หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 7.2 หมอเทวดา (2)
“เจ้า…” ชุยเฒ่าอ้าปากจะพูด
“ข้าทำไมหรือ” อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร”
ชุยเฒ่ารู้สึกว่าตนเองต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ เขาเกือบหลุดปากพูดออกไปแล้วว่า ‘เจ้าไม่ใช่อวี๋หวั่นจากหมู่บ้านเหลียนฮวา’ นางจะไม่ใช่อวี๋หวั่นได้อย่างไรกัน? ทั้งเสียงและท่าทางมิได้เปลี่ยนแปลง อีกทั้งไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนเจ้าบ้าเยี่ยนจิ่วเฉาที่ถูกวิชาคุมวิญญาณไปแล้ว ยังได้พลังของหลัวช่าวิญญาณมาอีก
ชุยเฒ่ารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เอาละ เจ้าเหนื่อยแล้ว วางของไว้เถอะ ข้าเก็บเอง”
งานเล็กน้อยอื่นๆ สามารถให้ผิงเอ๋อร์มารับช่วงต่อ แต่เรื่องยาและอุปกรณ์ผ่าตัด ทั้งสองต้องจัดการเอง แม้ว่าชุยเฒ่าจะพูดมากไปสักหน่อย แต่ความจริงแล้วเขาก็รักและเอ็นดูอวี๋หวั่น ไม่อยากให้คนท้องอย่างเธอต้องเหนื่อย
“เช่นนั้นข้าไปนอนก่อน ขอบคุณ!” อวี๋หวั่นไม่ได้เกรงอกเกรงใจชุยเฒ่า หากถามว่าเหนื่อยไหม เธอไม่ได้เหนื่อยจนทนไม่ได้ แต่เป็นเพราะคุกเข่านานเกินไปจนเท้าชา และเริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้ง
เธอเดินออกมาจากกระโจม
ผิงเอ๋อร์นั่งพิงกระเป๋าสัมภาระหลับไป ไม่ไกลออกไปมีกาน้ำใบเล็ก กำลังต้มน้ำอยู่
เยี่ยนจิ่วเฉายืนเงียบๆ อยู่ใต้แสงจันทร์ คอยดูแลอวี๋หวั่นและเด็กทั้งสาม
อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพราะมีอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันคอยตรวจตราอยู่ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ทันทีที่ออกมาเห็นเขา หัวใจของอวี๋หวั่นก็รู้สึกชอบเขายิ่งกว่าเดิม
อาจเป็นเพราะแรกเริ่มเดิมทีเธอชอบเขาก็เพราะใบหน้าของเขา ภายหลังจึงพบว่า…เธอชอบใบหน้าของเขาจริงๆ นั่นแหละ
ใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างของเขานั้นเป็นความลงตัวที่สวรรค์สรรสร้าง เมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์แล้วงามราวกับเทพเซียนไม่มีผิด!!!
อวี๋หวั่นเดินเข้าไป มือพลางจับหัวใจซึ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ “ท่านลืมที่ข้าบอกไปแล้วหรือ ว่าไม่ต้องรอข้า กลับกระโจมไปพักผ่อนก่อน”
“หึ!”
อวี๋หวั่นอดรู้สึกขบขันไม่ได้ เธอเดินเข้าไปยังกองไฟ หยิบไม้ขึ้นมาเขี่ยหัวมันซึ่งย่างจนหอม คีบด้วยไม้ท่อนเล็กสองท่อนเพื่อส่งให้เขา “สุกแล้ว ท่านไม่ต้องโมโหไป ข้าให้ผิงเอ๋อร์ย่างมันให้ท่านแล้ว ข้างในหวาน”
เธอรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบกินมันเทศรสจืดๆ
มันเทศนี้ใช้เวลาย่างนาน ผิวด้านนอกของมันไหม้แล้ว ผิวด้านในของมันมีรสชาติหวาน ระคนด้วยรสขมและเปรี้ยวน้อยๆ แต่ยิ่งกินยิ่งหวาน ใจกลางยิ่งหวาน ด้านในนุ่ม กินตั้งแต่ยังร้อนยิ่งอร่อย
เยี่ยนจิ่วเฉายังกินไม่รู้รส แต่เขาชอบกลิ่นหอมของมัน
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งกินมันอยู่ด้านหน้ากองไฟ ท่าทางจริงจังของเขาดูเหมือนกับเสี่ยวเป่าตัวใหญ่ไม่มีผิด
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างมีความสุข ส่วนเธอก็กินไปเล็กน้อย
ฤทธิ์ของยาชานั้นอยู่ได้ไม่นาน ยามที่อวี๋หวั่นเข้าไปดูเซียงเหลียนเป็นครั้งที่สอง นางกำลังสะลึมสะลือแล้ว
บริเวณปากแผลของนางจะเจ็บมากเมื่อขยับตัว นางไม่รู้ว่าตนเองฝันไปหรือเปล่า นางจึงขยับตัวตามสัญชาตญาณ “เจ้าอย่าเพิ่งขยับ ถึงแม้ปากแผลจะไม่ใหญ่ แต่อย่างไรเสียก็เป็นรอยเย็บ แผลอาจปริแตกได้”
เซียงเหลียนอ่อนแรง แต่นางก็สัมผัสได้ว่าอาการเจ็บปวดของนางลดลง นอกเหนือจากนั้นแล้ว ร่างกายของนางก็ไม่มีความปกติอื่นๆ
มิน่าเล่า…เป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ ด้วย นางช่วยตนไว้ ไม่ได้ลงโทษตนหรอกหรือ?
“ในเมื่อฟื้นแล้ว เจ้าก็ดื่มยาก่อนเถิด ดื่มยาแล้วจะรู้สึกดีขึ้น” อวี๋หวั่นป้อนยาเม็ดเข้าปากนาง และตักยาอีกช้อนหนึ่งป้อนนาง
นางไม่มีโอกาสให้ขัดขืน จะไม่กินก็คงไม่ได้เสียแล้ว ที่สำคัญก็คือความหวาดระแวงในใจของเซียงเหลียนนั้นไม่รุนแรงเฉกเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
“มียานี้ด้วย” อวี๋หวั่นหยิบยาเม็ดอีกชนิดหนึ่งให้นาง
เซียงเหลียนกินยาลงไปอย่างว่าง่าย
ขณะที่เซียงเหลียนคิดว่าอวี๋หวั่นกำลังจะเริ่มต้นสอบสวนนางนั้นเอง อวี๋หวั่นก็เก็บชามเปล่า แล้วเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา!
เซียงเหลียน “…”
ช่วยนาง ทั้งยังทำให้นางติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อเค้นข้อมูลจากนางหรอกหรือ?
นี่มัน…เป็นไปไม่ได้!
เซียงเหลียนคิดว่าเป็นไปได้มากที่อวี๋หวั่นจะหลอกให้นางตายใจ แต่เซียงเหลียนรอแล้วรอเล่า อวี๋หวั่นก็ไม่มา สุดท้ายแล้วก็เป็นผิงเอ๋อร์ที่คลานเข้ามาด้วยความง่วง
ผิงเอ๋อร์เหลือบมองเซียงเหลียน แล้วพูดกับนางว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วกระมัง? เจ้านอนเถอะ ข้าจะเฝ้าเจ้าเอง ข้าไม่หลับลึกหรอก มีอะไรเจ้าเรียกข้าได้”
ผิงเอ๋อร์บอกว่าจะหลับไม่ลึก แต่นางก็กรนเบาๆ ทันทีที่ศีรษะถึงหมอน
นางกรนจริงๆ!
เพราะฉะนั้น ผิงเอ๋อร์ไม่ใช่ยอดฝีมืออย่างแน่นอน นางเป็นเพียงสาวใช้ที่เหนื่อยล้าคนหนึ่ง!
เช่นนั้นพวกเขา…
เซียงเหลียนยังไม่เข้าใจ นางรอให้มีใครสักคนเข้ามาถามนาง รอจนคนในกระโจมอื่นล้วนแต่เข้านอนกันหมดแล้ว !
เซียงเหลียน “…”
อวี๋หวั่นให้เซียงเหลียนใช้ตัวยาที่ดีที่สุด ดังนั้นแผลของนางจึงดีขึ้นมากในวันรุ่งขึ้น
แม้ว่าเซียงเหลียนควรพักฟื้นอย่างสงบ แต่โดยรอบที่นี่ไม่มีหมู่บ้านหรือโรงเตี๊ยม ไม่มีที่ให้นางพัก ทั้งอากาศยังร้อนชื้น และยังมีแมลงมากมาย
พวกเขาจึงออกเดินทางต่อ
เซียงเหลียนยังคงรอให้มีใครมาสอบสวนตน
อวี๋หวั่นและชุยเฒ่ามาดูนางหลายครั้ง ทว่าพวกเขาเพียงแต่ตรวจอาการของนางและเปลี่ยนยาให้ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอื่น
แต่เซียงเหลียนเองกลับทนไม่ไหว
สรุปแล้วตัวตนของนางถูกเปิดเผยหรือยัง? พวกเขาช่วยนางทำไม ถ้าหากนางถูกเปิดเผยแล้ว พวกเขาจะทำเช่นนี้ไปทำไม ถ้าหากพวกเขายังไม่รู้ว่านางเป็นใคร ก็หมายความว่านางติดหนี้บุญคุณพวกเขา…
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ!”
ในครั้งที่สี่ที่อวี๋หวั่นจอดรถม้าเพื่อดูแผลให้นาง นางก็ทนไม่ไหวและเอ่ยปากขึ้นมา
“มีอะไรหรือ” อวี๋หวั่นถาม “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เซียงเหลียนสบตากับสายตาซึ่งปราศจากวี่แววของความเคลือบแคลงใจ ความหวาดระแวงเส้นสุดท้ายในใจของนางขาดลง ฮูหยินน้อยเป็นคนดี พวกเขาล้วนแต่เป็นคนดี พวกเขาไม่สงสัยนาง พวกเขามีใจคิดช่วยนางจริงๆ
ถ้าหากอวี๋หวั่นล่วงรู้ความคิดของนางเข้าละก็ คงจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า ‘เจ้าๆๆ …เจ้าคิดมากไปจริงๆ! ที่ช่วยเจ้าก็เพราะเจ้าเป็นสายลับที่ ‘ดี’ คนหนึ่ง เจ้าตายไป พวกข้าก็สืบสาวราวเรื่องไม่ได้น่ะสิ’
ส่วนเรื่องถามหรือไม่ถามข้อมูล เรื่องนี้จำเป็นด้วยหรือ? หลังจากที่เจ้าหายป่วยก็ต้องติดต่อกับผู้บงการอยู่แล้ว สะกดตามไปก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ? มิหนำซ้ำยังเชื่อถือได้มากกว่าคำพูดของเจ้าอีกด้วย!
เพราะฉะนั้นในตอนนี้ อวี๋หวั่นไม่ต้องการอะไรจากเซียงเหลียน และไม่คิดจะตั้งความหวังกับนางด้วย
เซียงเหลียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความรู้สึกผิด “ฮูหยินน้อย…ที่จริงแล้วข้า…ข้าโกหกท่าน! ข้าไม่ใช่คนเมืองเยี่ยน! และข้าไม่ได้จะขายตัวนำเงินไปทำศพพ่อ! ข้า…ในวันนั้นข้าตั้งใจ…ข้าจะทำให้ท่านติดกับ…”
อวี๋หวั่นรู้สึกสับสนเล็กน้อย แม่นาง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตนเองเป็นสายลับ? ความเป็นมืออาชีพของเจ้าอยู่ไหนกัน เปิดเผยตนเองอย่างนี้เลยหรือ?!
นางขลาดกลัว และรู้สึกซาบซึ้งง่ายเหลือเกิน ไม่เหมือนกับสายลับซึ่งได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี นางเหมือนกับสายลับระดับล่างสุดเสียมากกว่า โดยทั่วไปสายลับระดับนี้มักไม่ได้ติดต่อกับเจ้านาย หรือไม่ได้อยู่ในสายตาบุคคลระดับสูงกว่าด้วยซ้ำ
เช่นนั้นต่อให้พวกเขาสะกดรอยตามนางไป ก็ใช่ว่าจะจับได้ปลาตัวใหญ่ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าคำให้การของนางนั้นไม่ได้มีค่าเท่าไรนัก
อวี๋หวั่นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ทว่าในตอนนั้นเอง เซียงเหลียนก็ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ “พวกเขาปล่อยหนอนพิษใส่ข้า ทั้งยังให้ข้าปล่อยหนอนพิษอีกตัวใส่เยี่ยนซื่อจื่อ”
หนอนพิษ?
เยี่ยนซื่อจื่อ?
ประโยคนี้แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญ
หนอนพิษที่ใส่ในร่างของผู้ชายและผู้หญิง คงจะเป็นหนอนพิษเสน่หา นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องการให้เยี่ยนจิ่วเฉามีสัมพันธ์กับนาง
เยี่ยนจิ่วเฉาเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อได้ไม่นาน อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วยังเรียกตำแหน่งของเขาไม่ชินปาก ที่หนานจ้าว สกุลเห้อเหลียนก็เรียกเขาว่าคุณชายใหญ่ ส่วนคนนอกสกุลเห้อเหลียนเรียกเขาว่าพระสวามี ส่วนในเผ่าปีศาจ เขาก็คืออ๋องแห่งเผ่าปีศาจ ในหมิงตูและเผ่าพ่อมด พวกเขาล้วนรู้จักเยี่ยนจิ่วเฉาในฐานะคุณชายแห่งเมืองเยี่ยน
เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้มากว่า คนที่เรียกเขาว่าเยี่ยนซื่อจื่อนั้นเป็นคนเมืองหลวง
เยี่ยนจิ่วเฉาล่วงเกินคนในเมืองหลวงไว้ไม่น้อย แต่คนที่กล้าลงมือกับเขานั้นมีไม่มาก
อวี๋หวั่นคิดว่า เธอพอจะเดาได้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือใคร
……………..