หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 1 เยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้าเรียนแล้ว!
เมืองหลวงในเดือนห้า มวลบุปผาบานสะพรั่ง จวนคุณชายอยู่ท่ามกลางแสงสีทองอร่าม
อันที่จริงจวนผู้สำเร็จราชการนั้นสร้างเสร็จแล้ว ทั้งหรูหราและใหญ่โต น่าเสียดายที่เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นชอบสถานที่เดิมๆ มากกว่า หลังจากกลับมาเมืองหลวง พวกเขาก็อาศัยอยู่ในจวนคุณชาย อยู่ในห้องหอของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งแต่งงานกันเมื่อวาน
เด็กทั้งสามตื่นนอนแต่เช้า
พวกเขาสี่ขวบแล้ว ถึงวัยเข้าเรียน แม้ว่าในจวนคุณชายจะมีหลายสิ่งให้เรียนรู้ แต่เยี่ยนอ๋องก็ยังยืนกรานจะพาพวกเขาออกเดินทางไปเรียนรู้ข้างนอก เพื่อเปิดหูเปิดตา หลังจากที่การเดินทางครั้งแรกสิ้นสุดลง พวกเขาก็เข้าเรียนในชั้นเรียนสำหรับเด็กในสำนักบัณฑิต
ชั้นเรียนสำหรับเด็กเริ่มสอนเด็กตั้งแต่อายุสองขวบ แต่ก็ไม่มีเด็กคนใดอายุน้อยกว่าทั้งสาม
เด็กทั้งสามสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย ก็ไปหาท่านพ่อท่านแม่ด้วยความตื่นเต้น
ทุกวันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตื่นเช้าแล้ว ต่อให้เขาตื่นเช้า ก็ไม่ได้นั่งรออวี๋หวั่นในห้องเหมือนเมื่อก่อน เขาสวมกอดอวี๋หวั่นจากด้านหลัง วางคางไว้บนไหล่นุ่มของเธอ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก
อวี๋หวั่นหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ
เด็กทั้งสามเข้ามาในห้องเป็นปกติเฉกเช่นเมื่อก่อน เพื่อหอมแก้มท่านแม่ เสี่ยวเป่าหอมก่อน ตามมาด้วยเอ้อร์เป่า ท่านพ่อไม่ต้องหอม เด็กทั้งสองหอมแก้มอวี๋หวั่นเสร็จแล้วก็ออกไป ต้าเป่าเป็นคนสุดท้าย
ขณะที่ต้าเป่ากำลังจะหอมอวี๋หวั่นนั้นเอง เธอก็ลืมตาขึ้น
ต้าเป่าเขินจนหน้าแดงก่ำ
อวี๋หวั่นจับมืออวบอ้วนของต้าเป่า แล้วหรี่ตาเล็กน้อย “เรียกแม่ก่อน”
ต้าเป่าเขินอาย ไม่ยอมเรียก
ต้าเป่าละเมอเรียกอวี๋หวั่น หลังจากนั้น เขาก็ไม่ยอมพูดอีก ถ้าหากไม่รู้จักนิสัยของเยี่ยนอ๋อง อวี๋หวั่นคงคิดว่าเยี่ยนอ๋องหลอกเธอเล่นแล้ว
ต้าเป่าเขินจนหนีออกไป
ไม่ทันไรเขาก็หันกลับมา
เขายกพู่กันขึ้นมา ค่อยๆ เขียนทีละตัวอักษรว่า ‘ข้าเรียกท่านแม่ ท่านแม่จะให้ข้านอนด้วยไหม’
อวี๋หวั่นยังไม่ทันตอบ เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งแสร้งว่าหลับก็ลืมตาโพลงในทันใด เขาดึงอวี๋หวั่นเข้ามาในอ้อมกอด แล้วถลึงตาใส่ลูกชาย “ไม่ได้!”
ต้าเป่าเดินออกไปด้วยสีหน้าถมึงทึง
เด็กทั้งสามกินอาหารเช้าเสร็จก็เตรียมตัวขึ้นรถม้าไปเรียนอย่างว่าง่าย ก่อนเดินออกไป พวกเขาแอบเข้าไปในห้องของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ คนหนึ่งดึงความสนใจของสาวใช้ อีกคนดึงความสนใจของแม่นม ส่วนอีกคนก็อุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อ แล้วจับน้องเล็กใส่ลงไปในกระเป๋าที่ท่านแม่เย็บให้กับมือ
เด็กทั้งสามจะแบกเยี่ยนเสี่ยวซื่ออายุแปดเดือนไปเรียนหนังสือด้วย!
ปีนี้เมืองหลวงหนาวกว่าปีที่แล้ว เดือนห้าแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววของฤดูร้อน เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงสวมเสื้อผ้าหนาเพื่อให้ความอบอุ่น
นางนั่งอยู่ในกระเป๋าหนังสืออย่างว่าง่าย จนต้าเป่าแบกนางลงจากรถม้า
นางเปิดฝากระเป๋าออก แล้วโผล่ศีรษะออกมา
ลุงวั่นคล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงหันมามองเด็กทั้งสาม
เอ้อร์เป่ารีบปิดกระเป๋า
ลุงวั่นเกาศีรษะ แล้วขึ้นรถม้ากลับจวนไปด้วยความแปลกใจ
สำนักบัณฑิตแบ่งสัดส่วนของชั้นเรียนสำหรับเด็กและชั้นเรียนอื่นๆ เช่นก่วงเหวินถังไว้อย่างชัดเจน เพียงเดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะเห็นเพียงนักเรียนจากชั้นเรียนสำหรับเด็ก
เดิมทีชั้นเรียนสำหรับเด็กไม่ได้มีเด็กมากมายเช่นนี้ แต่ต้าโจวกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันไม่ใช่หรือ? ซิวหลัวฟันน้ำนมก็พาพรรคพวกไปสังหารคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ยังไม่พอ ยังไล่ตามไปถึงเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนั้นเผ่าพ่อมดและหนานจ้าวก็บุกไปทวงคืนความยุติธรรมให้อวี๋หวั่นเช่นกัน
เผ่าศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีจากหลายกลุ่มพร้อมกันได้ สุดท้ายเผ่าศักดิ์สิทธิ์ต้องยอมจำนน เผ่าศักดิ์สิทธิ์และต้าโจวทำสัญญาซึ่งไม่ยุติธรรมฉบับหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงสงบลงได้
ต้าโจวอนุญาตให้คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกส่งมา ตามหาทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อได้ แต่เมื่อตามหาพบแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นของต้าโจว ทว่าคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเข้ามาพำนักในต้าโจวได้
ลูกหลานของคนที่ถูกส่งมาเหล่านั้นเข้าเรียนในชั้นเรียนสำหรับเด็กของสำนักบัณฑิต
ในตอนนั้นเหลือเวลาเพียงครึ่งถ้วยชาก่อนจะถึงเวลาเรียน นักเรียนในชั้นเรียนสำหรับเด็กไม่ได้นั่งเรียนอย่างว่าง่ายอย่างนักเรียนของก่วงเหวินถังหรือจงอี้ถัง พวกเขามักจะออกไปวิ่งเล่นอยู่บริเวณนั้น
เด็กชาวเมืองหลวงและเด็กจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ด้วยกันที่ภูเขาจำลอง เปรียบเทียบสิ่งที่ตนเองนำมาจากบ้าน
“นี่เป็นแมวที่พ่อข้าซื้อมาจากดินแดนปัวซือ[1]!” เด็กอ้วนอายุประมาณแปดขวบหยิบแมวสีขาวสวยตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนังสือ
“ไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่แมวตัวหนึ่ง! ข้ามีเอ๋าเฉวี่ยน[2]!” คุณชายอายุเก้าขวบคนหนึ่งอุ้มลูกเอ๋าเฉวี่ยนซึ่งเพิ่งคลอดได้ไม่นานออกมาจากกระเป๋า เอ๋าเฉวี่ยนเป็นสัตว์ดุร้าย ว่ากันว่าทันทีที่คลอดออกมาก็จะถูกแม่ทอดทิ้งให้อยู่ในถ้ำ พวกมันจะฆ่ากันเอง เพียงตัวเดียวที่เหลือรอดจึงนับว่าเป็นเอ๋าเฉวี่ยนที่แท้จริง
แต่ว่า เอ๋าเฉวี่ยนที่คุณชายอายุเก้าขวบคนนี้นำมาด้วยนั้นไม่ใช่เอ๋าเฉวี่ยนที่ดุร้ายที่สุด ความจริงแล้วเอ๋าเฉวี่ยนคลอดลูกมาเป็นครอก ตัวนี้เป็นตัวที่ใจดีที่สุด
“หึ พี่ชายข้าขึ้นไปล่าไห่ตงชิง[3]บนเขามาได้ตั้งหลายตัว! เขาให้ข้ามาตัวหนึ่งด้วยละ!” ตรงข้ามพวกเขาทั้งสอง คุณชายอายุสิบขวบคนหนึ่งหยิบกรงเหล็กออกมา ในกรงเหล็กนั้นมีลูกนกเหยี่ยวดุร้ายตัวหนึ่ง
ทุกคนล้วนแต่อิจฉาเขา
ลูกนกเหยี่ยวก็เป็นนกเหยี่ยวนะ สง่างามเหมือนกันนั่นแหละ!
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าคุณชายอายุสิบขวบ ไม่ว่าจะเป็นแมวอ้วนสีขาวหรือเอ๋าเฉวี่ยนใจดี ก็ไม่เท่เท่าไห่ตงชิงหรอก
“เยี่ยนต้าเป่า เจ้านำสิ่งใดมา” คุณชายอายุสิบขวบเลิกคิ้วมองไปยังแฝดสาม
เด็กทั้งสามเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งอยู่ในกระเป๋าออกมา
เสี่ยวเป่า “พวกข้านำน้องสาวมา!”
แมวปัวซือ “…”
เอ๋าเฉวี่ยนน้อย “…”
คุณชายทั้งหลาย “…”
ที่ทุกคนนำสัตว์มาจากบ้านมิใช่ไม่มีเหตุผล วันนี้ชั้นเรียนสำหรับเด็กมีวิชาฝึกสัตว์ ชั้นเรียนสำหรับเด็กในต้าโจวไม่มีวิชาเช่นนี้ แต่ในเมื่อมีคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาเรียนด้วย ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องสร้างสัมพันธ์กันไว้ไม่ใช่หรือ? เด็กๆ จากเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาเรียนในต้าโจว เพราะฉะนั้นยามที่นักเรียนในชั้นแลกเปลี่ยนความคิดกัน เด็กๆ จากเผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงเสนอวิชาของเผ่าตนเองด้วยความภาคภูมิใจ ยกตัวอย่างเช่น…วิชาฝึกสัตว์
หลังจากที่พวกเขาเห็นว่ากองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเพียงใด ต้าโจวจึงไม่ได้ทระนงตนจนคิดว่าการเรียนรู้วัฒนธรรมจากอีกฝ่ายนั้นไร้ความสำคัญ ต้าโจวชนะสงครามก็จริง แต่พวกเขาสู้ศึกอยู่ฝ่ายเดียวซะที่ไหน ถ้าหากไม่มีหงส์ดำและเยี่ยนจิ่วเฉาที่วรยุทธ์ล้ำเลิศ ไม่มีกองทัพซิวหลัว ไม่มีทหารหนึ่งแสนคนจากหนานจ้าว พวกเขาจะชนะได้จริงหรือ?
เผ่าศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเช่นนี้ ย่อมมีสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ได้
อาจารย์สอนวิชาฝึกสัตว์เป็นคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ที่พวกเขาใช้นั้นนำมาจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าอสูรของเผ่าศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด อาจารย์สอนวิชาฝึกสัตว์จะให้ยอดฝีมือของต้าโจวต่อสู้กับสัตว์ของพวกเขา
แน่นอนว่า นั่นไม่ได้จำกัดเพียงยอดฝีมือ ถ้าหากต้าโจวยินยอม ก็สามารถส่งสัตว์ที่ตนเองคิดว่าแข็งแกร่งที่สุดออกมาได้เช่นกัน
“ใช่ว่าข้าอยากจะโอ้อวด แต่แมวของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้าเก่งกว่าเสือของต้าโจวเสียอีก!” ในลานประลอง อาจารย์สอนฝึกสัตว์เผ่าศักดิ์สิทธิ์พูดกับองครักษ์และอาจารย์ชาวต้าโจว
ทุกคนมองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้ ก็เห็นแมวตัวหนึ่งอยู่ในกรง แต่นั่นไม่ใช่แมวธรรมดา หากแต่เป็นแมวดาวซึ่งอยู่ในป่า แมวดาวป่าจะดุร้ายตามสัญชาตญาณ แมวดาวตัวนั้นไม่ธรรมดา เกรงว่าราชาพยัคฆ์ของต้าโจวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
หากมีเพียงแมวดาวก็ว่าไปอย่าง แต่ด้านข้างยังมีเสือดาวและหมีดำของเผ่าศักดิ์สิทธิ์อีก
หมีดำตัวนั้นตัวใหญ่และกำยำ ร่างของมันมีกลิ่นอายที่มิได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่ายอดฝีมือเลย ฝูงชนสงสัยว่าถ้าหากยอดฝีมืออย่างเซียวเจิ้นถิงมาที่นี่ เขาจะได้เปรียบหมีดำของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มากแค่ไหน
แต่ว่าพวกเขาก็ไม่อาจเรียกแม่ทัพใหญ่เซียวเจิ้นถิงมาสู้กับหมีดำตัวนี้ได้!
ในเมื่อเป็นชั้นเรียนของสำนักบัณฑิต เช่นนั้นการประลองครั้งนี้ก็ต้องใช้คนของสำนักบัณฑิต
สำนักบัณฑิตเป็นสถานที่บ่มเพาะจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมีดำ
ทุกคนก่นด่าในใจ จำเป็นต้องมีชั้นเรียนประเภทนี้จริงๆ หรือ? ทำให้ต้าโจวขายหน้าชัดๆ
ถ้าหากคนล่วงรู้ออกไปว่าจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ต่อกรกับหมีดำตัวหนึ่งไม่ได้ เหอะๆๆ…
ผู้คนที่มามุงดูการประลองในครั้งนี้ นอกจากนักเรียนจากชั้นเรียนสำหรับเด็กแล้ว ยังมีบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตอีกด้วย
สัตว์ที่ลงสนามมาเป็นตัวแรกคือแมวดาว มันโจมตีเสือของต้าโจวจนพ่ายแพ้ไปถึงสามตัวรวด คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์จึงรู้สึกลำพองใจขึ้นมา ต้าโจวมีอะไรน่ากลัว? ที่เอาชนะพวกเขาได้ก็แค่เพราะโชคกับความช่วยเหลือจากดินแดนอื่น
เมื่อวัดกันจากพลังแล้ว ต่อให้เป็นหนูของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังเขมือบแมวของต้าโจวได้!
วิชาฝึกสัตว์ของชั้นเรียนสำหรับเด็กจัดขึ้นช่วงบ่าย ช่วงเช้าทุกคนนั่งฟังอาจารย์บรรยายอยู่ในห้อง
อาจารย์กำลังสอนสนุก จนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคลานออกไปจากห้องเรียน
เยี่ยนเสี่ยวซื่อรักสวยรักงาม เสื้อผ้าของนาง อวี๋หวั่นเป็นคนทำให้กับมือ เป็นชุดเสื้อและกางเกงต่อกัน สีขาวสะอาด เป็นปุยนุ่ม หมวกของนางมีเขาแกะเล็กๆ สีชมพูและโบว์ประดับไว้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานเตาะแตะเข้าไปในลานประลอง
หลังจากที่เสือตัวที่สี่ถูกแมวดาวจัดการจนสลบเหมือดไป ก็ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าเข้าไปประลองอีก
ขณะที่คนต้าโจวไม่มีหน้าจะดูการประลองต่อไป ก็มีเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งสวมชุดแกะคลานเข้าไปกลางลานประลอง
……………………………..