หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 30 ถือกำเนิดประมุขมาร!
ที่อวี๋หวั่นบอกว่ากลับบ้านเป็นเรื่องจริงจัง พาโจวจิ่นกลับไปก็จริงจังเช่นกัน หลังจากโจวจิ่นมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของเขาก็เริ่มถูกปลุก ยามที่เขาอยู่ในประเทศมรกตหรือเผ่าพ่อมดต่างก็ดีมาก เธอเชื่อว่าตราบใดที่กลับไปที่นั่น การเปลี่ยนแปลงของโจวจิ่นก็จะสิ้นสุดลง
อวี๋หวั่นเล่าสิ่งที่เธอคิดให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืม เห็นด้วย
สุ่ยเยว่ชิงกลับไม่มีความสุข “พวกเจ้าจะพาเขาไปไม่ได้”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเบาๆ
สุ่ยเยว่ชิงรู้ว่าตนพูดกับบุรุษที่อ้างว่าเป็นปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาผู้นี้ไม่ได้ เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายสติไม่ดีเล็กน้อย เขาหันไปมองอวี๋หวั่นด้วยความหวัง “โปรดฟังข้าก่อน…… “
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็ถูกอวี๋หวั่นขัดจังหวะ
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า?”
สุ่ยเยว่ชิงสำลัก เหตุใดเมื่อครู่รู้สึกว่าสตรีผู้นี้ดูพึ่งพาได้? ทำให้คนสำลักได้ไม่ต่างไปจากปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาสักนิด!
“ข้าจะไปเก็บของ ดูว่ามีอะไรที่นำไปได้บ้าง” อวี๋หวั่นหันหลังกลับเข้าห้อง พวกเขารีบร้อนออกมา ไม่ได้นำของใช้ประจำวันมาด้วย โชคดีที่แม้ว่าบ้านในชนบทจะว่างเปล่า ทว่าชุดและผ้าก็ยังสะอาด
หลังบ้านยังมีผักป่า เธอจะไปขุดมาสักหน่อย
ทันทีที่อวี๋หวั่นออกจากห้องมาพร้อมตะกร้า สุ่ยเยว่ชิงก็เข้ามาขวางไว้ สุ่ยเยว่ชิงมองเธอและเยี่ยนจิ่วเฉาที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ในห้องโถง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทุกสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง! เขาคือประมุขศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นของนิกายศักดิ์สิทธิ์ เขาอยู่ที่นี่! การปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นความรับผิดชอบของเขา! ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาทิ้งเสี้ยววิญญาณไว้แต่แรก เพราะยึดติดในโลกีย์จริงๆ หรือ? เพราะเขารู้ว่าจิตวิญญาณของประมุขมารยังเหลือรอด จึงใช้กำลังทั้งหมดที่มีดึงเสี้ยววิญญาณของตนออกมาผ่านวิชาต้องห้าม มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถจัดการกับประมุขมารได้!”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “นี่เป็นเรื่องของนิกายศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า ไม่เกี่ยวกับโจวจิ่น”
สุ่ยเยว่ชิงกัดฟันเอ่ย “ดี ดี! ต่อให้พวกเจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่พวกเจ้าคิดว่าจะออกไปได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ? เจ้าถือว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นสวนผักหรืออย่างไร? คิดจะมาก็มา? คิดจะไปก็ไป? ยามที่พวกเจ้าเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้หรือว่าทางให้กลับไม่มีอีกแล้ว? ไม่ว่าพวกเจ้าจะเดินอย่างไร ก็มีเพียงทางออกเดียว คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”
แม้ว่าในยามนั้นยอดฝีมือแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์จะสูญเสียไปกับการแยกมิติของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าบัดนี้รอยแยกนั้นได้ปิดลงแล้ว ทันทีที่ผู้ถูกลิขิตที่ลุงเหมยซือเฝ้ารอมาถึง รอยแยกทั้งหมดก็ถูกปิดลง
นี่คือรูปแบบที่อาจารย์ปู่วางไว้ เพื่อไม่ให้ประมุขมารมีโอกาสหลบหนีอีกครั้ง
สุ่ยเยว่ชิงกล่าวต่อ “อาจารย์ปู่ได้รับบาดเจ็บจากการดูบัญญัติสวรรค์ เดิมทีไม่สามารถใช้รูปแบบที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ เขาใช้อาวุธของประมุขศักดิ์สิทธิ์สร้างดวงตา หากพวกเจ้าอยากกลับไป ก็ต้องทำลายดวงตานั่นก่อน แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่าง นั่นคืออาวุธของประมุขศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงประมุขศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำลายมันได้ ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้ แต่เป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์”
อวี๋หวั่นลูบคาง “พูดไปพูดมา โจวจิ่นต้องถูกปลุกให้ตื่น จึงจะสามารถเปิดเส้นทางให้เรากลับไปได้ แต่หากโจวจิ่นตื่นขึ้น เขาก็จะไม่ใช่โจวจิ่นอีกต่อไปและจะไม่เปิดทางให้เรา ไม่ว่าจะมองอย่างไร ไอ้หนูอย่างเจ้าก็กำลังหลอกพวกเรา!”
ไอ้ ไอ้หนู?
แม้ว่าเขาจะอายุแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ดูอย่างไรเขาก็แก่กว่า?
ทว่าที่เธอเอ่ยก็ไม่ผิด นี่เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ
หากพวกเขาต้องการแยกมิติกลับไป ก็ต้องปลุกโจวจิ่น และเมื่อโจวจิ่นตื่นขึ้น ก็จะไม่อยากกลับไปกับพวกเขาอีก
“เรื่องของพวกเรา พวกเราหาทางเอง” เยี่ยนจิ่วเฉาลุกขึ้นหยิบตะกร้าในมืออวี๋หวั่น และเหลือบมองสุ่ยเยว่ชิง “ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้โจวจิ่นแม้แต่ก้าวเดียว ไม่อนุญาตให้คุยกับเขา”
“เจ้ามีสิทธิ์อะ…”
ปัง!
ก่อนที่สุ่ยเยว่ชิงจะเอ่ยจบ ประตูห้องด้านในก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาปิดด้วยกำลังภายใน
คู่หนุ่มสาวไปขุดผักป่าที่สวนหลังบ้าน
แน่นอน สุ่ยเยว่ชิงไม่มีทางเชื่อฟัง
เมื่อเห็นทั้งสองเดินไกลออกไปเรื่อยๆ เขาก็แอบย่องมาที่ประตูเงียบๆ และแง้มประตูเบาๆ เขาพยายามมองผ่านรอยแง้มที่ประตู แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นดวงตาสีดำกลมโตสามคู่ เขาตกใจกระโดดถอยหลัง ก้นเกือบกระแทกพื้น!
รอยแง้มของประตูถูกไข่น้อยทั้งสามขยายออก หัวกลมเล็กทั้งสามโผล่ออกมา
ทั้งสามหน้าตาน่ารัก ทั้งแววตาและท่าทาง ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กน่าโมโหที่ชายชราบอก
สุ่ยเยว่ชิงรู้สึกว่าตนอาจเริ่มต้นลงมือจากพวกเขาได้ อย่างไรเด็กๆ ก็เกลี้ยกล่อมง่ายกว่า จริงหรือไม่?
“อะแฮ่ม!” สุ่ยเยว่ชิงกระแอม เดินไปแล้วคุกเข่ามองพวกเขา “ข้าชื่อสุ่ยเยว่ชิง พวกเจ้าให้ข้าเข้าไปคุยกับท่าน…เอ่ย โจวจิ่นหน่อยได้หรือไม่?”
ทั้งสามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เสี่ยวเป่ากล่าวว่า “เจ้ามีขนมไหมละ?”
“หือ?” สุ่ยเยว่ชิงผงะไป “เดี๋ยวข้าลองหาดู”
เขาปลดกระเป๋าเฉียนคุนรอบเอว ด้านในมีขนมน้ำตาลกล่องหนึ่ง มันไม่ใช่ของเขา มีศิษย์หญิงคนหนึ่งขอให้เขาซื้อให้จากตลาดตอนลงจากเขา เขาให้พวกนางไม่ทัน บัดนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
“นี่” เขายื่นกล่องน้ำตาลให้เสี่ยวเป่า
“ของข้าละ?” เอ้อร์เป่ากล่าว
สุ่ยเยว่ชิงผงะอีกครั้ง อยากเอ่ยว่าน้ำตาลกล่องใหญ่เช่นนั้น พวกเจ้าก็แบ่งกันกินสิ! แต่สีหน้าแววตาของไข่ดำน้อยไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาค้นเจอขนมกุหลาบอีกกล่องหนึ่ง ซึ่งเขาตั้งใจจะนำไปมอบให้อาจารย์แม่ “ขนมน้ำตาลหมดแล้ว ขนมกุหลาบก็อร่อยเหมือนกัน”
“ยังมีต้าเป่าด้วย” เอ้อร์เป่าเอ่ยหลังจากรับขนมกุหลาบไป
เด็กอะไร โลภมากเช่นนี้? ของว่างของอาจารย์แม่ก็ให้ไปแล้ว!
แต่เพื่อให้ได้คุยกับท่านผู้สูงส่ง เขากัดฟันทุ่มสุดตัว
เขาหยิบขนมต่างๆ ที่ซื้อมาให้ศิษย์รุ่นน้องครูเดียวกันอันที่เป็นที่รักของเขายื่นให้ไข่ดำคนสุดท้าย “เอ้า”
ต้าเป่าไม่ตอบ หยิบปากกาและกระดาษออกมาแล้วขีดเขียนสองสามคำว่า ‘ข้าจะเอากระเป๋าเจ้า’
กระเป๋าใบนี้ดูเล็กแต่กลับจุของได้มากมาย ต้าเป่าชอบมาก
สุ่ยเยว่ชิงตกตะลึง เหตุใดอยากได้กระเป๋าเฉียนคุนของเขา? กระเป๋าใบนี้ไม่ใช่กระเป๋าธรรมดา นอกจากสิ่งมีชีวิต ล้วนใส่ของได้ทุกอย่าง ทั้งยังจุได้มาก ไม่มีขายตามท้องตลาด มีเพียงศิษย์คนสำคัญยิ่งแห่งสำนักเท่านั้นที่จะมีกระเป๋าเฉียนคุน
แน่นอน สุ่ยเยว่ชิงไม่เต็มใจให้กระเป๋าฉียนคุนของตน แต่เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสเกลี้ยกล่อมโจวจิ่น ขอเพียงเขาได้บอกโจวจิ่นต่อหน้าว่า มีเพียงการปลุกพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์ จึงจะสามารถส่งพวกเขากลับไปได้ เขาเชื่อว่าโจวจิ่นจะตอบตกลง
แม้ว่าเขากับโจวจิ่นจะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ก็ไม่ยากที่จะดูออกว่า โจวจิ่นเป็นคนที่เข้าใกล้ได้ยากยิ่ง คนใดที่สามารถเข้าใกล้เขาได้ ก็คือคนที่เขาไม่อาจละทิ้งและทำร้ายได้ลง
ข้าแค่ต้องบอกโจวจิ่นว่า ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่ก็จะสามารถส่งพวกเขาทั้งหมดกลับบ้านได้ แน่นอนว่า หากเจ้ายืนยันที่จะจากไป เราก็จะไม่รั้งไว้ อย่างไรท้ายที่สุดเจ้าก็จะกลายเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง พวกเขาอยากหยุดก็หยุดไม่ได้
เขาเชื่อว่าการพูดเช่นนี้ล่อใจได้มาก
หลังจากคิดทบทวนสามตลบ ในที่สุดสุ่ยเยว่ชิงก็มอบกระเป๋าเฉียนคุนให้
ต้าเป่าหยิบกระเป๋าเฉียนคุนไป แน่นอนว่าไม่ลืมหยิบกล่องขนมนานาชนิดไปด้วย
สุ่ยเยว่ชิง “…”
เจ้าช่างโลภมากยิ่งนัก?
“เข้ามาสิ” เสี่ยวเป่าเปิดประตู
ไข่น้อยทั้งสามเปิดทางให้โดยดี
แม้จะโลภไปบ้าง แต่ก็ยังรักษาสัญญา ไม่ได้เกินจริงอย่างที่ลุงเหมยซือว่า ออกจะเป็นเด็กน่ารักน่าชังใช่หรือไม่?
สุ่ยเยว่ชิงเข้ามาในห้องด้วยอารมณ์สดชื่น แต่แล้วก็ต้องตกตะลึง
เขาเห็นโจวจิ่น แต่โจวจิ่นหลับไปแล้ว!
เสี่ยวเป่าถอดหมวกที่ได้ไม่มีอยู่บนหัว และทำท่าทางสุภาพบุรุษ “เอาละ เจ้าคุยกับพี่โจวจิ่นได้เลย! แต่เขาอาจจะตอบเจ้าไม่ได้นะ!”
สุ่ย เยว่ ชิง ที่ โกรธ จน ตัว สั่น “……!!”
หลังจากอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาจากการขุดผักป่า อาหารที่จิ้งอู๋โจ้วเตรียมไว้ก็เสร็จแล้ว ส่วนผสมทั้งหมดมาจากกระเป๋าเฉียนคุนของโจวจิ่น ทั้งสะอาดและสดใหม่ ที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำอาหารของจิ้งอู๋โจ้วไว้วางใจได้มากกว่าทุกคนมากทีเดียว
อวี๋หวั่นทิ้งโจวจิ่นและหลัวช่าน้อยไว้ตามลำพัง พวกเขาทั้งสองอยู่ที่นี่มานาน คุ้นเคยกับกิจวัตรที่นี่แล้ว ไม่ได้นอนมาทั้งคืน อาจจะตื่นตอนบ่าย
คนที่เหลือกินข้าวจนอิ่ม
สุ่ยเยว่ชิงไม่กินก็อิ่มแล้ว โกรธจนอิ่ม
ระหว่างนั้นเยี่ยนเสี่ยวซื่อตื่นขึ้นมานานกว่าสองชั่วยาม เล่นกับบิดามารดาอย่างสนุกสนาน
ตอนบ่าย นางและบรรดาพี่ชายก็ผล็อยหลับไป แต่โจวจิ่นกับหลัวช่าน้อยกลับทยอยตื่นขึ้น
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยกับโจวจิ่น “ออกเดินทางกันเถอะ”
โจวจิ่นกลับเอ่ยว่า “ข้ายังมีบางเรื่อง อยากออกไปสักหน่อย จะกลับมาตอนเย็น”
คนติดตามของเขายังอยู่ในวังมาร เขาไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นไปเผชิญอันตรายกับเขา
“หากเจ้าจะไปช่วยคนที่วังมาร เกรงว่าจะสายไปแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยพร้อมกับผลักประตูออก
โจวจิ่นรีบเดินออกไปกลางที่โล่งด้านนอก เงยหน้าขึ้นมองไปทางวังมาร ก็เห็นท้องฟ้าที่เดิมทีไร้เมฆถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำขนาดใหญ่มหึมา กลางหมอกดำมีสายฟ้าแลบและฟ้าร้องราวกับเสียงมังกรร้ายคำราม
โจวจิ่นขมวดคิ้ว “นี่คือ…”
สุ่ยเยว่ชิงเดินเข้ามาด้วยความตกตะลึง “เมล็ดมารสมบูรณ์…ประมุขมารกลับมาแล้ว!”
………………………