หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 29 ความจริงเปิดเผย กลับบ้าน
ในที่สุดชายชราก็เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงรู้สึกคุ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ จะไม่ใช่บิดาได้อย่างไร? แม้แต่ความสามารถยั่วยุอารมณ์สุ่ยเยว่ชิง ยังเหมือนไอ้เด็กเวรทั้งสามที่เกือบทำให้เขาโมโหตายไม่มีผิด หากเอ่ยให้ถูกคือเด็กเวรทั้งสามเหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน
เขาสงสัยอยู่หลายครั้งว่าบิดาเช่นไรสอนบุตรชายให้น่าโมโหเช่นนี้ บัดนี้เขาเข้าใจแล้ว คำตอบคือบิดาที่น่าโมโหแบบเดียวกัน!
ครั้งหนึ่งเขาเคยอยากพบบิดาของทั้งสาม ทว่ายามนี้เขาคิดว่าไม่พบเสียยังดีกว่า
กลับกัน สิ่งที่สุ่ยเยว่ชิงคิดคือระหว่างการสู้รบกับวังมาร เด็กที่ขี่บนหลังนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะเป็นเด็กสามคนนี้ แต่ในตอนนั้นทุกอย่างวุ่นวายเกินไป เขาไม่มีเวลาใส่ใจรูปลักษณ์ของพวกเขา และยิ่งไม่อาจรวมพวกเขากับผู้บำเพ็ญหนุ่มจอมกลับกลอกผู้นั้น
ไม่แปลกที่อีกฝ่ายรีบเข้าไปในค่ายเผ่ามารอย่างไม่ลังเล เขาไม่ได้พยายามช่วยฆ่าศัตรู แต่ไปเพื่อช่วยบุตรชายของเขาเอง
สุ่ยเยว่ชิงกัดฟัน ดี ถือว่าครั้งนี้มีเหตุผล เช่นนั้นอีกหนละ? สิ่งชั่วร้ายตัวน้อย ร่างรวมเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมารนั่นคงไม่ใช่บุตรของเขาอีกกระมัง? เขายังน่าสงสัยอยู่มาก เป็นสายสืบที่เผ่ามารส่งมาแน่!
ทันทีที่ความคิดแล่นผ่าน หลัวช่าน้อยก็เดินออกมาอย่างสะลึมสะลือ
เขาปวดฉี่
แม้แต่เปลือกตาก็ยังไม่ลืม หน้าผากเกือบจะกระแทกกับประตู เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเขาขึ้นและพาไปที่กระท่อมในสวนหลังบ้าน
สุ่ยเยว่ชิงแทบทรุด!
นี่มันเรื่องอะไร? สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยนั่นก็เป็นครอบครัวของเขาหรือ?
บ้านเขาเปิดร้านซาลาเปาหรือไง? มีเด็กมากมายเช่นนี้?!
“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อละเมอในความฝัน
สุ่ยเยว่ชิงตกใจขนพอง
นี่…ยังมีเด็กแบเบาะอีกคนรึ!!!
โจวจิ่นไปที่ห้องโถงครู่เดียว เมื่อกลับมาที่ห้อง สีหน้าก็ดูแปลกไป ไม่ใช่ว่าอวี๋หวั่นไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวด้านนอก เพียงแต่แผงประตูสองชั้นทำให้เธอได้ยินไม่ชัด
เธอมองโจวจิ่นที่เงียบงันอยู่บนเก้าอี้ เธอเดินเข้าไปวางมือข้างหนึ่งบนไหล่บางของเขาแล้วถามเบาๆ “คนข้างนอกที่มา…เจ้ารู้จักหรือไม่?”
โจวจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ
อวี๋หวั่นนั่งลงข้างเขาและมองเขาอย่างอ่อนโยน “มีอะไรอยากบอกข้าหรือไม่?”
โจวจิ่นตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนที่ถูกหลัวช่าน้อยใช้ก้นเบียดเขาไปข้างเตียง เขาเพิ่งผ่านฝันร้าย เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนอนอยู่ในห้องแปลกๆ ข้างกายมีเสียงหายใจสม่ำเสมอ หูเขาได้ยินเสียงของไข่น้อยทั้งสามที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาอบรม เขาลืมตาขึ้นเงียบๆ เห็นอวี๋หวั่นนั่งอยู่ข้างเตียงใช้กรรไกรและเข็มด้ายซ่อมเสื้อผ้าของพวกเขา
งานปักของอวี๋หวั่นไม่ดีนัก แต่นั่นก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเสียงที่เขาได้ยินและฉากที่เขาได้เห็น ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่ห่างหายไปเนิ่นนาน
เขาอยากให้ความรู้สึกนี้อยู่นานกว่านี้ แต่สุ่ยเยว่ชิงก็ปรากฏตัวที่ประตู
“เขาเป็นคนนิกายศักดิ์สิทธิ์” โจวจิ่นกล่าว
อวี๋หวั่นพยักหน้า ไม่มีท่าทีเร่งเร้าเขาแม้แต่น้อย
“เขาบอกว่าข้าก็เป็นคนนิกายศักดิ์สิทธิ์” โจวจิ่นกล่าวต่อ
อวี๋หวั่นยังคงมองเขาอย่างอ่อนโยน ราวกับว่าหากเขาเต็มใจเอ่ย เธอก็จะฟัง หากเขาไม่ต้องการเอ่ยเธอก็ไม่บังคับ
โจวจิ่นกล่าวว่า “หลังจากข้านำกองทัพไปโจมตีเผ่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เห็นถ้ำระหว่างทางกลับเผ่าพ่อมด ข้าเดินเข้าไป หลังจากนั้นก็มาที่นี่ ที่นี่แปลกมาก เวลาแตกต่างจากที่นั่น ข้าเข้าไปในถ้ำตอนเช้า แต่เมื่อออกมาก็เย็นแล้ว ข้าพบคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาอ้างว่าเป็นคนนิกายศักดิ์สิทธิ์ ต้องการพาข้ากลับไป”
“แล้วอย่างไรต่อ?” อวี๋หวั่นเอ่ย
“ข้าคิดว่าพวกเขาจะจับตัวข้า แต่…หลังจากพวกเขาพาข้ากลับไปที่นิกายศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ พวกเขาก็บอกว่าข้าเป็นท่านผู้สูงส่งแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ใช่ ข้าคือโจวจิ่น เป็นราชาแห่งเผ่าพ่อมด” โจวจิ่นก้มหน้าลง
อวี๋หวั่นจับมือของเขา “เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ไม่ต้องคิดมาก ข้าจะไปคุยกับพวกเขาเอง”
“อื้ม” โจวจิ่นรู้สึกโล่งลึกๆ ในใจ โลกฝั่งนี้ช่างแปลกประหลาด ผู้คนที่นี่ยิ่งน่ากลัว แต่ตราบใดที่มีอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ด้วย เขาก็รู้สึกราวกับไม่กลัวสิ่งใด
หลังจากหลัวช่าน้อยฉี่เสร็จแล้ว หัวเล็กๆ ก็หลับไปบนไหล่ของเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่นพาเขาไปนอนบนเตียง ให้โจวจิ่นเฝ้าดูเขากับเด็กๆ ส่วนเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาออกไปที่ห้องโถง
จิ้งอู๋โจ้วเอาแต่หลบอยู่ในครัว แม้เขาจะอยากหนี แต่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ก็ขวางอยู่หน้าประตูห้องครัว จ้องเขาไม่วางตา จิ้งอู๋โจ้วหมดสิ้นความหวัง
แน่นอนไม่ใช่ว่าเขาเอาชนะนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่สามารถเอาชนะนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไร้เสียง หากเกิดเสียงดัง เขาก็ต้องถูกคนด้านในนั้นจับตัวกลับมาอยู่ดี
ดังนั้นเขาจึงทอดถอนใจยอมรับชะตากรรม แล้วเริ่มทำอาหาร
ในห้องโถง คนสี่คนนั่งรอบโต๊ะ
ในบรรดาสมาชิกครอบครัว อวี๋หวั่นดูปกติที่สุด อารมณ์สงบนิ่งอ่อนโยน รูปร่างหน้าตาไม่ต้องเอ่ยถึง แม้เธอจะมาจากโลกอื่น ทว่าความงดงามก็ไม่แพ้ผู้บำเพ็ญสตรีที่ใช้วิชารักษาความงามเหล่านั้นเลย
ที่สำคัญเธอดูเป็นคนปกติ!
“ข้า…นามว่าสุ่ยเยว่ชิง เป็นศิษย์เอกของผู้บำเพ็ญพรตอวี้ชิงแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ ท่านนี้คือลุงเหมยซือ เป็นครูศิษย์ผู้บำเพ็ญพรตชังซัน” เพื่อเห็นแก่อวี๋หวั่น สุ่ยเยว่ชิงจึงแนะนำอีกครั้ง น้ำเสียงนี้อ่อนโยนกว่ายามที่สนทนากับเยี่ยนจิ่วเฉามากนัก
เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกว่าไม่เลว เห็นแก่หน้าอวี๋อาหวั่นก็เท่ากับเห็นแก่หน้าตน
หึงหวงอะไร ปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาไม่เคยคิด อย่างไรตนก็ฉลาดเก่งกาจและหล่อเหลาเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดที่สุ่ยเยว่ชิงนั่นจะเทียบเทียมเขาได้เลย
ความจริง สุ่ยเยว่ชิงเป็นศิษย์รูปงามที่นิกายศักดิ์สิทธิ์ต้องการตัวมากที่สุด ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งทรงพลัง ยังอ่อนเยาว์หนุ่มแน่น ศิษย์หญิงหลายคนใฝ่ฝันจะเป็นคู่รักร่วมฝึกกับเขา แต่น่าเสียดายที่เขาตั้งใจจะไม่เสียเวลากับเรื่องความรัก
“พวกเจ้าบอกว่าโจวจิ่นเป็นคนของนิกายศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจสิ่งใดผิดหรือไม่?” อวี๋หวั่นถามสุ่ยเยว่ชิง
แม้ว่าชายชราจะเป็นคนจากนิกายศักดิ์สิทธิ์และถูกสุ่ยเยว่ชิงเรียกว่าผู้อาวุโส ทว่าทั้งสองคนต่างเห็นว่าสุ่ยเยว่ชิงเป็นผู้นำ อย่างไรอวี๋หวั่นก็เป็นพระชายาแห่งต้าโจว สายตาก็นับว่ายังมีแววอยู่บ้าง
สุ่ยเยว่ชิงทอดถอนใจ “ท่านผู้สูงส่งขับไล่กันเช่นนี้ ข้าก็หวังให้พวกเราเข้าใจผิด…”
เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่การต่อสู้ของเผ่ามารเมื่อสามพันปีก่อน จิ้งอู๋โจ้วเคยพูดแล้ว สุ่ยเยว่ชิงก็พูดอีกครั้ง พื้นฐานที่ทั้งสองเล่าตรงกัน เผ่ามารสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกสารทิศ ประมุขศักดิ์สิทธิ์กำจัดประมุขมารได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายลงในไม่ช้า
ประมุขศักดิ์สิทธิ์กับประมุขมารเป็นพวกเรื่องเยอะ ทั้งสองต่างเก็บเสี้ยววิญญาณของตนไว้ก่อนตาย ทีแรกคนของทั้งสองฝ่ายรู้แต่เพียงว่าผู้สูงส่งของพวกตนทิ้งวิญญาณเอาไว้ ต่อมาเดาว่าหากของตนรักษาไว้ได้ อีกฝ่ายก็น่าจะรักษาไว้ได้เช่นกัน ความลับนี้จึงแพร่กระจายไปยังทุกคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่จิตวิญญาณของประมุขศักดิ์สิทธิ์กับประมุขมารหายไปที่ใดกันแน่ ไม่มีผู้ใดรู้
เมื่อหลายสิบปีก่อน อาจารย์ปู่ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ยอมเสี่ยงเพื่อดูบัญญัติสวรรค์ และรู้สึกว่าจิตวิญญาณของประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะไปเกิดใหม่ในโลกอีกฝั่งหนึ่ง
พวกเขาจึงเริ่มหาทางเปิดโลกฝั่งนี้
เพื่อสิ่งนี้ เหล่ายอดฝีมือแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เสียสละเกินว่าจะจินตนาการได้
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องของอาจารย์และอาจารย์อาล้วนได้รับบาดเจ็บ อาจารย์ปู่ก็ถูกพลังย้อนทำลายจากการดูบัญญัติสวรรค์ ดังนั้นเราจึงมีกำลังไม่เพียงพอจะต่อต้านเผ่ามาร” หากยอดฝีมือของนิกายศักดิ์สิทธิ์อยู่ครบ คงไม่มีวันปล่อยให้วังมารได้สร้างขึ้นแน่!
สุ่ยเยว่ชิงเอ่ยต่อ “สิ่งที่เราไม่คาดคิดคือ จิตวิญญาณของประมุขมารก็ไปยังโลกอีกฝั่งเช่นกัน ทว่าไม่ได้กลับชาติมาเกิด เพียงแต่ล่องลอยอยู่ในสวรรค์และโลก อาศัยทางกลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก่อน…ประมุขศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
ทว่ายามนั้นมันได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังไม่อาจหลอมรวมสามจิตเจ็ดวิญญาณใหม่ได้ เผ่ามารจึงนึกถึงเมล็ดมาร เป็นวิธีฝืนรวบรวมสามจิตเจ็ดวิญญาณ สะสมวิญญาณหนึ่งพันดวง กำจัดส่วนที่ใช้ไม่ได้และรวบรวมวิญญาณมารที่ทรงพลังที่สุด”
“เมล็ดมารคือวิญญาณมารที่รวบรวมจากวิญญาณของผู้คนหนึ่งพันคน?” อวี๋หวั่นถาม
“ใช่แล้ว” สุ่ยเยว่ชิงพยักหน้า
“พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเจ้าไม่ได้จำผิดคน?” อวี๋หวั่นถามอีกครั้ง
สุ่ยเยว่ชิงส่ายหัวเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทางผิด หลังจากประมุขศักดิ์สิทธิ์เข้ามาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ปู่ก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณของเขา ไม่เช่นนั้น พวกเราจะไปปรากฏตัวต่อหน้าเขารวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร อีกอย่างพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายเขาก็ตื่นขึ้นทุกวัน สิ่งนี้ไม่อาจหลอกได้ เพียงแต่เขาต่อต้านเช่นนี้ ไม่เต็มใจรับการสืบทอดของนิกายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยินยอมให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์”
เพราะหากตื่นแล้ว โจวจิ่นก็จะไม่ใช่โจวจิ่นอีกต่อไป แต่เป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
“เช่นนั้นเจ้า” อวี๋หวั่นหันมองชายชราที่อยู่ข้างๆ “เจ้าไปรอผู้ถูกลิขิตที่ทางเข้าสำนักบัณฑิตนั่นเรื่องใดกัน? มิใช่พบประมุขศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ? ยังต้องรอผู้ถูกลิขิตคนใดอีก? หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้านอกจากประมุขศักดิ์สิทธิ์ยังมีผู้ถูกลิขิตคนอื่นอีก?”
ชายชราสีหน้าเหมือนคนถูกปรักปรำ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? ยามนั้นอาจารย์ปู่เพียงแค่ให้ข้าไปรอ ไม่ได้พูดอะไรอีก!”
“ที่พวกเขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?” อวี๋หวั่นถามเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก “เรื่องนี้ต้องถามโจวจิ่น”
ชายชราและสุ่ยเยว่ชิงดูสับสน ช้าก่อน พวกเจ้าสองคนกำลังเอ่ยถึงเรา…ควรหาที่ที่เราจะไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?
อวี๋หวั่นเข้าไปในห้องด้านใน
ยามที่พวกเขาพูดคุยกันไม่คิดจะลดเสียงลง สิ่งที่ควรได้ยินหรือไม่ควรได้ยิน โจวจิ่นก็ได้ยินทุกอย่างแล้ว
โจวจิ่นก้มลงมองมือทั้งสองข้างแล้วเอ่ยว่า “พลังเวทของข้ากำลังหายไป…ข้า…ข้าไม่อยากเป็นคนอื่น…”
อวี๋หวั่นโอบเขาเข้ามาในอ้อมแขนเบาๆ “ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเป็นคนอื่น ไปจากที่นี่ก็ไม่มีเรื่องใดแล้ว พวกเรากลับบ้านกัน”
……………………