หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 3 ทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในถ้ำนั้นมืดสนิท แต่ก็มิได้ทำให้พวกเขาลำบาก ต้าเป่าหยิบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากกระเป๋า “น้องเล็ก”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อนั่งอยู่ในกระเป๋า นางโบกแขนเล็กๆ ไปมา “ว้า!”
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์สว่างขึ้น
“ข้ากลัว” เอ้อร์เป่ากระซิบบอก
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้า!” เสี่ยวเป่าตบอกของตนเอง
เอ้อร์เป่ามองไปยังน้องชายคนเล็ก ความลังเลปรากฏบนใบหน้า
“อื้ออุว้าว้า!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้องด้วยความตื่นเต้น
ต้าเป่าแบกน้องสาวเดินตามอยู่ด้านหน้าสุด น้องชายทั้งสองจับมือกันเดินอยู่ด้านหลัง ไม่ใช่ว่าต้าเป่าอยากเดิน
นำเป็นคนแรก ที่จริงแล้วถ้ำนี้กว้างมาก พวกเขาสามคนเดินด้วยกันก็ยังได้ แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อตื่นเต้น หากต้าเป่าเดินช้าสักหน่อย นางก็ไม่สบอารมณ์ เกาะกระเป๋าหนังสือลุกขึ้นมาคว้าใบหูของต้าเป่า
เฮ้อ น้องสาวคนเล็กของเขา จะงอแงอย่างไรก็ยังน่าเอ็นดู
“ว้าว้า!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้อง มือเล็กพลางคว้าใบหูของต้าเป่า
“น้องเล็กอย่าร้องสิ” เอ้อร์เป่าบอก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเงยหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “อุว้า อุว้าๆๆๆๆ!”
เอ้อร์เป่า “…”
เด็กทั้งสามมุ่งหน้าต่อไป
ไม่นาน เด็กทั้งสามก็พบว่าถ้ำนี้กับถ้ำที่พวกเขาไปสำรวจมาก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกันสักเท่าไร คล้ายกับว่า…จะ
กว้าง…และยาวกว่า
“ทำไมยังไม่เจอทางออกอีกละ พวกเราต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน” เอ้อร์เป่าเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา
“ใกล้แล้วๆ!” เสี่ยวเป่ามองตรงไป
ในบรรดาเด็กทั้งสี่คน นอกจากเยี่ยนเสี่ยวซื่อแล้ว คนที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นเสี่ยวเป่า เขาไม่กลัวใครทั้งสิ้น และซุกซนกว่าคนอื่น แม้จะบอกว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าก็ซุกซน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาเรียบร้อยกว่ามาก
เพราะฉะนั้น เอ้อร์เป่าจึงคิดว่าน้องสาวคนเล็กของพวกเขาถูกเสี่ยวเป่าตามใจจนเคยตัว!
เด็กทั้งสามเดินไปอีกสักพัก อยู่ๆ ทางเดินด้านหน้าก็กว้างขึ้น ไม่ยักเหมือนกับพวกเขาเข้ามาในถ้ำเล็ก แต่เหมือนกับว่าพวกเขาเข้าไปในถ้ำอีกแห่งหนึ่งเสียมากกว่า
ต้าเป่าหยิบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกสองก้อน ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์สามก้อนให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับส่องไปทั่วถ้ำ เด็กทั้งสามรู้สึกว่าถ้ำนี้แปลกประหลาดเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงความสูงและขนาด แต่ผนังทั้งสี่ด้านมีช่องหินอยู่เต็มไปหมด ทุกๆ ช่องหินมีรูปสลักหินขนาดใหญ่กว่าพวกเขาอยู่ด้านใน
รูปสลักหินเหล่านี้ ไม่ยักเหมือนพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ ในวัดที่พวกเขาไปกับซั่งกวนเยี่ยน พวกมันมีใบหน้าเป็นคน มีร่างเป็นสัตว์ บางตัวก็มีใบหน้าเป็นสัตว์ มีร่างเป็นคน แปลกประหลาดเหลือเกิน
หากเด็กทั่วไปเห็นภาพเหล่านี้ คงต้องตกใจกลัวจนร้องไห้ไปแล้ว แต่เด็กทั้งสามกลับไม่เป็นเช่นนั้น
แม้แต่เอ้อร์เป่าซึ่งดูขลาดกลัวที่สุดก็ไม่ได้ร่นถอยไปไหน
ที่จริงแล้วหากจะบอกว่าขี้ขลาดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเปรียบเทียบกับใคร หากเทียบกับต้าเป่าหรือเสี่ยวเป่า เขาไม่ได้ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นสักหน่อย แต่หากเทียบกับเด็กทั่วไป เขาก็อาจนับว่าเป็นเด็กที่ใจกล้าใช้ได้ นอกจากนั้นแล้ว ถึงเขาจะสู้เรื่องความกล้าหาญไม่ได้ แต่เขาอ้อนเก่งกว่า น่ารักกว่าสองคนนั้น
“อุว้าๆ!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเห็นรูปสลักหินเหล่านั้นก็รู้สึกตื่นเต้น จนทำให้กระเป๋าหนังสือของต้าเป่าเละเทะ
“นั่นคืออะไรหรือ” เสี่ยวเป่าวิ่งเตาะแตะเข้าไปตรงหน้ารูปสลักหิน เขายื่นมือออกไปจับ แต่รูปสลักหินสูงเกินไป เขาจับไม่ถึง
หมับ!
“อุว้า! ว้าๆๆๆ!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อคว้าใบหูของต้าเป่าอีก
ต้าเป่าแบกน้องสาวเดินเข้าไป แล้วอุ้มน้องสาวออกมาจากกระเป๋า แล้วยกขึ้นไว้เหนือศีรษะ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยื่นมืออวบอ้วนขึ้นมา แล้วเอื้อมมือออกไปจับรูปสลักหิน
รูปสลักหินนั้นอยู่ในช่องหิน ทำท่วงท่าคล้ายกับกำลังจะโจมตี
เยี่ยนเสี่ยวซื่อจับศีรษะของรูปสลัก
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘แกร็ก’ ศีรษะหินของรูปสลักก็หลุดออก…
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปยังศีรษะของรูปปั้นในมือด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แล้ววางกลับลงไปในช่องหิน นางสาบานว่านางไม่ได้ใช้แรง นางเป็นเพียงดรุณีน้อยผู้อ่อนหวาน…
ทว่าในตอนนั้นเอง รูปสลักหินก็เคลื่อนไหว
จะกล่าวให้ละเอียดก็คือ รูปสลักหินทั้งหมด…เคลื่อนไหว!
“อ๊าาาาาก!” เอ้อร์เป่ากระโดดโหยง!
เขารีบไปหลบด้านหลังต้าเป่า แล้วมุดศีรษะเล็กของตนเข้าไปในกระเป๋าหนังสือของต้าเป่า
ต้าเป่า “…”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “…”
ต้าเป่ากอดน้องสาวเอาไว้ แล้วใช้ตนเองกำบังน้องชายทั้งสอง จ้องมองรูปสลักหินแปลกประหลาดเหล่านั้นอย่างอาจหาญ รูปสลักเหล่านั้นน่ากลัวจริงๆ โดยเฉพาะยามเคลื่อนไหว แต่ว่าพวกมันดูคล้ายกับว่าจะเคลื่อนไปมาอยู่ในช่องหิน ไม่ได้ออกมาด้านนอก นั่นก็หมายความว่ามันจะออกมาทำร้ายพวกเขาไม่ได้
ต้าเป่ามองรูปสลักหินด้วยสีหน้าเยือกเย็น
รูปสลักเคลื่อนไปมาอยู่สักพัก สุดท้ายก็หยุดลง
กำแพงถ้ำทางขวามือก็มีประตูหินปรากฏขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ลงมือ ประตูหินก็ค่อยๆ เคลื่อนที่เปิดออก เผยให้เห็นห้องลับด้านใน
“โอ้โห มีบ้านด้วย!” เสี่ยวเป่าพูด
ต้าเป่าโยนศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไป
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ส่องแสงสีทองแสบตาไปทั่วทั้งห้อง
แต่ทว่า เด็กทั้งสามยังไม่ทันได้เข้าไป ก็มีเสียงแหบพร่าของคนแก่ดังมาจากในห้อง “อ้า! ใครน่ะ! รีบเอาตะเกียงออกไป! เอาออกไป!”
มีคนหรือ?
เด็กทั้งสามตกใจ
“ว้าว้าา!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้องขึ้น
ในห้องหินนั้น เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงระคนความสงสัย “เอ๋? ใครกัน”
“อุว้าา!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเท้าเอว ข้าคือคนงามอย่างไรละ!
“เด็กทารกหรือ?” เสียงนั้นฟังดูเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
ในตอนนั้นเอง เด็กทั้งสามก็เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ที่นี่เป็นบ้านที่เก่าและทรุดโทรม ฝั่งตรงข้ามประตูเป็นชั้นเหล็ก ชั้นเหล็กนั้นมีโซ่คล้องไว้ อีกปลายหนึ่งของโซ่เหล็กมีชายชราผมสีขาวโพลน น่าจะเป็นผู้ที่พูดกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
“ท่านเป็นใครหรือ” เสี่ยวเป่าถาม
ชายชรายกมือขึ้นมากำบังแสง เขาอยู่ในนี้มานาน คุ้นเคยกับความมืด ทันทีที่มีแสงสว่างจากศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ เขาก็แสบตาจนรู้สึกว่าตาแทบบอด
เดิมทีคิดว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่ฝึกฝนอยู่ในป่าหรืออะไรเทือกนั้น ไม่คิดเลยว่า…พวกเขาจะเป็นเด็กอายุสี่ขวบ หนึ่งในนั้น มีเด็กคนหนึ่งที่อุ้ม…ลูกแกะ…ไม่สิ นั่นมันเด็กทารกสวมชุดเหมือนลูกแกะ
นี่มันเสื้อทรงประหลาดอะไรกัน แน่ใจหรือว่าพวกเจ้า…ไม่ใช่สมาคมคนแปลก?
เด็กสามคนกับเด็กทารกอีกหนึ่ง?
สวรรค์ต้องล้อเขาเล่นแน่ๆ!!!
“ใครพาพวกเจ้ามา” ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยถามด้วยความน่าเกรงขาม
“ข้าถามท่านก่อนนะ!” เสี่ยวเป่ายืดอก
“อุว้า!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพูดอย่างดุดัน
ผู้เฒ่าผมขาวพูดไม่ออก เขาขบคิดอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถูกขังอยู่ในสถานที่เฮงซวยนี่มานาน รอคอยผู้ที่ชะตากำหนดมาเปิดประตู เหตุใดคนเหล่านี้ถึงเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกกลุ่มหนึ่งได้เล่า
“ท่านไม่บอกใช่ไหม พวกเราไปกันเถอะ” เสี่ยวเป่าบอกต้าเป่า
ต้าเป่าพยักหน้า
เด็กทั้งสามหันหลังเดินออกไป
“นี่! อย่าเพิ่งไปสิ!” ชายชราผมขาวรีบเรียกพวกเขาไว้ แม้ว่ายากที่จะเชื่อ แต่ทั้งสี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงกลุ่มเดียวที่เขาได้พบหลังจากที่ออกมา หรือว่า…โอกาสของเขามาถึงแล้วจริงๆ
“ข้าพูดแล้ว!” ชายชราผมขาวกระแอม “ข้าคืออวี้คุนหลุน”
ต้าเป่าจับน้องสาวใส่เข้าไปในกระเป๋าหนังสือ แล้วหยิบกระดาษกับปากกาออกมาเขียนคำสามคำว่า ‘ท่านไม่ใช่’
ชายชราชะงักไป “ข้าจะไม่ใช่ได้อย่างไร”
ต้าเป่าเขียนอีกว่า ‘หนังสือผ่านทางที่เอวท่าน’
ชายชราก้มหน้ามอง แย่จริง! ลืมไปเสียสนิทว่ามีเจ้านี่อยู่!
ชายชรารู้สึกผิดปกติ “พวกเจ้าเห็นหนังสือผ่านทางของข้าแล้ว จะถามอีกทำไมว่าข้าชื่ออะไร”
ต้าเป่าเขียนตอบว่า ‘ไม่รู้จักสามคำนั้น’
ชายชรา “…”
ชายชรากลอกตา แล้วบอกว่า “ข้าคือไห่อู๋หยา”
ต้าเป่าเขียนว่า ‘ท่านไม่ใช่’
ชายชราเริ่มมีโทสะ เวรเอ๊ย ทำไมถึงไม่ใช่อีกเล่า
ต้าเป่าเขียนว่า ‘อย่าหลอกเด็ก ข้ารู้คำว่าไห่ อู๋ แล้วก็หย่า’
ชายชรา “…”
ชายชราพูดออกมาอีกหลายชื่อ แต่ต้าเป่าก็รู้จักทุกคำ หรือไม่ก็ในชื่อนั้นมีคำที่ต้าเป่ารู้อย่างน้อยหนึ่งคำ ชายชราสับสน เจ้ารู้จักสามคำอื่นแทบทั้งหมด แต่กลับไม่รู้จักสามคำบนหนังสือผ่านทาง?
ชายชราสรรหาแม้แต่คำยากๆ อย่างคำว่าคุนเผิง(鲲鹏) [1]ออกมา
ที่จริงต้าเป่าลืมไปแล้วว่าคำว่าคุนเผิงเขียนอย่างไร จำได้เพียงเลือนราง เขาจึงใช้คำพ้องเสียงเขียนว่า ‘คุนเผิง(昆朋)ต้องมีปลา(鱼)กับนก(鸟) ท่านไม่มีนก(鸟) [2]’
ชายชรา “…!!”
เจ้า…เจ้าน่ะสิไม่มีนก!!!
ชายชราโมโหต้าเป่าจนควันแทบออกหู เขาไม่คิดมาก่อนว่าหลอกใครสักคนจะยากเย็นถึงเพียงนี้ ที่สำคัญคือเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่โกหกเก่งที่สุดในยุทธภพ คนที่เขาหลอกได้นั้นมีมากกว่าเมล็ดข้าวที่กินเข้าไปเสียอีก!
ตอนนี้ เขาเสียรู้เด็กคนหนึ่งซะแล้ว!
“ได้ๆๆๆๆ พวกเจ้าชนะแล้ว! ข้าคือขุนนางฝั่งซ้ายเหมยผู้พิทักษ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นามว่าโย่วตัน นามเต็มของข้าคือ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เสี่ยวเป่าก็ตาลุกวาว “อ๋า? ท่านชื่อไม่มีไข่[3]หรือ? ท่านไม่มีนก! แล้วก็ยังไม่มีไข่อีกหรือ!”
ชายชรา “…!!”
เขาคิดว่าเจ้ารูปสลักพวกนี้ยังไม่ขังเขาไว้จนตาย แต่ไม่ช้าก็เร็วเจ้าเด็กพวกนี้ต้องทำให้เขาโมโหจนเป็นบ้าตายแน่นอน!
…………………………………………………
[1] คุนเผิง(鲲鹏) เป็นชื่อเรียกของสัตว์ในตำนานชนิดซึ่งปรากฏในตำราของปรัชญาเต๋า ได้แก่ปลา (เรียกว่า ‘คุน’) ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลตอนเหนือ สามารถกลายร่างเป็นนก (เรียกว่า ‘เผิง’) ขนาดใหญ่ ปีกของมันสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้
[2] นก(鸟) ในสมัยโบราณออกเสียงพ้องกับคำว่าอวัยวะเพศชาย การออกเสียงคำว่านกในภาษาจีนกลางปัจจุบันก็ออกเสียงคล้ายกับคำว่านก จึงใช้เป็นคำแสลงแทนคำว่าอวัยวะเพศชาย
[3] ไม่มีไข่ ในภาษาจีนคือ 没有蛋 ออกเสียงว่าเหมยโหย่วตั้น ซึ่งคล้ายกับชื่อเหมยโย่วตัน