือยเปล่าคู่หนึ่ง
เหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าเช่นนี้
เส้นผมของเธอรวบไว้เป็นหางม้าสูง เธอก้มหน้า คล้ายกับกำลังง่วนอยู่กับแป้งในมือ
ใบหน้าไม่คุ้นเคย แต่เยี่ยนจิ่วเฉามองปราดเดียวก็จำได้แล้ว
“อวี๋อาหวั่น…” เขาเดินเข้าไปหาอวี๋หวั่นด้วยท่าทางงุนงง
เธอร้อง ‘โอ้’ แล้วเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มที่คุ้นเคยวาดผ่านใบหน้าของสตรีแปลกหน้า “ท่านมาแล้ว อาหารเย็นอยากกินอะไร ซาลาเปาหรือว่าหมั่นโถว ข้าจะทำให้!”
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นเพียงอากาศ!
“อวี๋อาหวั่น!”
เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกตัว เขาตื่นจากความฝัน พยุงศีรษะซึ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อ และพบว่าตนเองอยู่ที่ห้องในจวนเยี่ยนอ๋อง เขาผล็อยหลับไปบนโต๊ะหนังสือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน
“คุณชาย ไม่เป็นไรใช่ไหม” ลุงวั่นซึ่งอยู่นอกห้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบพลางตั้งสติ
“ตอนเย็นท่านกินไปน้อย ห้องครัวทำอาหารว่าง ข้าจะยกเข้าไปให้ขอรับ” ลุงวั่นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้ากินไม่ลง” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“กินสักหน่อยเถิด หากท่านไม่นึกถึงร่างกายของตนเอง ก็นึกถึงคุณหนูเล็กสักหน่อยเถิด” ลุงวั่นพยายามชักจูง
เยี่ยนจิ่วเฉาเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบตกลง
ลุงวั่นยกกล่องใส่อาหารเข้ามา
เยี่ยนจิ่วเฉามองกล่องอาหารซึ่งปิดสนิท ไม่รู้ว่าทำไม เขาจึงนึกถึงความฝันของตนเอง ในใจของเขาภาวนาให้ลุงวั่นเปิดกล่องออกมาเป็นซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ไม่มีใครเกินลูกนั้น
วินาทีที่ลุงวั่นเปิดกล่องอาหาร เขาตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระดอนขึ้นมาอยู่ในลำคอ
แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง ไม่มีซาลาเปาไส้เนื้อ มีเพียงกับข้าวเจซึ่งทำอย่างพิถีพิถัน อาหารเหล่านี้พ่อครัวของจวนเยี่ยนอ๋องเป็นคนทำ
“ท่านออกไปก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยความผิดหวัง
“ขอรับ” ลุงวั่นออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบหน่อไม้แผ่นกิน
พ่อครัวจวนเยี่ยนอ๋องฝีมือดีกว่าพ่อครัวของวังหลวงเสียอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบกิน แต่เขาไม่มีอารมณ์จะกิน
ครั้งนี้ เขากลับตัวแข็งทื่อทันทีที่กินเข้าไปคำแรก
ทำไม…รสชาติแย่ขนาดนี้!
เขากำลังจะวางตะเกียบลง แต่กลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้นทันใด
แสงนวลของดวงจันทร์สาดส่องลงมา ถูกใบไม้บดบังจนเหลือเพียงเงาจางๆ
ในเงานั้นเอง ร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น มองมายังเขาด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของเธอยังคงซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ในดวงตากลับมีชีวิตชีวา ส่องประกายดังแสงดาว
“ไม่อร่อยหรือ?” เธอเลิกคิ้ว
“ใช่ รสชาติแย่เหลือเกิน” เยี่ยนจิ่วเฉายิ้มออกมา
………………………