หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 23 พ่อลูกพบหน้า กุลสตรีเยี่ยนเสี่ยวซื่อ!
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารแทบทรุดลงกับพื้น
แม้แต่โซ่เหล็กนิลก็ยังไม่อาจปรามนางได้ เจ้าหนูน้อยนี่เป็นราชามารผู้ทำลายล้างใดกันแน่?
ทหารเผ่ามารถูกเด็กหญิงผู้นี้ทรมานจนเกือบจะเป็นบ้า เหตุใดพวกเขาถึงรู้ว่านางเป็นเด็กหญิง มิใช่อย่างอื่น นั่นก็เพราะเงื่อนผูกสีชมพูสวยสดงดงามบนหัวเส้นนั้น หากเป็นเด็กชายก็แปลกแล้ว
เขาคิดไม่ตก เด็กหญิงผู้นี้มีที่มาอย่างไรกันแน่?
“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อใช้สายตาชวนหลงใหลจ้องมองเขา
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารตกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาด ลูกแพะของเขาละ? เอาแพะของเขาคืนมา!!!
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารเริ่มการละเล่นทอดทิ้งและต่อต้านการทอดทิ้งกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ยามอยู่จวนคุณชาย เยี่ยนเสี่ยวซื่อเล่นกับซิวหลัวฟันน้ำนมจนมีประสบการณ์แล้ว บางครั้งซิวหลัวฟันน้ำนมกะกำลังไม่ถูก โยนนางลอยหายไป ตอนแรกเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ไม่รู้ว่าตนจะกลับมา แต่หลังจากเล่นจนมีประสบการณ์ ยามที่ตกลงนางก็หาบางอย่างเพื่อกระแทกและเด้งกลับมาได้เกือบทุกครั้ง
แน่นอนว่าบางครั้งก็เด้งกลับมาไม่ได้
ครั้งหนึ่งซิวหลัวฟันน้ำนมได้โยนนางเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง
หัวของเยี่ยนเสี่ยวซื่อติดอยู่ในรูน้ำแข็ง ก้นน้อยๆ สั่นระริกอยู่ในสายลมหนาวเป็นเวลานาน
แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อเล่นมาครึ่งปีนี้นับว่าช่ำชองแล้ว ไม่มีผู้ใดโยนนางหายไปได้ แม้แต่ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร!
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารอ่อนระโหยโรยแรง ยิ่งกว่านั้นจิตวิญญาณยังถูกทำลายและทรมานจนป่นปี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาเป็นถึงผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร เหตุใดต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้?
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวซื่อขี่คอของเขาอีกครั้งและคว้าใบหูใหญ่ ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก็รู้สึกลึกๆ ว่าเขาไม่อาจแบกรับชะตาที่ไม่ควรแบกรับนี้อีกแล้ว
เขาเงยมองฟ้าร้องคำราม “โอ้สวรรค์ ฟ้าดิน บุตรผู้ใด รีบพานางไปที!”
“ตามที่เจ้าปรารถนา”
ฝ่ามือเรียวยาวราวกับหยกเคลื่อนผ่านคว้าเยี่ยนเสี่ยวซื่อไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อผงะ
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารเองก็ตกตะลึง อะไรกัน? ราชามารตัวน้อยที่ขี่คอเขาหายไปแล้ว?
เขาหันขวับกลับมา เห็นบุรุษรูปงามดุจเซียน อุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อจอมวายร้ายผู้ซุกซนเมื่อครู่ไว้ในอ้อมแขน แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับดูว่านอนสอนง่ายในอ้อมแขนอีกฝ่าย ไม่เพียงแต่ไม่ส่งเสียงดัง ยังอ่อนโยน น่ารัก เป็นเด็กดี เป็นกุลสตรียิ่งนัก!
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารคิดว่าตนตาฝาดไป
หนึ่ง ใต้หล้านี้มีบุรุษที่น่าทึ่งเช่นนี้ได้อย่างไร? สอง เหตุใดมีคนที่ฝึกเจ้าตัวเล็กนี้ให้เชื่องได้อยู่จริงๆ?
“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อก้มหน้าซุกอ้อมแขนบิดา มือเล็กๆ คว้าเสื้อ ถูหัวไปมา ท่าทางมีความสุขยิ่ง
“ซุกซนอีกแล้วใช่หรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“อูว้าๆ!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อส่ายหัวอย่างเด็ดขาด
ไม่รู้เหตุใด ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารที่เห็นฉากนี้พลันถอนใจอย่างโล่งใจ มีคนพานางไปก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องถูกเจ้าตัวเล็กนี่ทรมานอีก
ทว่ายังไม่ทันสุดลมหายใจ ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
คนผู้นี้เป็นใครกัน?
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักกระมัง เหตุใดจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในวังมาร?
อันที่จริงวังมารไม่ใช่วังมารที่แท้จริง วังมารดินแดนที่เก้าได้จมลงสู่ก้นทะเลลึกดินแดนที่เก้าพร้อมการจากไปของประมุขมารแล้ว วังมารแห่งนี้พวกเขาสร้างขึ้นใหม่เพื่อต้อนรับการกลับมาของประมุขมาร
พวกเขาขับไล่ผู้บำเพ็ญและชาวบ้านในละแวก ทำลายบ้านเรือนและทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์ของพวกเขา ปลูกผลมารเพื่อรักษาเสถียรภาพของไอมารที่มาจากห้วงลึกดินแดนที่เก้า
ไอมารในสวนผลไม้นั้นแข็งแกร่งที่สุด หากไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่มีระดับสูงพอ ต้องอาศัยยาจึงจะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ตรงกันข้าม ไอมารในวังมารกลับมิได้รุนแรงนัก ดังนั้นผู้บำเพ็ญสายตรงที่มาที่นี่จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ทว่าบุรุกเข้ามาได้ก็น่าประหลาดใจแล้ว
“เจ้าเป็นใคร?” ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารถามอย่างเย็นชา
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเขาด้วยแววตาเย่อหยิ่งและเต็มไปด้วยไอสังหาร
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารคิดว่าเขาจะเอ่ยว่า ‘คนที่ต้องการชีวิตเจ้า’ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยว่า “ปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉา”
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร “…”
หา? ปรมาจารย์เซียน?
ผู้บำเพ็ญสายตรงเดี๋ยวนี้ ไร้ยางอายเช่นนี้แล้วหรือ?
“พี่ชายของเจ้าอยู่ที่ใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อส่ายหัว “อูว้าๆ~”
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มบุตรีจะเดินออกไป
“หยุดนะ!” ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารตะโกนถาม “ข้าอนุญาตให้เจ้าไปแล้วรึ? เจ้าคิดว่าวังมารเป็นที่ใด? อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปรึ? ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเจ้า อย่าได้ไม่เห็นเผ่ามารอยู่ในสายตาเกินไป! ในเมื่อวันนี้มาแล้ว ก็อย่าคิดจะไปเลย!”
“เจ้าอยากให้ข้าอยู่ต่อหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามอย่างเฉยเมย
“แน่นอน!” ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารกล่าว
เยี่ยนจิ่วเฉานิ่งเงียบ
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารคิดว่าเขาจะเอ่ยว่า ‘เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว’
แต่ไม่ใช่
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัด ชี้ไปที่เรือนทางทิศตะวันออก “เช่นนั้นข้าเอาเรือนนั้น”
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารตกตะลึงจนพูดไม่ออก เจ้า เจ้ายังจะเลือกเรือนได้อีกหรือ? เจ้าเป็นใครกัน!!!
ราวกับอ่านใจเขาได้ เยี่ยนจิ่วเฉาเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉา”
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารสำลักอย่างแรง “…”
“ไม่มีเรือนหรือ? เช่นนั้นยังจะให้อยู่ต่อ?” เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัดอย่างเย็นชา สาวเท้าจากไปพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ไม่สนใจผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารโกรธจัด ใบหน้าดุดัน กำหมัดแน่น “ข้าบอกว่า! พวกเจ้าหน้าไหนก็ไปไม่ได้!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาปลุกไอมารในกาย ราวกับเปลวไฟสีดำลุกโหมทั่วร่าง เขายกกำปั้นพุ่งกระแทกหลังเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไร้ความปรานี
นี่เป็นหมัดหนัก เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายรับการโจมตีนี้ไม่ได้แน่
เยี่ยนจิ่วเฉารับไม่ได้จริงๆ โลกฝั่งนี้แตกต่างจากต้าโจวและหนานจ้าวมาก เขายังไม่คุ้นเคยกับวิธีการที่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะรับมันอยู่แล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉายกเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้น ใช้หญ้าเล็กๆ ปัดที่จมูกของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคันจมูกยุบยิบ ร่างเล็กสั่นสะท้าน “ฮัดชิ่ว!”
“ข้าน่ะ!”
ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารถูกแรงลมพัดปลิวไป…
…
กุลสตรีซื่อที่ทำให้ผู้พิทักษ์ใหญ่ปักเข้ากับกำแพงหินโคลนจนดึงก็ดึงไม่ออกกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองฟ้า
นางไม่ได้ทำ นางไม่ได้ทำ นางไม่ได้ทำ…
เยี่ยนจิ่วเฉาพาทารกหญิงออกจากเรือน เดินเลี้ยวขวามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อวี๋หวั่นและจิ้งอู๋โจ้วกำลังรออยู่
จิ้งอู๋โจ้วรู้ว่าที่นี่คือเรือนของผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร ดังนั้นเมื่อครู่เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยว่าจะเข้าไปดู เขาจึงใช้ข้ออ้างเฝ้าอารักขาเพราะไม่กล้าเข้าไป
เขาขลาดกลัวเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีอันตราย เยี่ยนจิ่วเฉาจึงบอกให้อวี๋หวั่นรออยู่ที่นี่
จิ้งอู๋โจ้วเอ่ยในใจ เจ้านี่ใจกว้างเสียจริง ไม่กลัวข้าจะลักพาตัวภรรยาเจ้าไป หลังจากที่เจ้าตาย สตรีงดงามหยดย้อยเช่นนี้ ขายได้ราคาดีทีเดียว แต่หากจิ้งอู๋โจ้วรู้ว่าในแขนเสื้อของอวี๋หวั่นมีจักรพรรดิสัตว์พิษตัวน้อยที่นั่งกลืนกินไอมารอยู่ตลอดเวลา เขาก็คงไม่คิดเช่นนั้น
จิ้งอู๋โจ้วไม่คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะออกมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังอุ้มทารกออกมาด้วย เขาตกตะลึง
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกายเดินเข้าไป อุ้มบุตรีไว้ในอ้อมแขน “เป็นอย่างไรบ้าง เสี่ยวซื่อไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมีหลายคำเรียก เยี่ยนอ๋องเรียกนางว่าเยียนเอ๋อร์ เซียวเจิ้นถิงเรียกนางว่าเสี่ยวอิงเถา ซั่งกวนเยี่ยนเรียกนางว่าเสี่ยวนันนัน ข้ารับใช้ในบ้านเรียกนางว่าคุณหนูน้อย กระทั่งอวี๋หวั่นยังสับสน จึงมักเรียกนางว่าเสี่ยวซื่อ
“อูว้าอูว้า!” เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนสบายดี เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงบิดก้นไปมาอย่างแรงในอ้อมแขนมารดา
อวี๋หวั่นเห็นว่าบุตรีไม่เป็นไร ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็พบว่าเสื้อผ้าของบุตรีเปลี่ยนไป ข้ารับใช้บอกว่า เมื่อเช้านางสวมชุดที่งดงาม ทว่าในยามนี้ สิ่งที่พันรอบตัวนางกลับดูเหมือน…เอ่อ เสื้อคลุมมากกว่า
อวี๋หวั่นกางแขนเสื้อออก จากความยาวเช่นนี้ ดูเหมือนเป็นของเด็กหนุ่ม
อวี๋หวั่นพลันนึกถึงโจวจิ่นขึ้นมา
พลังเวทในสุสาน รอยเท้าของไข่น้อยทั้งสาม และเสื้อคลุมยาวบนตัวบุตรี อวี๋หวั่นแทบจะสรุปได้แล้วว่าเด็กๆ ได้พบกับโจวจิ่น
แต่เหตุใดมีเพียงบุตรี ไม่พบโจวจิ่นกับพวกบุตรชายละ?
อวี๋หวั่นมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าใจและเอ่ยกับเธอว่า “พวกเขาไม่ได้อยู่ข้างใน เป็นไปได้ว่าอาจอยู่ที่ตำหนักอื่น เราไปตามหากันดูอีกที”
“อื้ม!” อวี๋หวั่นพยักหน้า
เยี่ยนจิ่วเฉาหันไปมองจิ้งอู๋โจ้ว “คนที่ถูกเผ่าปีศาจจับมาถูกขังไว้ที่ใด?”
จิ้งอู๋โจ้วกล่าวว่า “ปกติแล้วเป็นคุกใต้ดินและสุสาน นอกจากนี้ยังมีโลงศพสองแห่งที่พิเศษมาก ได้ยินว่าต้องตั้งไว้บนแท่นบูชา เด็กนี่เป็นบุตรีของพวกเจ้าหรือ? พวกเจ้า…ไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำลายวังมาร แต่เพื่อตามหาคนรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบ แต่ถามกลับอย่างเย็นชา “แท่นบูชาอยู่ที่ใด?”
เหตุผลที่ยกเว้นคุกใต้ดินกับสุสาน เพราะพวกเขาเคยไปหาที่สุสานแล้ว ส่วนคุกใต้ดินใช้กักขังคนธรรมดา เยี่ยนจิ่วเฉาเชื่อว่าโจวจิ่นผู้ซึ่งครอบครองพลังเวทที่ทรงพลังไม่มีทางเป็นคนธรรมดา
โลงศพพิเศษสองแห่ง โลงหนึ่งต้องเป็นของโจวจิ่นแน่
……………………