หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 10 เยี่ยนเสี่ยวซื่อน้ำลายสอ
‘อ่อนหัด’
ต้าเป่าเขียน
ชายชราตกใจ เจ้าเด็กบ้าอธิบายมาเดี๋ยวนี้นะ อ่อนหัดหมายความว่าอย่างไรกัน
ต้าเป่าไม่ใส่ใจเขา แต่ชายชรามองเห็นประโยคหนึ่งจากสายตาของต้าเป่าว่า ‘แค่เก็บผลไม้ก็ยังถูกจับได้ ท่านทำประโยชน์อะไรได้บ้าง’
ในใจของชายชราร้อนระอุ ราวกับกินดินปืนเข้าไป ไม่ใช่พวกเจ้าหรอกหรือที่อยากกินผลไม้ที่ไม่ควรกิน ไฉนอยู่ๆ ก็กลายเป็นความผิดของข้าเสียแล้วเล่า
ต้าเป่าเก็บปากกาและกระดาษ ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับใครบางคนอีก
ชายชราเห็นว่าต้าเป่ายอมแพ้แล้ว จึงดึงแขนเสื้อ แค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วกล่าวว่า “รู้แล้วกระมังว่าตัวเองผิด สำนึกผิดแล้วใช่ไหมว่าไม่ควรทำตั้งแต่แรก!”
ต้าเป่าชะงักไป เขาหยิบกระดาษกับปากกาออกมา แล้วเขียนว่า ‘เปรียบเทียบกับผู้สูงส่ง ไม่เปรียบเทียบกับคนโง่เขลา’
ชายชรา “…!! ”
หลังจากนั้น ต้าเป่าก็ไม่สนใจเขาอีก
ชายชรายังพูดต่ออีกสองสามประโยค ต้าเป่าทำท่าราวกับไม่ได้ยินเขา คุกจึงเงียบสงัดลง
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าลูกแกะซึ่งกำลังหลับใหล เด็กทั้งสามยังตื่นอยู่ แต่เมื่อถูกจับแล้วก็ยังไม่ร้องไห้งอแง นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
ทำไมถึงสุขุมเช่นนี้
พวกเขาเคยผ่านอะไรมาบ้างนะ
เด็กทั้งสามผ่านเรื่องราวมามากมาย พวกเขาไม่ใช่เด็กเล็กที่ร้องไห้ยามได้ยินเสียงฟ้าร้องอีกต่อไป พวกเขามีน้องสาว พวกเขาเป็นพี่ชายแล้ว พวกเขาไม่อาจขลาดกลัว พวกเขาต้องปกป้องน้องสาว!
ชายชราคล้ายกับจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำก่อนหน้านี้ ตอนที่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์บินออกมา เด็กทั้งสามก็ยังคงเยือกเย็น เรียกง่ายๆ ว่ายิ่งเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวมากเท่าไร เด็กทั้งสามคนก็ยิ่งเยือกเย็นมากเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะตนเองโมโหพวกเขาจนแทบบ้า ชายชราก็อยากจะเอ่ยชมพวกเขาสักหน่อย เป็นเด็กที่เก่งจริๆ
เสียงของทหารลาดตระเวนดังมาจากหน้าประตูคุก ต้าเป่าจับเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งอยู่ในกระเป๋าหนังสือมากอดไว้ เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่านั่งอยู่คนละด้านของต้าเป่า ซบศีรษะของตนลงบนไหล่ของเขา
ในตอนนี้มีทหารเฝ้าอยู่แน่นหนา ไม่ใช่โอกาสที่เป็นใจแก่การหลบหนี
เด็กทั้งสามหลับตาลง แล้วหลับไป
ชายชราถอนหายใจอย่างอ่อนแรง นี่มันใช่เวลามานอนไหม? ใจกล้ากันเหลือเกิน!
ทว่าเมื่อมาคิดดูแล้ว ดึกเช่นนี้ ทั้งยังเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เด็กที่ไหนจะทนไหว
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชายชราเชื่อว่าพวกเขาเป็นเด็ก เด็กต้องพักผ่อนให้มาก นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก!
ส่วนชายชรากลับไม่อาจข่มตานอนได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาคอยระแวดระวังการเคลื่อนไหวรอบตัว แม้จะบอกว่าพวกเขาได้กลายเป็นปลาบนเขียงไปแล้ว แต่หากยังไม่ถึงที่สุด ใครเล่าจะยอมรับชะตากรรมเช่นนี้
เหตุผลที่สองก็คือเขากำลังขบคิดเรื่องความสงสัยภายในใจของตนอยู่
ต้องเกิดเรื่องใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่
แต่เป็นเรื่องอะไรกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้ความคิดนานเกินไปหรือเปล่า ในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไป ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงร้องดังออกมาจากในกระเป๋าของต้าเป่า เสียงนั้นเบาเสียจนถ้าหากไม่ตั้งใจฟังก็อาจคิดไปว่าตนหูฝาดไป
ชายชรามิได้ใส่ใจ ตราบจนเยี่ยนเสี่ยวซื่อปีนออกมาจากกระเป๋าหนังสือ
นางสวมชุดขนแกะสีขาว ส่องสะท้อนแสงสลัวยามค่ำคืน
ชายชราคิดว่าสะลึมสะลือกำลังจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน เมื่อเห็นแกะน้อยตัวหนึ่ง เขายังคิดว่าในคุกจะมีแกะได้อย่างไรกัน…
เดี๋ยวนะ แกะหรือ?
แกะ?
ชายชราลืมตาตื่นขึ้นทันใด!
เขามองไปยังเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ก็พบว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานไปถึงประตูคุกแล้ว สองมือของนางคว้าบานประตูไม้ คล้ายกับอยากออกไป
ชายชราส่ายหน้า อย่าโง่ไปหน่อยเลย เจ้าแกะน้อย ออกไปไม่ได้หรอก!
คิดว่าเขาไม่เคยลองหรือ? ทันทีที่เขาเข้ามา เขาพยายามใช้มือขยับแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ไม้ธรรมดา แต่นี่เป็นไม้นิลซึ่งถูกเสริมพลังเข้าไป ความแข็งแกร่งทนทานนั้นมิได้เป็นรองเหล็กนิล
ต่อให้ใช้ดาบของเขาฟันบานประตู ก็ไม่รู้ว่าจะต้องฟันลงไปกี่ครั้งจึงจะเป็นรอย
สุดท้ายแล้ว บานประตูไม้นี้ก็พังลงด้วยน้ำมือของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ชายชรา “…”
เจ้าลูกแกะตัวน้อยแลดูอ่อนแอนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาหรอกหรือ?
พี่ชายคนหนึ่งก็วิปลาส อีกคนก็ฟันเหล็ก เขายังคิดเสียอีกว่าทารกคนนี้อ่อนแอไร้เดียงสา เขานี่โง่จริงๆ เลย…
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานเตาะแตะออกไป
ชายชราจะตามออกไปจับแต่ก็ไม่ทัน เขานึกอยากปลุกต้าเป่าขึ้นมา ทว่าทันใดนั้นก็นึกได้ว่าหากต้าเป่าตื่นขึ้นมาแล้ว ต้องพาน้องชายและน้องสาวออกไปจากที่นี่เป็นแน่ เขาไม่อยากรีบไปจากที่นี่ ในเมื่อมาแล้ว เขาก็อยากสำรวจภายในเผ่ามารดูสักหน่อย บางทีอาจได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาบ้าง
คิดได้เช่นนี้ เขาจึงปิดปากเงียบ และย่องตามเยี่ยนเสี่ยวซื่อไป
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานไปถึงประตูคุก ทหารของเผ่ามารสองคนก็กำลังสนทนากันอยู่
ชายชราคิดในใจว่า จบสิ้นกัน ยังไม่ทันออกไปก็จะถูกจับได้เสียแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับคลานเข้าไประหว่างทั้งสอง
ทหารทั้งสองคนกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ไม่ได้สนใจเจ้าตัวเล็กที่คลานผ่านเท้าไปแม้แต่น้อย
ชายชราจ้องมอง แบบนี้ก็ได้รึ!
ชายชราเองก็อยากลองเช่นกัน เขาคิดจะคลานเข้าไประหว่างทั้งสอง ทว่าคลานตามไปได้ไม่เท่าไรก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล คล้ายกับมีจิตสังหารแข็งแกร่งกำลังเคลื่อนเข้าปกคลุม
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก็พบว่าทหารเผ่ามารสองคนซึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเมื่อครู่ ถือดาบอยู่ในมือ มองมายังเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว
ชายชรามองพวกเขา แล้วมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งอยู่ห่างออกไป มุมปากของเขาก็กระตุก…
ทำไมเห็นข้าแต่ไม่เห็นนาง พวกเจ้าตาบอดหรืออย่างไร!!!
ชายชราถูกทุบตีอย่างแรง จนดวงตาเขียวช้ำ ก่อนจะถูกลากกลับไปยังคุก
“เจ้าพังประตูด้วยรึ!” ทหารเผ่ามารคนหนึ่งโทสะพลุ่งพล่าน แล้วทุบตีเขาอีกครั้ง
ชายชราอยากจะบ้าตาย
ไม่ใช่เขาสักหน่อย!
หากเขามีพลัง เขาจะเจาะแค่ ‘โพรงสุนัขลอด’ อย่างนี้หรือ?
เจ้าพวกสมองทึบเอ๊ย!
หลังจากที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อโยนความผิดให้ให้ชายชราไปแล้ว ก็คลานออกไปยังระเบียงทางเดิน
“เอ๊ะ? เจ้าดูสิ แกะตัวนั้น!”
ในสวนดอกไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไป ทหารลาดตระเวนคนหนึ่งพูดพลางชี้ไปยังเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งคลานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทันทีที่เพื่อนของเขาหันไปมอง เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เลี้ยวไปอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงทางเดินแล้ว
เพื่อนของเขาไม่เห็นเยี่ยนเสี่ยวซื่อ จึงหันไปพูดว่า “เจ้าตาฝาดไปกระมัง? วังมารแห่งนี้จะมีแกะไปได้อย่างไร ถ้าเป็นสุนัขป่าก็ว่าไปอย่าง!”
“จริงๆ นะ! ข้าเพิ่งเห็นประเดี๋ยวนี้เอง! ลูกแกะตัวอ้วนๆ เหมือน…” ทหารชี้มือชี้ไม้ ในใจอยากพูดว่าน่ารัก แต่คำพูดมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากก็นึกได้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดที่คนเผ่ามารควรพูด เขาจึงเปลี่ยนไปพูดว่า “คล้ายกับว่าจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน”
เพื่อนของเขาหัวเราะร่วน “แม่แกะที่พวกเขาจับมาอาจเพิ่งคลอดลูกกระมัง ไม่เป็นไรหรอก แกะตัวเล็กแค่นี้ เดินไปเดินมาก็คงถูกคนจับไปเชือดแล้วละ พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก คืนนี้จับเด็กได้อีกหลายคน จวนจะครบหนึ่งร้อยคนแล้ว”
ทหารลาดตระเวนพูดว่า “นี่เป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วกระมัง”
เพื่อนของเขาตอบว่า “อืม ประเดี๋ยวส่งเขาเข้าไปยังวังมาร ก็จะสร้างเมล็ดพันธุ์มารได้แล้ว”
ทหารลาดตระเวนยกสองมือประสานกัน ฝ่ามือหันเข้าด้านใน พาดลงบนท้ายทอย เงยหน้ามองดวงจันทร์ซึ่งอยู่เหนือศีรษะ แล้วพูดจากใจจริงว่า “เมื่อมีเมล็ดพันธุ์มาร พญามารก็จะถือกำเนิดขึ้น”
เยี่ยนเสี่ยวซื่ออยู่ในกระเป๋าหนังสือจนเบื่อเต็มทน กว่าจะได้ออกมาสูดอากาศนั้นแสนลำบาก นางย่อมคลานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ
ระหว่างทางที่นางเดินไป ไม่ได้มีเพียงทหารของเผ่ามารเพียงคนเดียวที่เห็นนาง แต่ก็ไม่มีผู้ใดมองออกว่านั่นคือเด็กทารกคนหนึ่ง ทุกคนล้วนคิดว่าเป็นเพียงลูกแกะตัวหนึ่งเท่านั้น
จะโทษที่พวกเขาคิดเช่นนั้นก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเด็กชาวมนุษย์คนใดที่เยือกเย็นเช่นนี้!
นอกจากนั้นแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้าของมันยังดูเป็นลูกแกะที่น่ารักตัวหนึ่ง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อปีนข้ามภูเขาสูง(ธรณีประตู) ผ่านมหาสมุทรอันกว้างใหญ่(บ่อน้ำ) ตัดผ่านป่ากว้าง(สวนดอกไม้) มาถึงเรือนอันเงียบสงัดแห่งหนึ่ง
นางเหนื่อยล้าเต็มที (ซะที่ไหนกันละ)!
“ฟู่~ ฟู่~ ฟู่~” นางนั่งลง ยกมืออวบอ้วนขึ้นปาดเหงื่อซึ่งไม่มีอยู่จริง
เรือนนี้ไร้ซึ่งคนคอยเฝ้า เพราะที่นี่เป็นเขตหวงห้ามซึ่งมีสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าทหาร ไม่มีผู้ใดกล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป จนกระทั่ง…
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานเตาะแตะเข้าไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานเข้าไปในห้องโถงซึ่งมีแสงเทียนส่องสว่าง
กลางห้องโถงแห่งนั้นมีโลงศพงดงามตั้งอยู่
“เอ๋?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเงยหน้ามองโลงศพนั้น
โลงศพนั้นอยู่สูงเหลือเกิน ทั้งยังลื่น จนนางปีนขึ้นไปไม่ได้
นางหันหลังไป ปีนขึ้นไปบนม้านั่งเตี้ย ดันศีรษะเล็กกับเก้าอี้ แล้วค่อยๆ คลานไปจนม้านั่งไปหยุดอยู่ที่โลงศพ
นางปีนขึ้นไปบนม้านั่ง จากนั้นก็เหยียบม้านั่ง ปีนขึ้นไปบนโลงศพ
โลงศพไม่มีฝาปิด ด้านในมีเด็กชายคนหนึ่ง แลดูคล้ายกับกำลังหลับอยู่
เด็กชายคนนั้นอายุไม่มาก น่าจะอายุสักสิบเอ็ดขวบเห็นจะได้ เขาสวมชุดสีฟ้าอ่อน คิ้วโก่งดุจภาพเขียน ใบหน้าหมดจดงดงาม
เยี่ยนเสี่ยวซื่อใช้มือเกาะขอบโลงศพ ลำตัวเล็กห้อยอยู่ที่โลงไม้ ขาอวบอ้วนเกี่ยวขึ้นมา มองเด็กชายผู้หล่อเหลาดวงตาไม่กะพริบ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อดวงตาเป็นประกาย น้ำลายสอ!
………………..