หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 21 หนี
“ที่เขาเอ่ยมาเป็นความจริงทั้งหมดหรือ?” อวี๋หวั่นถามเยี่ยนจิ่วเฉาเบาๆ
เวลานี้พวกเขามาถึงสวนผลไม้ในดินแดนเผ่ามารแล้ว
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ทางเดียวที่จะไปยังวังมาร แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ก็เป็นทางที่เร็วที่สุด เรื่องความเสี่ยงไม่จำเป็นต้องเอ่ย บัดนี้แล้วยังมีผู้ใดสนใจ?
“ส่วนใหญ่เป็นความจริง ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับตัวตนของเขา…” เยี่ยนจิ่วเฉากวาดตาขึ้นลง มองจิ้งอู๋โจ้วที่เดินนำทางอยู่ด้านหน้า “เกรงว่าจะคุยโวไปบ้าง”
“อ๋อ” หากข้อมูลถูกต้องก็ดี ส่วนตัวตนของผู้บำเพ็ญวัยกลางคนผู้นั้น อวี๋หวั่นหาได้สนใจสักนิด
เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่ได้สนใจ เขาสนใจว่าอีกฝ่ายจะนำทางไปถูกหรือไม่เท่านั้น
“เจ้าแน่ใจรึว่าไม่ได้มาผิดทาง?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม “เจ้าบอกว่านี่คือสวนผลไม้ของเผ่ามาร แต่เราเดินมานานแล้ว กลับไม่เจอทหารเผ่ามารสักคน คงไม่ได้มาผิดทางกระมัง?”
“เป็นไปไม่ได้! เมื่อสองสามวันก่อน ข้าเพิ่งมาที่นี่!” จิ้งอู๋โจ้วเอ่ยอย่างมั่นใจ
เป็นเรื่องจริง เขาเคยมาที่นี่และยังมาพร้อมกับกลุ่มผู้บำเพ็ญสายตรง พวกเขาลอบโจมตีวังมารกลางดึก ทว่าผลสุดท้ายเผชิญกับการขยี้ของเผ่ามารและหนีออกมาจากสวนผลไม้แห่งนี้
สิ่งที่เขาไม่ได้บอกเยี่ยนจิ่วเฉาคือ หลังจากข่าวการกำเนิดร่างใหม่ของเมล็ดมารถูกเปิดเผย ที่แห่งนี้ก็มิได้ถูกโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายตรงเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่ทุกคนมาเพื่อสังหารทหารเผ่ามาร คนไม่น้อยก็ต้องการใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้
ผู้บำเพ็ญสายตรงเหล่านั้นที่ตายไปไม่จำเป็นต้องมีของดี? ในวังมารไม่มีของดีหรือ? หากฉวยติดมือมาได้ก็พอให้มีกินไปตลอดชีวิตแล้ว
จิ้งอู๋โจ้วเป็นหนึ่งคนที่มาฉกฉวยประโยชน์
ประมุขมารกำลังจะกลับมา วังมารต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ คราวก่อนเขาไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือกลับไป คืนนี้เขาจึงเอาชีวิตมาเสี่ยงโชคอีกครั้ง อย่างไรเขาก็เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว นับว่าคุ้นที่คุ้นทางอยู่บ้าง รู้ว่าในยามวิกฤติควรซ่อนตัวที่ใด
เพียงแต่ผู้ซึ่งเรียกตนว่าปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉานี้ก็ถามไม่ผิด ทหารเผ่ามารไปอยู่ที่ใดกันนะ?
มิใช่ยังไม่เริ่มสู้กันหรอกหรือ? เหตุใดยอดฝีมือที่นี่ดูเหมือนกับถูกโยกย้ายไปหมดแล้ว?
ไหนเลยจิ้งอู๋โจ้วจะเดาได้ว่า การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้น แต่ศพของทหารเผ่ามารซึ่งโจวจิ่นกับหลัวช่าน้อยสังหารในวังมารถูกพบแล้ว ทั้งหมดมียี่สิบถึงสามสิบนาย ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่คนอื่นไม่รู้ เผ่ามารคาดเดาว่าคงมิได้มีผู้บำเพ็ญสายตรงระดับสูงกว่าขั้นเทียนแอบเข้ามาสองสามคน บัดนี้ทั่วทั้งวังมารต่างเพิ่มกำลังคุ้มกัน กระทั่งทหารผู้ดูแลสวนผลไม้ก็ยังถูกย้ายไปเฝ้าวังมาร
“ท่านว่าต้าเป่ากับคนอื่นๆ จะอยู่ในวังมารหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาจูงมือเธอ “เจ้าคิดว่าอย่างไรละ?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า มืออีกข้างหนึ่งกุมหัวใจ “ไม่รู้สิ แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเขาอยู่ใกล้ข้ามาก”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “เช่นนั้นก็อยู่ในวังมาร”
อวี๋หวั่นถามว่า “หากไม่เป็นเช่นที่ข้ารู้สึกละ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาบีบมือเธอเพื่อปลอบโยน “หากไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเป็นอันตรายก็ถูกตัดออกไป”
ตามที่จิ้งอู๋โจ้วกล่าว สถานที่ที่อันตรายที่สุดในละแวกนี้คือวังมาร
อวี๋หวั่นก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น จึงปล่อยวางความสับสน เธอเงยหน้ามองกิ่งไม้เหนือหัว “ผลไม้พวกนี้ดูน่าอร่อยยิ่งนัก”
“อยากกินหรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาเด็ดมาผลหนึ่ง
สีหน้าจิ้งอู๋โจ้วเปลี่ยนไป “ไม่ได้นะ! ระวังพิษ!”
อวี๋หวั่นกะพริบตา “ผลไม้เหล่านี้ดูไม่เหมือนว่ามีพิษเลย”
จิ้งอู๋โจ้วเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ไม่ใช่ผลไม้ แต่เป็นแมลงบนผลไม้!”
เมื่อได้ยินจิ้งอู๋โจ้วกล่าวเช่นนั้น อวี๋หวั่นก็เห็นแมลงสีดำตัวเล็กๆ บนผลไม้ อันที่จริงหลังจากอวี๋หวั่นมีสัตว์พิษตัวน้อย ก็ไม่ได้สนใจเรื่องแมลงมากนัก อย่างไรก็ไม่มีแมลงตัวใดกล้ากัดเธอ
จิ้งอู๋โจ้วกล่าว “นี่คือแมลงมาร มันมีชีวิตด้วยการดูดกลืนไอมาร”
อวี๋หวั่นใช้นิ้วจิ้มแมลง “มันไม่ขยับเลย ตายแล้วหรือ?”
จิ้งอู๋โจ้วตกใจกับการกระทำของอวี๋หวั่น เขายังอธิบายไม่ชัดเจนพออีกหรือ? สมองนางก็ถูกปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาอะไรนั่นทำลายไปแล้ว? นี่คือแมลงมารเลยนะ แมลงมาร กัดทีเดียวถึงตายได้เลย!
ยังกล้าเอานิ้วไปจิ้ม!
จิ้งอู๋โจ้วกล่าวว่า “มันไม่ได้ตาย มันกำลังดูดไอมาร เมื่อมันดูดกลืนจนพอก็จะเริ่มโจมตีผู้บุกรุกสวนผลไม้”
อวี๋หวั่นมุ่ยปาก “ท่าทางเช่นนี้คือดูดกลืนไอมาร?” เช่นนั้นสัตว์พิษตัวน้อยของเราก็กินไม่ค่อยน่าดูเหมือนกันใช่หรือไม่?
สัตว์พิษตัวน้อยที่นั่งจับไอมารกินอยู่ในแขนเสื้อของอวี๋หวั่นอย่างหยุดกินไม่ได้ ราวกับกินเหมียนฮวาถัง “…”
ไม่นานก็จะออกจากสวนผลไม้แล้ว อวี๋หวั่นสังเกตเห็นจิ้งอู๋โจ้วใส่ยาเม็ดเข้าปากอยู่เรื่อยๆ เธอครุ่นคิดแล้วถามว่า “เจ้าป่วยหรือ?”
จิ้งอู๋โจ้วที่เพิ่งกลืนยาเม็ดเข้าไปแทบจะสำลักตาย!
หมายความเช่นไรที่ว่า…เขาป่วย[1]?
พูดดีๆ ได้หรือไม่?
มีผู้ใครชักชวนคนเสวนาเช่นนี้?
จิ้งอู๋โจ้วกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งกว่ายาเม็ดจะไหลลงคอ จากนั้นเขาก็มองอวี๋หวั่นและเอ่ยว่า “ที่ข้ากินเป็นยาขจัดมาร ป้องกันไม่ให้ไอมารเข้าสู่ร่างกาย เจ้าไม่กินหรือ?”
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ เยี่ยนจิ่วเฉามีวิชาอายุวัฒนะปกป้องร่างกาย ไม่จำเป็นต้องกิน เธอก็มีสัตว์พิษตัวน้อยที่คอยกัดกินไอมารจึงไม่จำเป็นเช่นกัน แต่หากบอกไปเกรงจะเป็นการเปิดเผยบางสิ่ง เธอจึงเอ่ยว่า “กินสิ ฤทธิ์ยาดีกว่าของเจ้าอีก เม็ดเดียวป้องกันได้ทั้งวัน!”
ที่เอ่ยถึงคือยาเม็ด แต่เหตุใดจิ้งอู๋โจ้วถึงได้รู้สึกแสบๆ คันๆ!
ขณะที่จิ้งอู๋โจ้วกินยาอีกเม็ด ก็ฝืนใจอธิบายว่า “ข้าไม่กลัวหรอก จริงๆ!”
ความเป็นจริงชี้ชัดว่าจิ้งอู๋โจ้วนำทางได้แบบงูๆ ปลาๆ จริงอยู่ที่เขาเดินไปตามเส้นทางหลบหนีครั้งก่อน ทว่าเส้นทางที่ใช้หลบหนีอาจไม่ใช่เส้นทางที่ถูกที่สุด ไม่เช่นนั้นทั้งสามคงไม่เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงใต้ดินของวังมาร
มองสุสานไร้จุดสิ้นสุด จิ้งอู๋โจ้วไม่เพียงแต่ไม่สบายใจ ยังเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย
“เอ่อ…ข้า…จริงๆ แล้ว…แค่กๆ…” ยังไม่ทันเอ่ยจบ อวี๋หวั่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเป็นอะไรหรือ?”
อวี๋หวั่นถามเยี่ยนจิ่วเฉา สีหน้าเยี่ยนจิ่วเฉาดูผิดปกติไป คล้ายกับค้นพบบางสิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปที่เนินหลุมฝังศพ คุกเข่าลงสัมผัสดินเหนียวบนพื้นอย่างพิจารณา
อวี๋หวั่นมาหาเขา “พบสิ่งใดหรือ?”
“ที่นี่มีคนใช้พลังเวท” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
วิชาอายุวัฒนะไม่อาจสัมผัสถึงพลังเวทได้ ทว่าหลัวช่าวิญญาณทำได้ ต้นกำเนิดของหลัวช่าวิญญาณที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉากลืนกิน ถือได้ว่าเป็นตระกูลเดียวกับเผ่าพ่อมด เขาจึงรับรู้ถึงพลังของเผ่าเดียวกันที่ใกล้จะจางหายไปในอากาศได้อย่างรวดเร็ว
“หรือจะเป็นโจวจิ่น?” คนรอบกายอวี๋หวั่นที่สามารถใช้พลังเวทได้มีไม่มาก และโจวจิ่นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมายังโลกฝั่งนี้ ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงอดสงสัยไม่ได้
“เวลานี้ยังบอกไม่ได้ แต่…เจ้าดูนั่นสิ” เยี่ยนจิ่วเฉาชี้ไปที่รอยเท้าเล็กๆ บนหลุมศพ
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย “ของพวกต้าเป่า!”
เธอเลือกรองเท้าให้ไข่น้อยทั้งสามด้วยตัวเอง ลายบนพื้นเท้าเธอย่อมรู้ดี
อวี๋หวั่นตื่นเต้นมากที่พบร่องรอยของพวกเขาอีกครั้ง ทว่าในขณะเดียวกันก็อดกังวลไม่ได้ ที่นี่คือวังมาร พวกเขามาที่นี่จะเจอกับอันตรายใดหรือไม่?
เยี่ยนจิ่วเฉาลุกขึ้นมองเข้าไปในส่วนลึกของหลุมฝังศพ “หากพวกเขากับโจวจิ่นอยู่ด้วยกัน เวลานี้ก็น่าจะกำลังหาทางออกแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดาไม่ผิด หลังจากรวมตัวกับไข่น้อยทั้งสาม โจวจิ่นก็เริ่มคิดหาวิธีออกจากวังมาร
แน่นอน ไข่น้อยทั้งสามยังมีสหายใหม่ด้วย พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไว้ข้างหลังได้
พวกเขาไปสวนสัตว์ประหลาด
เดิมทีนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ถูกโยนเข้าไปในสวนสัตว์ประหลาดเพื่อเป็นอาหาร ทว่านกหลวนศักดิ์สิทธิ์ชาญฉลาดนัก มันเข้าใจว่าแม้ตนจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจสู้ศัตรูที่จำนวนมากกว่า มันจึงไม่ต่อสู้ ล้มลงกับพื้นทันทีที่เข้าไป แกล้งตายสนิทอย่างที่ไม่มีสนิทไปกว่านี้
พวกสัตว์ประหลาดไม่ชอบกินของที่ตายแล้ว
ขณะที่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะกลั้นหายใจต่อไปไม่ไหวแล้ว โจวจิ่นก็ใช้พลังเวทอีกครั้ง เขาสะกดจิตสัตว์ประหลาดทั้งหมดและช่วยนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อย่างปลอดภัย
โจวจิ่นที่ฝืนใช้พลังเวทมากเกินไป ใบหน้าขาวซีด
พวกเขาขี่หลังนกหลวนศักดิ์สิทธิ์บินขึ้นฟ้า
ชายชราที่ตกนรกทั้งเป็น “…”
พวกเจ้าไม่ได้ลืมอะไรทิ้งไว้จริงๆ หรือ?
ทีแรกนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจจะบินตรงออกจากวังมาร ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือบินไปได้ครึ่งทาง ห่าฝนธนูก็ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับตาข่ายใหญ่ นกหลวนศักดิ์สิทธิ์รีบบินลงต่ำ ลอดผ่านฝนธนูชั้นนี้ไปได้
เมื่อเห็นว่าลูกธนูไม่ได้ผล ทหารเผ่ามารจึงเปลี่ยนเป็นหอก
หนึ่งคนหอกหนึ่งเล่ม รวดเร็วดั่งสายฟ้า
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์เริ่มการแสดง ไปซ้ายทีขวาที บินคว้างขึ้นลงกลางอากาศ หลบการโจมตีทั้งหมดได้อย่างสวยงาม
เวลานี้ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารเดินออกมา เขาเปลี่ยนพลังงานในร่างกายเป็นหอกดำวาววับ ยิงไปที่หัวใจของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์!
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ได้รับพลังกดดันมหาศาลของเผ่ามาร ความเร็วของมันลดลงเฉียบพลันและบินลงต่ำอีกครั้ง ขณะที่จะหลบหอกพลังเล่มนั้น มันก็ถูกพลังกดดันบีบรัดจนกระตุกไปเล็กน้อย
“ระวัง!” โจวจิ่นกดหัวต้าเป่า
หอกพุ่งผ่านหลังต้าเป่าและตัดสายกระเป๋าเรียนของต้าเป่าขาด
เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็กลิ้งตกลงมาพร้อมกับกระเป๋าเรียน
…………………………………………
[1] ประโยคนี้หมายถึงเป็นบ้าได้ด้วย