หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 20 ลูกพี่จิ่วเฉา!
ก่อนจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างละเอียด เยี่ยนจิ่วเฉาตัดสินใจปิดบังที่มาของเขากับอวี๋หวั่น หลังจากผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายมานานหลายปี สิ่งสำคัญที่สุดที่เยี่ยนจิ่วเฉาได้เรียนรู้ คืออย่าเปิดเผยตัวตนมากเกินไป
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “เรามาจาก…นิกายเซียน”
“หือ?” จิ้งอู๋โจ้วผงะ
อวี๋หวั่นเกือบหลุดขำ
บุรุษผู้นี้เกลียดความพ่ายแพ้เสียจริง คนอื่นมาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เลยมาจากนิกายเซียน ฟังอย่างไรนิกายเซียนก็ดูยิ่งใหญ่อวดดีกว่านิกายศักดิ์สิทธิ์
หากไม่ใช่เพราะความขึงขังจริงจังของเยี่ยนจิ่วเฉา จิ้งอู๋โจ้วก็เกือบจะตอบไปว่า เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือ? ใต้หล้านี้มีเซียนที่ใดกัน? โอ้อวดอะไรเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นสำนักเล็กๆ จากที่ใด กล้าเรียกตนว่านิกายเซียน รู้จักละอายบ้างได้หรือไม่?
จิ้งอู๋โจ้วสำลักไปครู่หนึ่ง ทว่ายังเป็นความจริงที่ตนเกือบทำร้ายพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตนเป็นฝ่ายผิดก่อน ต้องอดทน อดกลั้นให้มาก!
จิ้งอู๋โจ้วระงับหัวใจที่เต้นระส่ำ และถามอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบแต่กลับถามว่า “ผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิงของพวกเจ้า เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่หรือ?”
“หือ?” จิ้งอู๋โจ้วผงะอีกครั้ง
เจ้าพูดอะไร? เหตุใดต้องโยงถึงผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิง? แล้วก็พี่ใหญ่? เป็นพี่ใหญ่ของเจ้ารึไง? คนที่อ้างว่ามาจากสำนักนิกายเซียน ไยเอ่ยปากเมื่อใดก็…ขี้ขโมยเช่นนี้?
จิ้งอู๋โจ้วไม่อาจเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย “พี่ใหญ่อันใด?”
“ก็คนที่เก่งที่สุดไง” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ทันใดนั้นสีหน้าแววตาจิ้งอู๋โจ้วก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส “เช่นนั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกจากอาจารย์ปู่แห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ของข้า ปรมาจารย์เต๋าหลีซัน”
เยี่ยนจิ่วเฉาคล้ายเข้าใจแจ่มแจ้ง “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่า ปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉา”
จิ้งอู๋โจ้ว “?!”
ท่านเสพติดเซียนหรือ?
ใต้หล้านี้หาได้มีปรมาจารย์เซียนไม่!
ยามที่อีกฝ่ายสู้กลับ จิ้งอู๋โจ้วยังคิดว่าตนพบสหายร่วมสาย ไหนเลยจะคิดว่าเป็นคนสติฟั่นเฟือนที่ไร้ยางอายเช่นนี้?
“ว่าไปแล้ว เจ้าไม่เรียกข้าว่าปรมาจารย์เซียนหน่อยหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเหล่มองเขา
จิ้งอู๋โจ้วเกือบเอ่ยคำสบถ เป็นปรมาจารย์เซียนหรือไม่ ในใจเจ้าไม่รู้หรือ? หน้าใหญ่ก็ยังไม่ใหญ่เช่นนี้!
“คนรุ่นหลังยามนี้ แม้แต่ปรมาจารย์เซียนก็ไม่เรียก ไร้กฎระเบียบ!” เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัด
“ข้า…” จิ้งอู๋โจ้วแทบจะหมดคำพูด เจ้าส่องกระจกหน่อยเถอะ เราทั้งสองผู้ใดเหมือนคนรุ่นหลังมากกว่า? เจ้าอายุครบยี่สิบหรือยัง? อายุที่แท้จริงของข้าเป็นอาจารย์ปู่ของเจ้าได้แล้ว!
ด้านหลังเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่นดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ เป็นนัยให้เขาพอแล้ว อย่าได้เอาชนะมากไปให้ผู้อื่นขุ่นเคือง
มิใช่เพราะอวี๋หวั่นเกรงจะทำให้จิ้งอู๋โจ้วไม่พอใจ อันที่จริงดูจากการประมือของทั้งสองเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าจิ้งอู๋โจ้วไม่สามารถเอาชนะเยี่ยนจิ่วเฉาได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สุภาพเช่นนี้
แม้ที่นี่จะไม่ใช่ต้าโจวที่ตนคุ้นเคย ทว่ามนุษย์ที่ใดล้วนเหมือนกัน
เวลานี้พวกเขากำลังตามหาคน จิ้งอู๋โจ้วผู้นี้ดูเหมือนเป็นชาวท้องถิ่น อาจได้ข้อมูลที่มีประโยชน์จากเขาก็เป็นได้
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าใจความกังวลของอวี๋หวั่น เขาส่งเสียงอืมอย่างเรียบเฉย จิ้งอู๋โจ้วไม่รู้ว่าเขาอืมกับสิ่งใด จู่ๆ จิ้งอู๋โจ้วก็หวาดกลัวสิ่งที่บุรุษผู้นี้จะเอ่ย เพราะไม่ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด ก็รู้สึกว่าไม่ใช่คำพูดที่ดีแน่
“เหตุใดเมื่อครู่เจ้ารู้ว่าข้าเป็นสหายร่วมสายของเจ้า” เยี่ยนจิ่วเฉากลับเข้าประเด็น
จู่ๆ เขาก็จริงจังขึ้นมา จิ้งอู๋โจ้วรู้สึกไม่ชิน เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่เผ่ามาร แน่นอน ว่าต้องเป็นฝ่ายเรา หรือว่าจะเป็นฝ่ายที่สามละ?”
ฟังจากคำพูดของเขา ดูเหมือนที่นี่มีเพียงสองฝ่าย นั่นคือเผ่ามารและพวกเขา เรื่องราวเป็นเช่นนี้ง่ายขึ้นเยอะ หากเด็กๆ ไม่ได้อยู่ในเผ่ามาร ก็อยู่ในอาณาเขตของผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้
“พวกเจ้าคงมาเพราะเมล็ดมารเช่นกันกระมัง?” จิ้งอู๋โจ้วกล่าว
“เมล็ดมาร?” ดวงตาเยี่ยนจิ่วเฉามีประกายวาบผ่าน “เจ้าเองก็มาเพื่อสิ่งนี้หรือ?”
จิ้งอู๋โจ้วกล่าวว่า “แน่นอน หากเมล็ดมารสัมฤทธิ์ผล ประมุขมารก็จะมีพลังฟื้นกลับมาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”
“เจ้าบอกว่า…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” เยี่ยนจิ่วเฉาหันกลับมามองอวี๋หวั่น ทั้งคู่เห็นความประหลาดใจในดวงตาของอีกฝ่าย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์กำลังตามหา ที่แท้ก็อยู่นี่
และถ้ำที่ซ่อนอยู่ในสำนักบัณฑิตก็คือทางเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
คนตามหากลับไม่เจอ คนไม่หากลับได้เข้ามา นี่เหมือนการตั้งใจปลูกดอกไม้แต่ไม่บาน ไม่มีใจปักกิ่งหลิว แต่กิ่งหลิวกลับเติบโตให้ร่มเย็นหรือไม่?
ทว่าอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาหาได้ต้องการปักต้นหลิวนี้แม้แต่น้อย พวกเขาเพียงต้องการตามหาบุตรให้พบเร็วที่สุด
อวี๋หวั่นกระซิบ “เขาบอกว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โจวจิ่นจะมาที่นี่ด้วยหรือไม่?”
“บัดนี้ยังไม่ชัดเจน ทว่ามีความเป็นไปได้มาก” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบเธอเบาๆ
อวี๋หวั่นพยักหน้า “หากทำได้เราจะพาโจวจิ่นกลับไปด้วยกัน ส่วนยอดฝีมือกับเด็กที่หายตัวไป ก็ไม่รู้ว่าใช่ราชาหลัวช่ากับเสี่ยวเจาหรือไม่”
เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากเราจะออกไป เกรงว่าไม่ง่ายดายเช่นนั้น”
หลังจากพวกเขาเข้าไปในห้องหิน ประตูหินก็ปิดลง เป็นไปได้ว่าจะถูกตัดการเชื่อมต่อกับต้าโจว แน่นอน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมแพ้ที่จะหาทางกลับไป ทว่าบัดนี้ต้องตามหาบุตรให้พบก่อน
“เจ้าอยู่ที่นี่มานานเพียงใดแล้ว?” เยี่ยนจิ่วเฉาหันมองจิ้งอู๋โจ้ว
จิ้งอู๋โจ้วกล่าวว่า “ข้าเพิ่งมา ก็พบพวกเจ้าทั้งสอง เพราะอยู่ใกล้วังมาร ข้าเลยคิดว่าทั้งสองเป็นสมุนของเผ่ามาร”
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองที่สมุดบันทึกในมือแล้วเอ่ยว่า “ระหว่างทางมาที่นี่ เจ้าพบเด็กบ้างหรือไม่?”
สีหน้าจิ้งอู๋โจ้วพลันตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน “หรือว่าท่านจิ่วเฉา…”
“เรียกข้าว่าปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉา” เยี่ยนจิ่วเฉาขัดคำพูดเขาอย่างไร้ความปรานี
จิ้งอู๋โจ้ว “…”
จิ้งอู๋โจ้วกัดฟัน อยากบอกกับเขามากว่าโลกนี้ไม่มีปรมาจารย์เซียน แม้แต่ปรมาจารย์เต๋าก็หาได้แต่งตั้งตนเอง ทว่าเป็นตำแหน่งของยอดฝีมือผู้มีระดับสูงสุดแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีคนอ้างตนว่าเป็นปรมาจารย์เซียน ปรมาจารย์เต๋าที่ใด?
คนผู้นี้มากความสามารถ เหตุใดมีสมอง…ประหลาดเช่นนี้?
จิ้งอู๋โจ้วกำลังจะย้อนกลับไป แต่จู่ๆ เถาวัลย์ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นจากพื้นมามัดร่างพวกเขาทั้งสาม จิ้งอู๋โจ้วชักดาบปล่อยพลังไอกระบี่อันเย็นเยียบ ก็เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว บีบเถาวัลย์ที่พันร่างเขาและเอ่ยอย่างน่ารังเกียจว่า “น่าเกลียดยิ่งนัก”
หลังถูกเยี่ยนจิ่วเฉาสัมผัส เถาวัลย์คล้ายกับสะดุ้งตกใจ ส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะมุดกลับลงดินอย่างรวดเร็ว!
จิ้งอู๋โจ้วตกตะลึง
นี่มันอะไรกัน? เหตุใดเถาวัลย์ปีศาจเหล่านี้ถอยกลับอย่างไม่คิดสู้? เพียงเพราะบุรุษผู้นี้…สัมผัสด้วยปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย?
อันที่จริงเถาวัลย์ปีศาจเหล่านี้หาได้เก่งกาจ จิ้งอู๋โจ้วคนเดียวก็จัดการได้ ทว่าไม่ง่ายดายเช่นเยี่ยนจิ่วเฉา
เถาวัลย์ปีศาจพวกนั้นคล้ายหวาดกลัวบุรุษหนุ่มผู้นี้มาก เพราะเหตุใดกัน?
จิ้งอู๋โจ้วถามอย่างตะลึง “เมื่อครู่เจ้า…เจ้าทำอะไรพวกมัน?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไร” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเบาๆ
จิ้งอู๋โจ้วไม่เชื่อ “เช่นนั้นเหตุใดพวกมันถึงกลัวแล้วหนีไป?”
เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อาจเป็นเพราะ…ข้าคือปรมาจารย์เซียน?”
จิ้งอู๋โจ้ว “…”
เมื่อเกิดเหตุการณ์เถาวัลย์ปีศาจ จิ้งอู๋โจ้วก็ระแวงสงสัยเยี่ยนจิ่วเฉามากขึ้น จิ้งอู๋โจ้วพยายามสอดแนมระดับพลังของเยี่ยนจิ่วเฉาหลายครั้ง แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่มีระดับพลัง มีคำอธิบายเพียงสองอย่างคือ หากเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่เป็นพวกฝึกหัด เช่นนั้นระดับพลังของเยี่ยนจิ่วเฉาก็อยู่เหนือเขา!
จิ้งอู๋โจ้วรู้สึกว่าอย่างแรกไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างไรเมื่อครู่ตนก็ประมือกับอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาจริง คงตายอยู่ใต้ไอกระบี่ของเขาไปนานแล้ว
แต่จิ้งอู๋โจ้วไม่มีทางเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์เซียนจริงๆ หากทะลุผ่านระดับเทียนก็สูงกว่าระดับของเขาเพียงเล็กน้อย อาจจะเป็นระดับเทียน?
แม้จิ้งอู๋โจ้วจะอยากสืบถามจากเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ไหนเลยเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่เพียงแต่ไม่ได้ถามอะไรจากเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉายังได้ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปจากเขาไม่น้อย
ที่แท้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นคำเรียกโลกฝั่งนี้ของผู้บำเพ็ญสายตรงอย่างพวกเขา อันที่จริงมันถูกเรียกว่าแผ่นดินใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ มีชาติพันธุ์ที่ต่างกันสองสามเผ่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นที่อยู่ของผู้ชอบธรรม ส่วนดินแดนที่เก้าคือที่อยู่ของเผ่ามาร
เมื่อสามพันปีก่อน เผ่ามารได้ยกทัพโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองเผ่าต่อสู้กัน ต่างฝ่ายก็บาดเจ็บสาหัส แต่สุดท้ายด้วยทักษะที่สูงกว่า ประมุขศักดิ์สิทธิ์ใช้กระบี่สังหารประมุขมาร ทว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ต้องแลกด้วยการแผดเผาชีวิตตนเองเพื่อเพิ่มพลัง และไม่นานเขาก็ล้มลง
ทว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์และประมุขมารสุดยอดปรมาจารย์ทั้งสองล้มง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ?
ว่ากันว่าทั้งสองต่างหลงเหลือเศษเสี้ยวดวงจิตไว้ ผู้มีเศษเสี้ยวดวงจิตของทั้งสองก็คือร่างที่กลับชาติมาเกิด
“เมล็ดมารนั่น ก็คือดวงจิตของประมุขมาร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
จิ้งอู๋โจ้วพยักหน้า “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ยามนั้นประมุขมารได้รับบาดเจ็บมากกว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ ดวงจิตของเขาจึงอ่อนแอกว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องการไออุ่นจากโลหิตปีศาจหล่อเลี้ยง ถึงจะกลับมาได้อีกครั้ง”
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “ฟังจากความหมายของเจ้า ก็แปลว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าได้จุติใหม่แล้ว? คงมิใช่ว่า เขาไม่ได้จุติใหม่ที่นี่แล้วไปจุติที่อื่นหรอกกระมัง? ให้ข้าเดา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดทางเข้าทั้งสี่ก็เพื่อต้อนรับประมุขศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นกลับมาใช่หรือไม่?”
จิ้งอู๋โจ้วตระหนักได้ทันทีว่าตนได้เอ่ยสิ่งที่ไม่ควรออกไป จึงรีบปิดปากไม่พูดจา
เหอะๆ พวกเจ้าเองยังไม่รู้เลยว่าผู้ใดคือประมุขศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงจับมามั่วๆ ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปมากมายเช่นนั้น
……………………