หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 19 พี่จิ่วมาแล้ว
ในขณะที่โจวจิ่นและเหล่าซาลาเปาน้อยรวมตัวกันได้อย่างราบรื่น และกำลังหาทางออกจากวังมารอยู่นั้น อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินทางมาถึงโลกฝั่งนี้
ตอนแรกเยี่ยนจิ่วเฉาได้ยินเสียงประตูหินดังกึกก้องด้านนอกถ้ำ รู้สึกว่าบางสิ่งที่สำคัญกำลังจะปิดลง เขาไม่รู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด ทว่าในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก ราวกับว่าหากไปไม่ทัน เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ดังนั้นเขาจึงดึงอวี๋หวั่นเข้าไปในถ้ำ
เวลานั้นประตูใกล้ปิดลงแล้ว ไม่มีเวลาพอให้คิด เขารีบพาอวี๋หวั่นแวบกายเข้าไปด้านใน และพวกเขาก็มาโผล่ที่โพรงถ้ำประหลาดแห่งหนึ่ง
ภายในถ้ำมีแท่นหิน ซึ่งมีโซ่ตรวนและโซ่เหล็กที่ทำจากเหล็กนิลกระจัดกระจายอยู่ด้านบน โซ่เหล่านั้นถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนา ทว่าด้านในกลับถูกถูจนแวววาว เดาได้ว่าที่แห่งนี้เคยกังขังใครบางคนมาเป็นเวลานาน
หนอนกู่ที่ตัวสั่นระริกกระจายอยู่บนพื้น สัตว์พิษตัวน้อยจดจำพลังปราณของพวกมันได้ มันคือหนอนกู่ที่อยู่กับไข่น้อยทั้งสาม
มีความเป็นไปได้สองอย่าง ไข่น้อยทั้งสามเคยพาเยี่ยนเสี่ยวซื่อมาที่นี่ หรือไม่ก็มีคนอื่นขโมยหนอนกู่ของพวกเขาและโยนมันไว้ที่นี่
เยี่ยนจิ่วเฉาคิดว่าเป็นอย่างแรกมากกว่า
ทว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เหตุใดพวกเขาถึงโยนหนอนกู่ทิ้ง?
แน่นอนว่าไข่น้อยทั้งสามนำหนอนกู่มาด้วยไม่เพียงเพื่อเล่นสนุกเท่านั้น แต่นี่เป็นนิสัยที่อาเว่ยได้ปลูกฝังให้พวกเขา หากพวกเขาหายตัวไป ครอบครัวจะสามารถตามพลังปราณของหนอนกู่มาพบพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางทิ้งหนอนกู่ด้วยตนเอง
เยี่ยนจิ่วเฉาคาดเดาถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีทางเดาได้เลยว่านกหลวนศักดิ์สิทธิ์ทำให้หนอนกู่หวาดกลัวจนหนีไป นกหลวนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่รู้ว่าตนได้ทำให้หนอนกู่ที่น่ารักหวาดกลัวและหนีไป นกเป็นศัตรูตามธรรมชาติของหนอน อีกอย่างมันยังเป็นสัตว์ประหลาดที่มีสายเลือดหงส์
ต่อมา ทั้งสองสังเกตเห็นภาพวาดบนผนังและรูขนาดใหญ่บนภาพวาด
ทั้งสองเข้าไปในรู เดินไปจนสุดทางก็มาถึงเทือกเขาแห่งหนึ่ง
สิ่งที่แปลกคือพวกเขาเข้าถ้ำมาในเวลากลางวัน และดูเหมือนผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามตั้งแต่พวกเขาเข้ามา ทว่าฟ้าที่นี่…กลับมืดเสียแล้ว!
ตอนแรกทั้งสองคิดว่าเป็นสุริยุปราคา ทว่ารออยู่นาน สุริยุปราคาก็ยังไม่ผ่านไป แม้แต่ท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขาก็เริ่มปรากฏดวงดาว ทั้งสองคนจึงแน่ใจแล้วว่านี่เป็นเวลากลางคืนจริงๆ
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะเข้าใจเรื่องเขตเวลาของโลก แต่ไม่ว่าอย่างไร ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ไม่มีทางเดินเท้าข้ามเขตเวลาได้มากมายเช่นนี้ จากกลางวันเป็นกลางคืนเชียวนะ
ทั้งสองยังครุ่นคิดว่า หรือนี่อาจเป็นการพรางตา บนเกาะร้างพวกเขาถูกพ่อมดดำจับได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการพรางตาหรือเวทมนตร์คาถา ล้วนได้ผลเฉพาะกับคน ไม่มีผลกับสัตว์พิษตัวน้อย
“กลางคืนแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นถามสัตว์พิษตัวน้อย
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้า
ข้อสงสัยเรื่องการพรางตาถูกตัดทิ้ง
ที่นี่มืดแล้วจริงๆ!
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมืออวี๋หวั่นแน่น ที่นี่แปลกเกินไป เขาจะปล่อยให้นางเดินหลงไม่ได้
“สัมผัสพลังปราณของพวกต้าเป่าได้หรือไม่?” อวี๋หวั่นถามสัตว์พิษตัวน้อย
สัตว์พิษตัวน้อยส่ายหัว
ความจริงต่อให้ไม่มีหนอนกู่ สัตว์พิษตัวน้อยก็ได้ทำเครื่องหมายไว้บนตัวพวกเขาแล้ว เท่ากับเป็นการทิ้งพลังปราณของตนไว้บนตัวพวกเขา ตามหลักแล้วก็ตามหาตัวได้ไม่ยาก
ทว่าหลังจากเข้ามายังสถานที่ผีสิงแห่งนี้ สัตว์พิษตัวน้อยก็ไม่สัมผัสถึงพลังปราณพวกเขาอีกแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก นกหลวนศักดิ์สิทธิ์พาพวกเขาบินขึ้นฟ้า สัตว์พิษตัวน้อยอยู่บนพื้นดิน แน่นอนว่าไม่มีทางสัมผัสถึง
“หมอกดำช่างหนายิ่งนัก”
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้น เห็นเมฆสีดำลอยอยู่บนฟ้า มวลหมอกดำมหาศาลบดบังดวงดาวบนท้องฟ้าเหนือศีรษะของเธอในทันที
“หมอกดำพวกนี้ดูแปลกๆ” เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าวิชาอายุวัฒนะในร่างกายขับเคลื่อนไหลเวียนด้วยตัวเอง หมอกดำที่เข้าใกล้เขาถูกกำจัดออกไป ราวกับ…ขจัดสิ่งปนเปื้อนให้บริสุทธิ์
แม้ไม่รู้ว่าหมอกดำเหล่านี้มีผลต่อคนอย่างไรกันแน่ ทว่าวิชาอายุวัฒนะก็ไม่มีทางทำร้ายเขา เขาคิดจะกำจัดหมอกดำรอบกายอวี๋หวั่น ก็เห็นว่าจู่ๆ สัตว์พิษตัวน้อยก็กระโดดออกมายืนบนไหล่ของอวี๋หวั่น มันกางกรงเล็บเล็กๆ ออกแล้วจับกลุ่มหมอกดำยัดเข้าปากของตนเอง
คำแรกเพียงเพราะอยากรู้อยากเห็น ลิ้มลองรสชาติเท่านั้น แต่หลังจากได้ลิ้มรส สัตว์พิษตัวน้อยก็ชะงักไป จากนั้นสัตว์พิษตัวน้อยก็คล้ายกับถึงพอใจในรสชาตินี้มาก และจับมันกลืนลงไปอีกก้อน
อวี๋หวั่นเองก็สังเกตเห็นสัตว์พิษตัวน้อยที่ตะกละตะกลาม หลังจากราชันพันสัตว์พิษ นี่เป็นครั้งแรกที่สัตว์พิษตัวน้อยสนอกสนใจในอาหารอย่างอื่น
เจ้านี่กินได้จริงๆ หรือ?
อวี๋หวั่นยื่นมือออกไปคว้า แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ หมอกก็คือหมอก จะจับมาได้ที่ใด?
แต่ท่าทางเอร็ดอร่อยของสัตว์พิษตัวน้อยก็ไม่ดูเหมือนกับการแสดง
ดังนั้นหมอกดำที่เธอเห็นแต่สัมผัสไม่ได้ บัดนี้ได้กลายเป็นอาหารของสัตว์พิษตัวน้อยแล้วหรือ?
อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความสับสน “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักและเอ่ยว่า “หมอกดำเหล่านี้น่าจะเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง วิชาอายุวัฒนะไม่ชอบมัน ทว่าบำรุงจักรพรรดิสัตว์พิษได้ดียิ่งนัก”
สัตว์พิษตัวน้อยกินหมอกดำรอบตัวอวี๋หวั่นอยู่พักหนึ่ง เมื่อใดที่มีหมอกดำมาเข้าใกล้ ก็จะถูกสัตว์พิษตัวน้อยจับกลืนลงท้อง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องถึงมือเยี่ยนจิ่วเฉา
ทั้งสองไม่รู้ว่าเด็กๆ ไปที่ใดจึงได้แต่เดินไปเรื่อยๆ โดยใช้สัญชาตญาณ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวอวี๋หวั่นก็รู้สึกว่าเท้าของเธอเหยียบบางสิ่งบางอย่าง
เธอหยิบมันขึ้นมาดู ดวงตาพลันส่องประกาย “นี่มันการบ้านของเสี่ยวเป่า!”
หากพูดให้ถูกคือการบ้านที่เสี่ยวเป่ายังไม่ทำ
ทั้งสองมองไปบนพื้นรอบๆ อีกครั้งและพบว่าไม่ได้มีเพียงการบ้านที่เสี่ยวเป่ายังไม่ทำ แต่ยังมีของเอ้อร์เป่า ตลอดจนตำราเรียนทั้งหมด กระดาษดินสอ หนังสติ๊ก ดาบไม้ มีดไม้ ลูกข่าง ของเล่นต่างๆ นานาของเด็กทั้งสอง
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว นี่ไปเรียนกันจริงๆ หรือ?
“เหตุใดไม่มีของต้าเป่า?” อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยความสงสัย
“ต้าเป่าเทกระเป๋าเรียนออก แล้วใช้เก็บของอย่างอื่น” บิดาย่อมรู้จักบุตรชายดี เยี่ยนจิ่วเฉามองดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของต้าเป่า
“บนพื้นมีเปลือกผลไม้ด้วย” อวี๋หวั่นคุกเข่าลง
“เป็นของพวกเขา” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
กระเป๋าเรียนของน้องชายทั้งสองใช้ใส่สิ่งใด ไม่ต้องเอ่ยก็เข้าใจ
หากของของต้าเป่าไม่หาย ก็หมายความว่ากระเป๋าเรียนของต้าเป่ายังไม่ถูกค้น ต้าเป่าไม่ใช่พี่ที่รังแกน้อง ไม่มีทางให้น้องชายแบกอาหารกันไปเพียงสองคน เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ กระเป๋าเรียนของเขาต้องนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่นใส่หนังสือบางๆ สองสามเล่ม กระดาษดินสอ และ…เยี่ยนเสี่ยวซื่อ
หากพี่น้องทั้งสี่ยังอยู่ด้วยกันก็ดี
อวี๋หวั่นทอดถอนใจด้วยความโล่งอก
แม้เธอจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทว่าตลอดทาง สิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือพี่น้องทั้งสี่พลัดพรากจากกัน
“ต้องพบพวกเขาแน่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า
หากเขาพูด เธอก็เชื่อ
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยว่า “ใกล้ๆ นี้น่าจะมีสวนผลไม้ พวกเราลองไปหาดู บางทีอาจพบเบาะแสก็ได้”
ทันทีที่สิ้นเสียง ไอกระบี่หนึ่งพุ่งสับลงมากลางอากาศ ดวงตาเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นประกายเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งปกป้องอวี๋หวั่นไว้ข้างหลัง อีกข้างหนึ่งเปลี่ยนพลังแห่งวิชาอายุวัฒนะเป็นดาบ ฟาดฟันไอกระบี่นั้น
เกิดเสียงดังเคร้ง ไอกระบี่ถูกตีแตกสลายไป
ตามมาด้วยน้ำเสียงสงสัยที่ดังมาจากที่ไม่ไกลนัก “โอ้? สหายร่วมสายเดียวกันรึ? ล่วงเกินแล้ว ข้าศิษย์ผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิง จิ้งอู๋โจ้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง บุรุษวัยกลางคนชุดดำคนหนึ่งก็เหาะลงมาจากหมอกดำ
บุรุษวัยกลางคนหยุดยืนห่างจากเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นราวหกฉื่อ เขาเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉา ดวงตาฉายแววประหลาดใจ ส่วนใหญ่ไม่ว่าเวลาใด เมื่อเห็นบุรุษรูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ก็ยากจะไม่ตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของอีกฝ่ายยังแผ่กลิ่นอายทรงพลังอย่างยิ่ง
อวี๋หวั่นถูกเยี่ยนจิ่วเฉาบังไว้ด้านหลัง แต่เขาก็ไม่ได้บุ่มบ่ามเดินเข้าไปดู
เขาคำนับเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างสุภาพ “เมื่อครู่ข้าคิดว่าเป็นคนของเผ่ามาร จึงรีบร้อนลงมือไปหน่อย คงมิได้ทำให้ท่านทั้งสองบาดเจ็บกระมัง?”
เผ่ามาร?
ผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิง?
จิ้งอู๋โจ้ว?
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยได้ยินชื่อเหล่านี้
เขาเหลือบมองอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเฉยชา “เจ้ามาจากที่ใด?”
คราวนี้ เป็นจิ้งอู๋โจ้วที่ไม่เข้าใจ เมื่อครู่เขามิได้เพิ่งแจงชื่อเสียงเรียงนามของตนไปหรอกหรือ? เขาไม่รู้ว่าตนคือจิ้งอู๋โจ้ว หรือไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิงมาก่อนกันแน่?
แม้ชื่อจิ้งอู๋โจ้วจะไม่โด่งดังนัก ทว่าผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิง หนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือของนิกายศักดิ์สิทธิ์ คงไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้ไม่รู้จักกระมัง?
แต่เมื่อนึกถึงเมื่อครู่ตนเกือบจะทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ จิ้งอู๋โจ้วก็รู้สึกผิดและให้อภัยในความไม่รู้ของทั้งสอง “ข้ามาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ ผู้บำเพ็ญทั้งสองมาจากที่ใด?”
นิกายศักดิ์สิทธิ์บ้าบออะไร?
เยี่ยนจิ่วเฉามีชีวิตอยู่มายี่สิบห้าปี แต่ไม่เคยรู้ว่ามีสำนักเช่นนี้ แล้วผู้บำเพ็ญที่อีกฝ่ายพร่ำเอ่ย เยี่ยนจิ่วเฉาก็จำไม่ได้ว่าที่ใดมีการเรียกคนเช่นนี้
วินาทีนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาแน่ใจแล้วว่าพวกเขาได้ออกมาจากเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งต้าโจว มายังที่ที่พวกเขาไม่เคยย่างกรายมาก่อน
………………………