หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 24 พี่จิ่วออกโรง!
การออกตามหาโจวจิ่นก่อน ไม่ใช่เพราะเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นไม่สนใจไข่น้อยทั้งสามแล้ว แต่ในหมู่เด็กๆ พวกนั้น มีเพียงเบาะแสของโจวจิ่นที่พอเป็นไปได้ จึงต้องตามเบาะแสนี้ไปก่อนเป็นธรรมดา
หาสิ่งที่หาได้ก่อน จากนั้นค่อยคิดหาวิธีค้นหาสิ่งที่ไม่มีเบาะแสต่อไป
บุตรชายสำคัญ โจวจิ่นก็สำคัญ ทั้งสองต่างเป็นคนที่ชีวิตพวกเขาไม่อาจขาดไปได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าแท่นบูชาอยู่ที่ใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามจิ้งอู๋โจ้ว
จิ้งอู๋โจ้วกล่าวว่า “รู้สิ ข้าเคยมาแล้ว ข้าย่อมต้องรู้!”
จิ้งอู๋โจ้วไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงตอบไปรวดเร็วเช่นนี้ ราวกับว่าหากช้ากว่านี้ จะทำให้อีกฝ่ายโกรธและนำพาผลพวงที่ไม่อาจรับได้มาแก่ตน
จิ้งอู๋โจ้วรู้สึกว่าตนนั้นขลาดกลัวเร็วไปเช่นกัน เขาคิดจะดึงความเข้มแข็งกลับมาสักหน่อย แต่เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นำทางไป”
“ขอรับ!”
จิ้งอู๋โจ้วอยากสำลักตาย หากบอกไปคงไม่เชื่อ ปากของเขามีความคิดเป็นของตัวเอง มันไม่ฟังคำสั่งเขาเลย!
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สนใจความคิดในใจของจิ้งอู๋โจ้ว เขาแค่ต้องการตามหาโจวจิ่นกับเด็กทั้งสามโดยเร็วที่สุด
จิ้งอู๋โจ้วเดินนำทาง “ในวังมารมีแท่นบูชาสองแห่ง พวกเจ้าจะไปหาแห่งใด?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเฉยเมย “ที่ใดใกล้ ก็ไปที่นั่นก่อน”
“ได้เลย!” จิ้งอู๋โจ้วเอ่ยจบก็เงียบไปสองวินาที
เขาอยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ
แท่นบูชาล้วนตั้งอยู่ที่โถงมืด แท่นบูชาที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยก้าว ทั้งสามหลบทหารเผ่ามารลาดตระเวนไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายแรก
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงใช้มือข้างหนึ่งอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อ อีกข้างหนึ่งจูงอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นอยากบอกว่าให้เธออุ้ม แต่เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อติดบิดาผู้งดงามของนาง มืออ้วนโอบคอเยี่ยนจิ่วเฉา น้ำลายไหลเปียกเขาไปทั้งตัว ไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่น้อย!
“ข้าขอเตือนไว้ก่อน ที่นี่มีม่านพลัง เราไม่มีกุญแจ เกรงว่าจะเข้าไปไม่ได้ ไม่สู้หลบซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ข้างทางก่อน รอดูว่ามีผู้ใดผ่านมาหรือไม่ ค่อยขโมยกุญแจจากพวกเขา…”
ขณะที่จิ้งอู๋โจ้วกำลังพล่ามไม่หยุด ก็เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาพาภรรยากับบุตรข้ามม่านพลังเข้าไปแล้ว
หากไม่สัมผัส ม่านพลังก็เหมือนกับไม่มีตัวตน แต่เมื่อผ่านไปจะปรากฏม่านแสงคล้ายคลื่นน้ำ ดังนั้นจิ้งอู๋โจ้วจึงมองเห็นได้ชัดเจน หากไม่เป็นเช่นนั้น เกรงว่าจิ้งอู๋โจ้วคงคิดว่าม่านพลังนั้นไม่ได้มีอยู่จริงๆ เสียแล้ว
แต่…พวกเจ้ามีกุญแจอยู่กับตัวหรือ? เข้าไปง่ายดายเช่นนี้?!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อออดอ้อนบิดาอยู่ในอ้อมแขน “อูว้าอูว้า~”
จิ้งอู๋โจ้วยืดอกแล้วเอ่ยในใจว่า ข้าไม่เข้าไปเด็ดขาด คราวนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ฟังคำสั่งพวกเจ้า!
“พวกเจ้า ไปหาทางนั้น!”
“ขอรับ!”
เมื่อเสียงการสนทนาของทหารเผ่ามารดังมาจากที่ไม่ไกล จิ้งอู๋โจ้วพลันสติแตก เดินตามเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าไปอย่างลนลาน
แท่นบูชาตั้งอยู่กลางโถงมืด หาได้อย่างง่ายดาย เมื่อพวกเขามาถึงหน้าแท่นบูชา แท่นบูชาก็เริ่มดึงพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างกายของโจวจิ่นอย่างบ้าคลั่ง โจวจิ่นเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ใบหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นผุดพรายออกมา
“พวกเจ้าถอยไปก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาส่งบุตรีให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อถอยออกไปหลายก้าว
ส่วนจิ้งอู๋โจ้วไม่กล้าเข้าใกล้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“แล้วนั่น เขาจะทำอะไร?” จิ้งอู๋โจ้วถามอวี๋หวั่นที่ถอยกลับมายืนใกล้ๆ ตน
อวี๋หวั่นชำเลืองมองเขา “เรียกปรมาจารย์เซียนยากเย็นนักหรือ? เขาอย่างนั้น เขาอย่างนี้ คนนิกายศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้า ไม่รู้จักมารยาทเพียงนี้?”
จิ้งอู๋โจ้ว “…”
แม่นาง นี่เจ้าจริงจังหรือ? ช่วงเวลาเป็นตาย สิ่งที่เจ้าสนใจคือเรื่องนี้?
จิ้งอู๋โจ้วไม่ได้คำตอบจากอวี๋หวั่น แต่ถึงอวี๋หวั่นไม่พูด เขาก็ดูออกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะทำสิ่งใด
เยี่ยนจิ่วเฉาถือดาบที่ควบแน่นด้วยกำลังภายในของวิชาอายุวัฒนะ เขากำลังจะแยกแท่นบูชามาร!
บางอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เข้าใจ แต่สัญชาตญาณต่อความอันตรายเขายังมีอยู่ แท่นบูชามารกำลังดูดพลังภายในกายของโจวจิ่นอย่างบ้าคลั่ง หากผลีผลามดึงโจวจิ่นออกมา ไม่เพียงแต่อาจทำให้โจวจิ่นได้รับผลกระทบจากพลังสะท้อนกลับ ยังอาจทำให้พลังของตนเองถูกเจ้าแท่นบูชานี่ดูดเข้าไปด้วย
ดังนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาจึงต้องการทำลายมัน
“เจ้าจะบ้าหรือ? นี่คือแท่นบูชามาร! เจ้า…ทำลายไม่ได้!”
แน่นอนว่าแท่นบูชามารยากจะทำลาย แต่เยี่ยนจิ่วเฉามีสัญชาตญาณบางอย่าง หรือวิชาอายุวัฒนะได้มอบสัญชาตญาณให้เขา ว่าเขาสามารถจัดการกับมันได้
วิชาอายุวัฒนะในร่างกายของเขากำลังจะเคลื่อนไหว เยี่ยนจิ่วเฉาใช้ดาบสับลง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น แท่นบูชาแยกออกเป็นสองส่วน ขณะเดียวกันโลงศพหยกแข็งก็ถูกแรงกระแทกรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ!
โลงศพหยกรับแรงกระแทกส่วนใหญ่ไว้ ทำให้โจวจิ่นไม่เป็นไร
เยี่ยนจิ่วเฉารีบอุ้มโจวจิ่นออกมา ใช้ปลายเท้ากระโดดเหาะกลับไปหาอวี๋หวั่น
พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกแท่นบูชาดูดไปพุ่งกลับเข้าร่างโจวจิ่น มันน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่ถูกดูดออกไป โจวจิ่นกระอักเลือดออกมา สติที่เดิมทีสะลึมสะลือค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นอย่างเลือนราง
จากนั้น เขาเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเขาไว้ พร้อมทั้งเยี่ยนเสี่ยวซื่อและอวี๋หวั่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
เขาอ้าปากด้วยความอ่อนแรง “ช่วย…เสี่ยวเจา…”
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็หมดสติอีกครั้ง
นี่ละโจวจิ่น หากกำลังที่มีอยู่อนุญาตให้เขาสามารถเอ่ยได้เพียงสามคำ เขาจะไม่มีวันเสียมันไปกับการทักทายที่ไร้ความหมาย
“เสี่ยวเจาก็อยู่ที่นี่หรือ!” หัวใจของอวี๋หวั่นพลันรู้สึกตื่นเต้น ดูเหมือนพวกเขาเดาไม่ผิด ชายชรากับเด็กน้อยที่หายตัวไปคือราชาหลัวช่ากับเสี่ยวเจาจริงๆ แต่เธอไม่นึกว่าโจวจิ่นจจะเคยพบเสี่ยวเจาแล้ว
ทีแรกยามอยู่ในสุสาน พวกเขาพบรอยเท้าของไข่น้อยทั้งสาม และพลังเวทที่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมาจากโจวจิ่น แต่ไม่พบเห็นร่องรอยของเสี่ยวเจา หลักๆ ก็เป็นเพราะเสี่ยวเจาไม่ได้เดินบนพื้นเหมือนคนอื่น เขามักอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อบินไปบินมา จึงแทบไม่ทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นน่ะสิ
เสี่ยวเจาเป็นหลัวช่าโลหิต มีตันภายในวิชาอายุวัฒนะกับมารโลหิตอย่างละครึ่ง ครึ่งธรรมครึ่งอธรรม ครึ่งปราชญ์ครึ่งมาร เขาก็ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาเช่นกัน
“แท่นบูชามารแห่งที่สองอยู่ที่ใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามจิ้งอู๋โจ้ว
จิ้งอู๋โจ้วตกใจกลัวการกระทำบ้าๆ ของเยี่ยนจิ่วเฉาที่ทุบแท่นบูชามารจนไม่กล้าขยับ เขาชี้ไปข้างนอกด้วยตัวแข็งทื่อ “จากนี่ไปทางเหนือ ผ่านสามตำหนักก็จะถึง”
เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นอุ้มเด็กคนละคน เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
จิ้งอู๋โจ้วเหลือบมองกลับไปที่แท่นบูชาที่ถูกผ่าครึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นยะเยือก “รอข้าด้วยสิ!”
ต้นขาที่ดูหยาบนี้ เขาต้องจับไว้ให้แน่น!
ทว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นต้องผิดหวังคือแท่นบูชาที่สองว่างเปล่า
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? หรือว่าเสี่ยวเจายังพิเศษไม่พอ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก “หรือไม่ก็พิเศษเกินไป”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดาไม่ผิด ร่างรวมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์กับมารพิเศษเกินไป แท่นบูชานี้ไม่อาจดึงพลังตันภายในของหลัวช่าน้อยได้ พวกเขาต้องใช้วิธีดั้งเดิมที่สุด นั่นคือควักตันภายในของหลัวช่าน้อยออกมา!
ขณะที่ทั้งสองกำลังคิดว่าหลัวช่าน้อยถูกพาตัวไปที่ใด ด้านนอกก็เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือด
จิ้งอู๋โจ้ววิ่งไปหลบหลังประตูมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาพลันเกิดประกาย “อ้า! คนของนิกายศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว! พวกเขากำลังสู้กับเผ่ามาร!”
อวี๋หวั่นเอ่ยติดตลกว่า “เจ้าไม่ใช่คนนิกายศักดิ์สิทธิ์รึ? เหตุใดไม่รีบไปทักทายพวกเดียวกันละ? ร่วมกันต่อสู้ศัตรู”
จิ้งอู๋โจ้วสะดุ้งเฮือก
เขาพูดไร้สาระตอนอยู่ที่สวนผลไม้ เขาไม่ใช่คนของนิกายศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งไม่ใช่ศิษย์ของผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิง แต่อาจารย์ของเขาคือ…ศิษย์นอกสำนักของนิกายศักดิ์สิทธิ์
“อะแฮ่ม” เขากระแอมในลำคอ “หากข้าไป พวกเจ้าจะทำอย่างไร? นิกายศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรากำจัดทหารเผ่ามาร คนธรรมดาก็ต้องปกป้อง”
อวี๋หวั่นส่งสายตาที่ดูเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พวกเราสองสามคนดูเหมือนคนธรรมดารึ?
“พวกเจ้าช่างกล้านัก บุกเข้ามาสร้างปัญหาในดินแดนเผ่ามารของพวกข้า ข้าแนะนำให้เจ้ารีบคืนเด็กนั่นมาซะ เห็นแก่อาจารย์ปู่ของพวกเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าสักหน หากไม่เช่นนั้น…”
คนที่เอ่ยเป็นยอดฝีมือขั้นไท่ซวีผู้หนึ่งแห่งเผ่ามาร เขาสวมเสื้อคลุมสีดำอยู่ในความมืด
ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว ในแง่ระดับเขาอาจไล่เลี่ยกับผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร แต่ดูเหมือนเขาจะเก่งกว่าในด้านเพลงยุทธ์และการฝึกพลัง
ด้านหลังเขา มียอดฝีมือระดับเดียวกันกว่ายี่สิบคน ทว่าไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่เป็นระดับกลางหรือระดับสูง
กลุ่มใหญ่โตเช่นนี้แม้แต่นิกายศักดิ์สิทธิ์ก็ยังปวดหัว
“อาจารย์ปู่นิกายศักดิ์สิทธิ์กำลังปิดตัวบำเพ็ญ พวกผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิงก็กำลังเฝ้านิกายศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือที่ส่งมาได้จึงไม่มากนัก บัดนี้ลำบากแล้ว เผ่ามารกำลังจะเด็ดหัวเหล่ายอดฝีมือ” จิ้งอู๋โจ้วทอดถอนใจ
อวี๋หวั่นไม่ได้ฟังที่เขาเอ่ยแม้แต่น้อย แต่กลับจ้องไปที่บุรุษหนุ่มชุดดำคนหนึ่งในนั้น ด้านหลังเขามียอดฝีมือหลายคนที่แต่งตัวเหมือนกันตามมาอีกไม่น้อย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเขากำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งในอ้อมแขน อวี๋หวั่นสงสัยว่านั่นจะเป็นเสี่ยวเจา!
………………………