หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 12 โจวจิ่นเอ็นดูเสี่ยวซื่อ!
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ชายชราผมชาวถูกทุบตีและถูกลากกลับเข้าไปในคุกดังเดิม เขาก็เริ่มนั่งนิ่งอยู่ในมุมห้องด้วยความมึนงง
เขายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงตกต่ำจนมาอยู่ในจุดนี้ได้
ก่อนหน้านี้บอกไว้เสียดิบดีว่าจะพาผู้ที่ชะตากำหนดไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การพาผู้ที่ชะตากำหนดกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์นับเป็นการไถ่โทษ แต่จะว่าไป สิ่งที่เขาทำก็ไม่ใช่เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้สักหน่อย ก็แค่ไปหลอก…แค่กๆ…ผู้ที่ไม่สมควรหลอกเองไม่ใช่หรือ?
ถึงกับต้องใช้วิธีนี้ลงโทษเขาเชียวหรือ?
หากรู้แต่แรก ไม่สู้จับเขาขังไว้ในคุกน้ำสักสามร้อยปีให้รู้แล้วรู้รอดไป!
เขาสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของอาจารย์ปู่ อาจารย์ปู่หลอกลวงเขา ต้มตุ๋นเขาจนเปื่อย!
ตอนนี้อย่าว่าแต่พาผู้ที่ชะตากำหนดไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย เขาจะมีชีวิตรอดได้เห็นรุ่งอรุณของพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ชายชราถอนหายใจออกมา เขาคิดอยากยอมจำนนต่อโชคชะตา แต่ก็ไม่อยากยอมรับมัน
เขามองไปยังต้าเป่าซึ่งกำลังหลับสนิท และคิดว่าตนเองควรจะไปตามเด็กคนนั้นกลับมาหรือไม่ อย่างไรเสียเจ้าเด็กตัวแสบทั้งสามก็เป็นห่วงนางมาก ถ้าหากตื่นขึ้นมาไม่เห็นนาง คงจะร้อนรนจนรับมือไม่ไหว
หากถามว่ารับมือไม่ไหวอย่างไร ชายชราก็ไม่แน่ใจ หากเป็นเด็กทั่วไป เขาคงจะเดาออก แต่เด็กสามคนนี้น่ะหรือ หึ! คนที่เดาใจยากกว่าสตรีก็คือเด็กสามคนนี้นี่แหละ!
ประตูคุกถูกซ่อมแซมแล้ว
ชายชรามีดาบอยู่ในมือ แต่หากใช้ดาบฟันลงไป จะทำให้เกิดเสียงดัง เขาเหลือบมองมีดสั้นที่เอวของต้าเป่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับเถาวัลย์ปีศาจ เขาเห็นว่ามีดสั้นนั้นร้ายกาจมาก หากใช้มันอาจไม่มีปัญหาอะไร
ชายชราหยิบมีดสั้นของต้าเป่ามา แล้วกรีดลงบนประตูเบาๆ และเป็นดังคาด ประตูไม้นี้ก็แยกออกราวกับเป็นเพียงแผ่นกระดาษ
เขาตกตะลึงกับความคมของมีดเล่มนี้ จะว่าไป เด็กสี่ขวบคนหนึ่งพกมีดสั้นคมกริบเช่นนี้ไปไหนมาไหนไม่เป็นไรหรือ? พ่อแม่ของพวกเขาเป็นใคร ใจกล้าเหลือเกิน
คิดว่ามีดเป็นของเด็กเล่นหรืออย่างไร
กระนั้น ชายชราก็ต้องยอมรับว่าหากไม่ใช่เพราะมีดสั้นเล่มนี้ พวกเขาคงเอาชีวิตไม่รอดตั้งแต่ตอนที่เผชิญหน้ากับเถาวัลย์ปีศาจไปแล้ว!
นอกจากนั้น เขาก็ไม่เคยเห็นเด็กทั้งสามหยิบมีดออกมาเล่น พวกเขาซุกซนก็จริง แต่พวกเขาก็มีขีดจำกัด
และก็กลับมายังคำถามเดิมของเขา เด็กเหล่านี้เป็นลูกบ้านไหนกัน แข็งแกร่งเกินธรรมดาจริงๆ
ชายชราใช้มีดตัดประตูไม้เป็นช่องขนาดพอดีตัว เมื่อตัดเสร็จเรียบร้อย เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาหันหน้ากลับไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นต้าเป่ากำลังกอดกระเป๋าอันว่างเปล่า มองมายังเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
ชายชรามองมีดสั้นในมือ จากนั้นจึงมองต้าเป่า “ถ้าข้าบอกว่า…ข้ากำลังจะออกไปตามหาน้องสาวเจ้า เจ้าจะเชื่อไหม?”
ต้าเป่าพึมพำบางอย่างเป็นภาษาเฟิ่ง นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ก็บินเข้ามา ใช้ปีกกว้างของมันโจมตีชายชรา
ชายชรารู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน!
เขากำลังจะออกไปตามหาทารกคนนั้นจริงๆ ทำไมไม่เชื่อเขาเล่า หน้าตาเขาดูไม่น่าเชื่อถือหรือ!
ที่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์บินเข้ามาได้ ก็เพราะทหารเผ่ามารซึ่งเฝ้าอยู่ด้านหน้านั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ และที่ต้าเป่ารู้เรื่องนี้ ก็เพราะเขาเห็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นข้างนอกทั้งหมดผ่านดวงตาของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ขณะที่กำลังหลับ
เขาคิดว่าตนเองกำลังฝันไป ทว่าเขาทดลองดูแล้ว และพบว่าเป็นเรื่องจริง
เรื่องนี้ช่างแปลกประหลาดและเหลือเชื่อ ต้าเป่าเองก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นั่นกลับเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี
หลังจากที่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์โจมตีชายชราไปแล้ว ต้าเป่าก็ปลุกน้องชายทั้งสอง
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์พาเด็กทั้งสามออกจากคุก
ชายชราเดินกะโผลกกะเผลกตามไป อยากร่ำไห้แต่ก็ไร้น้ำตา
ในคุกยังมีคนอื่นอีก แต่ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง พวกเขาเคยเห็นคนจำนวนมากพยายามหนี แต่ทุกคนก็ถูกทหารเผ่ามารจับกลับมา จุดจบหลังจากถูกจับมานั้นอเนจอนาถจนพวกเขาไม่คิดจะหนีอีกต่อไป
แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ รายงานไปก็ไม่ได้รางวัล พวกเขาไม่ได้เอ่ยปากห้าม พวกเขาจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มิฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญอาจย่ำแย่กว่านี้ก็เป็นได้
ท่ามกลางความมืด ทุกคนนั่งมองพวกเขาทยอยออกไปจากห้อง แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าพวกเขาจะหนีรอด
……
ห่างจากคุกออกไปราวหนึ่งร้อยหมี่ โจวจิ่นพาเยี่ยนเสี่ยวซื่อเดินออกมา
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกัดเขาแล้ว เขาก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่
เยี่ยนเสี่ยวซื่ออายุแปดเดือน มีฟันขึ้นสองซี่แล้ว ไม่ใช่เพราะโจวจิ่นร่างกายอ่อนแอ แต่เมื่อครู่เขาเจ็บจริงๆ
ทว่านั่นอาจเป็นเพราะนางกำลังสะลึมสะลือ หลังจากนั้นนางก็นุ่มนวลขึ้น
ที่บอกว่านุ่มนวล ก็เพราะถึงนางจะยังหาของกินในอ้อมอกของโจวจิ่น ทั้งดูดทั้งเลีย โจวจิ่นคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ จึงแหย่นิ้วชี้เข้าไปในปากนางแทน
นางดูดๆ อยู่สักพัก แล้วก็ผล็อยหลับไป
โจวจิ่นค่อยๆ ดึงนิ้วออกมาอย่างระมัดระวัง ภายในเวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็รู้สึกว่าเหงื่อโทรมกาย
เลี้ยงเด็กมันยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ท่านพี่หวั่นมีลูกตั้งสี่คน ท่านพี่หวั่นต้องลำบากมากเป็นแน่!
โจวจิ่นถูกคนเผ่ามารกลุ่มนี้จับมาระหว่างทาง ผู้ที่ถูกจับมาพร้อมกับเขาก็คือคนรับใช้ของเขา เขาคิดจะหนีไปจากที่นี่พร้อมกับคนรับใช้ ส่วนเรื่องการถล่มเผ่ามารให้ราบคาบหรือช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายคนอื่นนั้น เขาไม่ได้มั่นใจในความสามารถของตนเองจนถึงกับคิดว่าเขาจะทำได้สำเร็จด้วยตัวคนเดียว
การปรากฏตัวของเจ้าตัวเล็กนั้นอยู่เหนือความคาดหมาย นางยังเด็กเกินไป จะอุ้มหรือจะแบกออกไปไม่นับว่าเป็นอุปสรรคต่อแผนการ เพราะฉะนั้นโจวจิ่นจึงคิดว่าจะพานางไปด้วย เพียงแต่ว่าโจวจิ่นไม่คิดว่าตนเองจะต้องมาอุ้มนางตลอดเวลา
แผนการเดิมของเขาคือช่วยคนรับใช้ของตนออกมาก่อน แล้วให้คนรับใช้อุ้มนาง จากนั้นพวกเขาค่อยหนีไปพร้อมกัน
โจวจิ่นมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวซื่อในอ้อมอก แล้วถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
โจวจิ่นไม่รู้แน่ชัดว่าคนรับใช้ของเขาอยู่ที่ใด คาดว่าน่าจะอยู่ในคุก หรืออาจจะอยู่ในเรือนร้างสักแห่ง ขณะที่เขากำลังจะออกค้นหา ทหารเผ่ามารก็เดินมา ในมือถือโลงศพอีกโลงหนึ่งไว้
โจวจิ่นพอจะเดาออกว่าพวกเขาก็คือเหล่าทหารที่จับตนไปไว้บนแท่นบูชามาร
เขาได้ยินพวกเขาคุยกันว่าจะไปยกอีกโลงหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนในโลงนั้นเป็นใคร มาจากที่ใด ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
“โอ๊ย” หนึ่งในทหารเผ่ามารเหยียบลงบนท่อนไม้ เท้าของเขาลื่น จนเกือบทำโลงหยกคว่ำ
“ทำอะไรของเจ้า” ทหารซึ่งเป็นหัวหน้าถาม พร้อมขมวดคิ้วพูดกับเขาว่า “ระวังหน่อย อย่าทำให้โลงหยกแตก! กว่าจะหาตันภายในของร่างรวมเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมารได้นั้นยากนัก หากเจ้าทำเสียเรื่อง เอาชีวิตเจ้ามาชดใช้ก็ยังไม่พอ!”
“รู้แล้วน่า” ทหารเผ่ามารตอบอย่างไม่สบอารมณ์
ร่างรวมเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร? ตันภายใน?
โจวจิ่นไม่คิดว่าโลงขนาดใหญ่ใบนี้จะบรรจุตันภายในก้อนหนึ่งกระไรทำนองนั้น ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือผู้ที่นอนอยู่ในโลงนี้จะต้องมีตันภายในของเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมารรวมกัน?
เขาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ไม่นาน เรื่องราวมากมายเคยแค่เพียงได้ฟัง และมีเรื่องอีกมากที่เขายังไม่เคยได้ยิน ตัวอย่างเช่นร่างรวมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร แต่เขารู้จักตันภายใน ของประเภทนี้ต้องนำออกมาขณะมีชีวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นจะเสื่อมประสิทธิภาพ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าผู้ที่อยู่ในโลงก็ยังมีชีวิตอยู่
ผู้ที่อยู่ในโลงใบนั้นอาจเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าเขาก็เป็นได้
เขาจะบอกได้ไหมว่าคนรับใช้ของโจวจิ่นอยู่ที่ใด?
อย่างไรเสียพวกเขาล้วนถูกคนเผ่ามารจับมา นับว่ามีศัตรูร่วมกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ต่อให้จะเป็นมิตรกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ย่อมต้องร่วมมือกันชั่วคราว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ โจวจิ่นก็ตามทั้งสี่คนไป
ทันทีที่ทั้งสี่เดินมาถึงทางเข้าอีกฝั่งหนึ่งของตำหนักมืด หัวหน้าทหารก็หยิบกุญแจขึ้นมาแกว่งเบาๆ โจวจิ่นก็เห็นว่าอาณาเขตปรากฏขึ้นในอากาศ อาณาเขตนั้นเปิดออก ทั้งสี่จึงเดินเข้าไป
จากนั้นเขตหวงห้ามก็อันตรธานไป หรือจะกล่าวโดยละเอียดก็คือซ่อนตนเอง
ก่อนหน้านี้โจวจิ่นนอนอยู่ในโลง เขาไม่เห็นอาณาเขตนี้ แต่เมื่อครู่นี้ เขามองเห็นวังมารทั้งหมด รวมไปถึงภูเขาซึ่งถูกอาณาเขตซึ่งดูคล้ายกับระลอกคลื่นแห่งนี้ครอบไว้ พูดง่ายๆ ก็คือตำหนักมืดที่ตนอยู่นั้นก็มีอาณาเขตกั้นไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ตนไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจ ก็สามารถเดินออกมาได้อย่างไร้อุปสรรค
“ออกมาได้ ก็น่าจะเข้าไปได้กระมัง?”
โจวจิ่นรอให้ทหารทั้งสี่วางโลงหยกเสร็จแล้วเดินออกมา เมื่อมั่นใจว่าพวกเขาเดินไปไกลแล้ว เขาจึงอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เดินเข้าไปในอาณาเขตนั้นทันที
โจวจิ่นยังไม่เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดอาณาเขตนั้นจึงทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าหากใช้ไม่ได้ผล แล้วจะสร้างไว้เพื่ออะไรกัน
………………………………