หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 9.2 ปู่หลานพบหน้า (2)
ลุงวั่นเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดเรื่องท่านอ๋องกับคุณชาย ใช่สิ ท่านอ๋องกลับเมืองหลวงไปแล้ว”
อวี๋หวั่นยิ้ม “ข้าได้ยินจากลุงใหญ่แล้ว”
“ลุงใหญ่?” ลุงวั่นชะงักไป
อวี๋หวั่นเห็นสีหน้าของเขา ก็รู้ทันทีว่าเขาเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “อ่า ไม่ใช่ลุงใหญ่ในหมู่บ้านเหลียนฮวา แต่เป็นลุงใหญ่ที่จวนเห้อเหลียน”
ลุงวั่นเข้าใจในทันใด “ใช่แล้ว บ่าวเกือบลืมแสดงความยินดีกับฮูหยินน้อย”
ใครจะไปคิดกันเล่าว่าเด็กสาวจากชนบท จะมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ บิดาเป็นถึงผู้สืบสกุลของจวนเทพสงคราม มารดาเป็นตี้จีของราชวงศ์แห่งหนานจ้าว หลังจากนี้ เขาจะคอยดูว่าใครหน้าไหนจะกล้าครหาว่าฮูหยินน้อยไม่คู่ควรที่จะเป็นนายหญิงของจวนเยี่ยนอ๋อง
ที่อวี๋หวั่นให้อภัยลุงวั่น นอกจากเพราะความทุ่มเทที่ลุงวั่นมีให้เยี่ยนจิ่วเฉามาโดยตลอด ก็ยังเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมา ลุงวั่นไม่เคยดูถูกเด็กสาวจากชนบทอย่างเธอ ลุงวั่นเป็นคนที่ยินดียื่นมือออกมาช่วยเหลือยามที่เธอจมปลักอยู่ในดินโคลน
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากถามท่านเหมือนกัน” อวี๋หวั่นมองลุงวั่น
ลุงวั่นสบตาอวี๋หวั่น จะมีสิ่งใดที่เขาไม่เข้าใจ?
“ฮูหยินน้อยคงอยากถามเรื่องพระชายา?” ลุงวั่นเอ่ยขึ้น
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า “พระชายาคลอดลูกแล้วกระมัง?”
ลุงวั่นตอบว่า “คลอดแล้วขอรับ คลอดตอนเดือนเจ็ด เด็กตัวอ้วนจ้ำม่ำ แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก”
อวี๋หวั่นยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”
ทันใดนั้น อวี๋หวั่นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ รอยยิ้มของเธอหุบลง “ท่านพ่อเขา…”
ลุงวั่นก้มหน้าพลางถอนหายใจ “ท่านอ๋องไม่ค่อยดีเท่าไร”
พระชายาคลอดลูกลำบาก ในตอนนั้นท่านอ๋องถึงเมืองหลวงแล้ว อันที่จริงเขาก็บอกไม่ได้ว่าที่ท่านอ๋องรีบร้อนเดินทางไปยังเมืองหลวงเช่นนั้น เพื่อตามหาตัวยาสมุนไพรให้คุณชาย หรือเพื่อไปปกป้องดูแลพระชายากันแน่ พระชายาใช้เวลาสามวันสามคืนกว่าจะคลอดออกมาได้ ท่านอ๋องไม่กินไม่นอน เขาส่งหมอที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองเยี่ยนไปยังจวนสกุลเซียว
เยี่ยนอ๋องไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนส่งไป เขาไหว้วานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจัดการ
สุดท้ายพระชายาก็ให้กำเนิดทารกออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อข่าวดีมาถึง สีหน้าหนักใจของเยี่ยนอ๋องจึงผ่อนคลายลง แต่เขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน
เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือตลอดทั้งคืน
ลุงวั่นอยู่ในเมืองเยี่ยน เรื่องที่เยี่ยนอ๋องเฟ้นหาหมอฝีมือดีนั้นเขาย่อมรู้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ล้วนมาจากข่าวที่คนจากจวนคุณชายส่งมา ทว่าต่อให้เขาไม่ได้เห็นด้วยตนเอง เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความทุกข์ในใจของท่านอ๋อง
เขายังคงเป็นเยี่ยนอ๋องคนเดิม แต่พระชายากลับไม่ใช่พระชายาแล้ว
ลุงวั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ “ท่านอ๋องเขา…เสียใจมาก”
……
กลางเดือนเก้า กองทัพเรือก็เดินทางเข้าใกล้เมืองหลวง ที่นี่มีท่าเรือใหม่ อันที่จริงที่นี่ใกล้กับตำบลเหลียนฮวามากกว่า แต่อวี๋หวั่นตัดสินใจไปยังจวนคุณชายพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉาและเด็กทั้งสาม
ดอกกุ้ยฮวาสี่ฤดูในจวนคุณชายเริ่มผลิบานแล้ว เยี่ยนอ๋องกำลังนั่งวาดภาพอยู่ในห้องหนังสือ สตรีในภาพวาดของเขาสวมอาภรณ์สีแดง คิ้วโก่งงาม ในอ้อมอกมีทารกเพศชายแก้มแดงระเรื่อ ทารกกำลังหลับ สตรีคนนั้นมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ราวกับในดวงตานั้นมีแสงดาวสุกสกาว
ยามที่กำลังจะตวัดปลายพู่กันครั้งสุดท้าย สายตาของเยี่ยนอ๋องก็หยุดลง
มือของเขาหยุดชะงัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจขีดเส้นสุดท้ายได้
เขากำด้ามพู่กันแน่น ร่างของเขาสั่นเทิ้ม อาจเป็นเพราะเขาออกแรงมากเกินไป
แผละ
น้ำหมึกหยดลงบนรองเท้าคู่ขาวสะอาดของสตรีในภาพ
รอยยิ้มของนางสดใสดังมวลบุปผา ทว่ารอยน้ำหมึกได้สร้างมลทินให้ภาพวาดนี้แล้ว
แรงของเขาคล้ายกับอันตรธานหายไป เยี่ยนอ๋องวางพู่กันลงด้วยความเหนื่อยล้า มือทั้งสองข้างพยุงตนเองกับโต๊ะ พยายามกดความรู้สึกที่ถาโถมอยู่ในใจ ไม่เผยให้ผู้ใดเห็น
นี่เคยเป็นจวนของเขา ดอกไม้ทุกดอก หญ้าทุกต้น อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่นได้รับการซ่อมแซมเป็นอย่างดี มันถูกบำรุงรักษาและเก็บมากว่ายี่สิบปี ในชีวิตของคนเรา สิ่งที่รักษาไว้ยากที่สุดก็คือคน
เป็นเพราะเคยพบกับแสงสว่าง จึงไม่อาจทนต่อความมืดมนได้ เคยมีคู่ครองที่ดีที่สุด เมื่อเหลือตัวคนเดียวจึงไม่อาจทนความโดดเดี่ยว
ตึง!
ทันใดนั้นในเรือนก็มีเสียงดังผิดปกติ เยี่ยนอ๋องคิดว่าบ่าวทำเสียงดัง จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ
ประตูห้องหนังสือปิดอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดเข้ามา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลว่าจะมีคนเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเขา
เพียงแต่ว่า เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จาก ‘ตึงๆๆ’ กลายเป็น ‘แตะๆๆ’ ราวกับเสียงของฝีเท้าเด็ก
ตึง!
ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงของประตูห้องหนังสือถูกชน
โทสะของเยี่ยนอ๋องเริ่มไม่สงบ ครั้นอยู่ในหนานจ้าว ผู้ที่เกรงกลัวเขา ก็คือขุนนางซึ่งเกรงกลัววิธีการของเขา แต่สำหรับบ่าวนั้น เขามิได้น่ากลัว ทว่าหลายวันมานี้สภาวะอารมณ์ของเขาผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
เขาขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะออกไปไล่ตะเพิดแขกไม่ได้รับเชิญออกไป เด็กทั้งสามคนก็กลิ้งขลุกๆ เข้ามา
“ไอ้หยา! เสี่ยวเป่าเจ้าเบียดข้าทำไม!”
“ต้าเป่าผลักข้าต่างหาก!”
ต้าเป่าตัดสินใจหลบหลีกน้องชายทั้งสอง วิ่งเตาะแตะอ้อมโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วโผเข้าหาอ้อมกอดของเยี่ยนอ๋อง!
อ้อมกอดถูกเติมเต็มด้วยก้อนกลม เยี่ยนอ๋องตื่นตะลึงไปชั่วขณะ คิ้วขมวดของเขาค่อยๆ คลายลง ไม่นานเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าก็ลุกขึ้น ขาสั้นๆ ของพวกเขาวิ่งตามมากอดด้วยเช่นกัน
ทั้งสามคนตัวอ้วนกลม เขาแทบโอบไม่ได้ ใบหน้าของพวกเขาแนบชิดกัน แก้มอวบอ้วนเบียดกันจนเป็นก้อน ต่างคนต่างพยายามกอดเยี่ยนอ๋อง
เยี่ยนอ๋องไม่เพียงรู้สึกว่าอ้อมกอดของเขาถูกเติมเต็ม แต่หัวใจอันว่างเปล่าของเขาก็คล้ายกับจะมีความอบอุ่นและอ่อนโยนแทรกซึมเข้ามาเช่นกัน
เขาไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไป
อย่างน้อยก็ไม่เศร้าเหมือนแต่ก่อน
“ท่านปู่!”
“ท่านปู่!”
เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าเรียกเขา
เขาก้มหน้ามองเด็กสามคนซึ่งเบียดเสียดกันอยู่ในอ้อมกอด พวกเขาเหงื่อออก เนื้ออวบอ้วนกระเพื่อมไปมา
ในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏบนในหน้าซึ่งหลายเดือนมานี้มีเพียงความหดหู่ เขาลูบศีรษะโล้นของเด็กทั้งสาม แล้วพูดเบาๆ ว่า “เป็นต้าเป่า เอ้อร์เป่า แล้วก็เสี่ยวเป่าเองหรือ”
“ทำไมไม่เป็นเสี่ยวเป่า ต้าเป่า แล้วก็เอ้อร์เป่าละขอรับ” เสี่ยวเป่าอยากเป็นคนที่หนึ่ง!
“เป็นเอ้อร์เป่า ต้าเป่า แล้วก็เสี่ยวเป่าต่างหาก!” เอ้อร์เป่าไม่ยอม ช่วงนี้ทั้งสองคนมีโต้เถียงกันบ่อยครั้ง ไม่มีใครยอมใคร
ต้าเป่ามองเยี่ยนอ๋องด้วยสีหน้าบ้องแบ๊ว
ปล่อยให้น้องชายทั้งสองทะเลาะกันไป เขาอยู่เงียบๆ อย่างว่าง่าย จะได้คำชมจากเยี่ยนอ๋อง
เยี่ยนอ๋องยิ้ม “พวกเจ้าอย่าเถียงกัน ดูพี่ชายพวกเจ้า เขารู้ความกว่าอีก”
เสี่ยวเป่ากอดอก “เพราะเขาไม่พูดต่างหากขอรับ! ย่อมไม่เถียงกับใครอยู่แล้ว!”
เอ้อร์เป่ากอดอก “ใช่แล้วขอรับ!”
เด็กสองคนซึ่งเมื่อครู่เถียงกันเอาเป็นเอาตาย บัดนี้กลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย!
เยี่ยนอ๋องรู้สึกขบขันกับท่าทางของเด็กทั้งสาม เขารู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งไปมาก เขาจับเด็กน้อยทั้งสามไว้ ไม่อยากปล่อยไป แต่ว่าจากปฏิกิริยาของต้าเป่ายามที่เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าพูดนั้น เขาได้ข้อมูลอย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้าเป่ายังไม่พูด
ฝาแฝดสามคนนี้มักทำอะไรคล้ายๆ กัน หากคนหนึ่งไม่พูด อีกสองคนก็ไม่พูด นั่นก็ไม่น่าแปลกเท่าไร แต่สองคนพูดแล้ว เหลือเพียงต้าเป่าที่ยังไม่ยอมพูด เยี่ยนอ๋องอดรู้สึกกังวลไม่ได้
เขาเป็นอะไรไป
“ต้าเป่า ส่งกระบอกใส่พู่กันให้ข้าหน่อย” เยี่ยนอ๋องบอก
ต้าเป่าเดินเตาะแตะมา มืออวบอ้วนส่งกระบอกใส่พู่กันให้เขา
หูของเขาไม่มีปัญหาอะไร ทั้งยังเฉลียวฉลาด หรือว่าจะมีปัญหาที่คอ?
“อื้อ! อื้อ!”
ทันใดนั้นต้าเป่าก็กดก้นของตัวเองไว้
“จะอึเหม็นๆ!” เสี่ยวเป่าพูดแทนต้าเป่า
เอ้อร์เป่าก็กดก้นของตนไว้เช่นกัน “ข้าก็เหมือนกัน!”
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าก็เหมือนกัน!”
“จะไปปปปปปปปป! ไม่ไหวแล้วๆๆ!” เอ้อร์เป่ากระโดดอยู่กับที่
เยี่ยนอ๋องแยกไม่ออกว่าพวกเขาทนไม่ไหวจริงหรือว่าแกล้ง สรุปแล้วพวกเขาจะทำสิ่งใด ก็มักจะทำพร้อมกัน
“ได้ๆๆ ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะพาไปเดี๋ยวนี้” เยี่ยนอ๋องพาเด็กทั้งสามไปยังห้องน้ำซึ่งมีชักโครกซึ่งทำเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ
ระหว่างทาง เยี่ยนอ๋องอดคิดไม่ได้ว่าต้าเป่าส่งเสียง ‘อื้อๆ’ ได้ แสดงว่าคอของเขาก็ไม่มีปัญหา หรือว่าต้าเป่าไม่อยากพูดเอง?
เยี่ยนอ๋องเป็นห่วงเรื่องต้าเป่า จนเรื่องของซั่งกวนเยี่ยนค่อยๆ หายไปจากความคิดของเขา เขาไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเรื่องใด หรือรู้สึกริษยาเซียวเจิ้นถิงอีก ในหัวใจของเขาตอนนี้…ถูกเด็กทั้งสามเติมเต็มแล้ว
……………………..