หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 33 เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลืนมาร!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อลืมตาขึ้นพบว่าตนอยู่ในอ้อมแขนมารดา จึงยืดคอมองหาบิดา
“อูว้า”
ท่านพ่อละ?
เยี่ยนจิ่วเฉาถูกวิญญาณมารถูไปกับพื้น สภาพยากจะอธิบายได้
เพียงแต่มีหญ้าบังไว้ น้อยคนนักที่จะมองเห็น
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตามหาบิดาอย่างร้อนใจ สายลมหนึ่งพัดมา พาให้ใบหญ้าเล็กๆ ลอยเข้าจมูกของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เยี่ยนเสี่ยวซื่อตัวสั่นสะดุ้ง “ฮัดชิ่ว!”
พื้นหญ้าถูกพลังมหาศาลนี้กดลงราบเรียบไปกับพื้น วิญญาณมารที่ไม่ทันตั้งตัวถูกพัดกระเด็น
วิญญาณมารตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดตนถึงลอยละลิ่วเช่นนี้?
เขาบินได้อย่างไร? ทั้งยังบินมาไกลถึงข้างกายสุ่ยเยว่ชิง
เมื่อสุ่ยเยว่ชิงเห็นก้อนสีดำขนาดใหญ่ที่จู่ๆ ก็ตกลงจากท้องฟ้ามาอยู่ข้างกายตน ใบหน้าก็พลันซีดเผือด ไอมารน่าเกรงขามเช่นนี้ หรือนี่จะเป็น…วิญญาณมารกระมัง? แต่ตนก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้อีกแล้ว…
ขณะที่สุ่ยเยว่ชิงคิดว่าตนต้องตายเป็นแน่ วิญญาณมารก็ไม่สนใจเขาและบินกลับไปในทิศที่จากมา
สำหรับวิญญาณมาร คู่ต่อสู้อย่างสุ่ยเยว่ชิงไม่ใช่คู่ปรับของเขา แต่เป็นคนที่จามแล้วทำให้เขาลอยมาถึงนี่ต่างหาก
วิญญาณมารถูกปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้อันไม่มีที่สิ้นสุด รีบพุ่งไปหาเยี่ยนเสี่ยวซื่อทันที
หญ้าที่นี่สกปรก จมูกของเยี่ยนเสี่ยวซื่อคันยุบยิบ นางจามออกมาอีกครั้ง
วิญญาณมาร “…”
บ้าเอ๊ย?
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?
วิญญาณมารกลิ้งไปบนพื้นเจ็ดสิบแปดสิบตลบ ในที่สุดก็ตั้งตัวได้
หากตอนนี้เขามีสีหน้าก็คงขมวดคิ้วครุ่นคิด เขาใช้เปลวไฟสีดำเสกมือข้างหนึ่งมารองใต้คางของตน…เอ่อ…ลูกทรงกลม แล้วครุ่นคิดในใจ
ต้องเป็นเพราะวิธีที่ตนเปิดไม่ถูกต้องเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงถูกเด็กน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจามใส่จนปลิวได้?
วิญญาณมารใช้ความคิด เปลี่ยนรูปทรงกลมเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ วิ่งไปหาเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “ฮัดชิ่ว!”
วิญญาณมาร “…”
วิญญาณมารเปลี่ยนร่างเป็นมีด ดาบ และแม้แต่เข็มเงินเล็กๆ นับไม่ถ้วน แต่ทั้งหมดกลับต้องพ่ายแพ้ต่อการจามของเสี่ยวซื่อ
“เหตุใดถึงจามตลอดเวลา? เป็นไข้หรือ?” อวี๋หวั่นแตะหน้าผากของบุตรี แล้วส่งหลัวช่าน้อยในอ้อมแขนให้จิ้งอู๋โจ้ว
จิ้งอู๋โจ้วใช้ผ้าผูกโจวจิ่นไว้กับหลัง จึงยกมือมาอุ้มเด็กได้
แต่ทันที่เขาอุ้ม หลัวช่าน้อยก็ตื่นขึ้น
หลัวช่าน้อยจ้องมองเขาอย่างดุร้าย จนจิ้งอู๋โจ้วรู้สึกชาศีรษะ
เด็กคนนี้เป็นสิ่งชั่วร้ายอะไรกันแน่?
จริงสิ หลัวช่าโลหิต เขาคงไม่ได้จะดูดเลือดตนกระมัง?
หลัวช่าน้อยรับรู้ถึงพลังปราณที่อันตราย พลันกระโดดออกจากอ้อมแขนจิ้งอู๋โจ้ว จ้องมองไปทางทิศของวิญญาณมารอย่างเย็นชา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยกหมัดเล็กๆ บินไปหาวิญญาณมารด้วยความเร็วเต็มกำลัง
“เสี่ยวเจา!” อวี๋หวั่นพยายามหยุดเขา แต่เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
วิญญาณมารดึงตัวเองออกจากหินและฟื้นฟูรูปร่างกลับเป็นทรงกลมที่สบายที่สุด
หมัดเล็กๆ ฟาดลงมาจากฟ้า วิญญาณมารเบี่ยงตัวหลบ
หมัดของหลัวช่าน้อยกระแทกกับหิน หินทั้งก้อนแตกออก ทำให้เห็นน้ำหนักของหมัดเล็กๆ นั้น
ท่าไม้ตายของหลัวช่าน้อยคือการดูดเลือดมนุษย์ แต่พลังนั้นไม่อาจใช้ได้ในการต่อสู้กับวิญญาณมาร เพราะอีกฝ่ายคือร่างวิญญาณ ไม่มีเลือดเนื้อ
แต่หลัวช่าน้อยก็ยังมีกำลังภายในอันน่าทึ่งที่เกิดจากวิชาอายุวัฒนะ
แน่นอนว่าวิชาอายุวัฒนะของเขายังแตกต่างจากวิชาอายุวัฒนะของเยี่ยนจิ่วเฉา วิชาอายุวัฒนะของเขามีผลกับพลังกายมากกว่า ส่วนการชำระล้างไอมารยังไม่ดีเช่นนั้น
ยามที่เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ในวังมาร วิชาอายุวัฒนะในร่างกายชำระล้างไอมารที่อยู่ใกล้เขาตลอดเวลา ขณะที่วิชาอายุวัฒนะของหลัวช่าน้อยเลือกที่จะไม่สนใจไอมาร ปล่อยให้ตันโลหิตอีกครึ่งหนึ่งจัดการ
ตันโลหิตเป็นร่างมาร สามารถรับไอมารได้เป็นอย่างดี
ซึ่งก็หมายความว่า หลัวช่าน้อยมีความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าเยี่ยนจิ่วเฉา
ไม่ช้าวิญญาณมารก็พบว่าเจ้าตัวเล็กนี้สามารถใช้ไอมารของเขาเปลี่ยนให้ตนแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แปลก เขาเป็นประมุขมารทั้งหลาย พลังงานที่เขาแผ่ออกมานั้น มีต้นกำเนิดเดียวกับพลังที่เหล่าผู้บำเพ็ญมารต้องการ เพียงแต่ละเอียดยิ่งกว่า
ทว่าทุกอย่างเป็นดาบสองคม หลัวช่าน้อยสามารถต้านทานไอมารของประมุขมารได้ ก็หมายความว่าประมุขมารสามารถยึดร่างของเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ร่างรวมเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมารเป็นสิ่งล่อใจที่ร้ายแรงต่อผู้บำเพ็ญมารทุกคน
วิญญาณมารใช้พลังก่อร่างลิ้นสีดำเล็กๆ เลียริมฝีปากที่ไม่มีอยู่จริง
ร่างกายนี้เหมาะกับเขายิ่งกว่าร่างกายใหม่ที่ถูกมังกรวิญญาณนั่นทำลายไป
เพียงแต่ตัวเล็กไปหน่อย
ทว่ายามนี้เลือกไม่ได้แล้ว
อวี๋หวั่นรออยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นเสี่ยวเจากลับมา และไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยเช่นกัน เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ กำลังจะให้จิ้งอู๋โจ้วไปดูด้านหน้า ก็เห็นแสงสีดำหนึ่งบินตรงมาหาเธอ…
แสงสีดำนั้นรวดเร็วจนเธอหลบไม่ทัน
เยี่ยนเสี่ยวซื่อถีบขาไปมา อ้าปากเล็กๆ กลืนแสงสีดำลงไปในคำเดียว!
อวี๋หวั่น “…”
วิญญาณมาร “…”
จิ้งอู๋โจ้ว “…”
เดิมทีวิญญาณมารจะยึดร่างหลัวช่าน้อย ทว่าเกิดความผิดพลาด มาผิดทาง อย่าว่าแต่อวี๋หวั่นหลบไม่ทัน วิญญาณมารก็หยุดตนเองไม่ทันเช่นกัน จึงถูกเยี่ยนเสี่ยวซื่อกลืนลงท้องเช่นนี้…
หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาและได้รู้เรื่องนี้ ใบหน้าก็ปรากฏร่องรอยของความเย็นยะเยือก
ใบหน้าอวี๋หวั่นเองก็ดูไม่ได้เช่นกัน
จิ้งอู๋โจ้วคิดตาม วิญญาณมารเข้าสู่ร่างกาย หากเขาเป็นบิดามารดาของบุตร ก็คงอับจนหนทางเช่นกัน
“ที่นางกลืนลงไปคือสิ่งใด?” อวี๋หวั่นถาม
“วิญญาณมาร” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“กินไปจะไม่ปวดท้องหรือ?” อวี๋หวั่นถามต่อ
“ไม่รู้สิ ก็ดูสกปรกนิดหน่อย ยังไม่ได้ล้าง” เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกสะอิดสะเอียนเล็กน้อย
จิ้งอู๋โจ้วแทบทรุดเข่า บุตรสาวเจ้ากลืนวิญญาณมารนะ? แต่พวกเจ้ากลับกลัวว่านางจะปวดท้องหรือไม่ กินของสะอาดหรือไม่สะอาด? ไม่สงสัยเลยหรือว่านางอาจตายได้ตลอดเวลา?
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “วันนี้ยังไม่ต้องรีบ พักผ่อนก่อนสักคืน ดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน”
พวกเขาหาที่โล่งก่อกองไฟ นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ก็นอนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพร้อมกับไข่น้อยทั้งสามที่นอนอยู่บนหลัง
หลัวช่าน้อยอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อนั่งขัดสมาธิข้างกองไฟ
โจวจิ่นก็นั่งทำสมาธิฝั่งตรงข้าม ระงับพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ในร่างกาย
จิ้งอู๋โจ้วย่างกระต่ายสองตัว
ยังไม่ทันกิน เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เริ่มปวดท้อง
“อูแว้~” นางเบะปากด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสองข้างมีน้ำใสไหลคลอ
ตั้งแต่เด็กจนโต นางไม่เคยป่วย บัดนี้ปวดท้องกะทันหัน ทำให้นางรู้สึกไม่สบาย
อวี๋หวั่นอุ้มนางขึ้นมาจับชีพจรก็ไม่พบสิ่งใด แต่นางยังปวดอยู่
“ท่านอุ้มนางสักหน่อยสิ” อวี๋หวั่นส่งบุตรีให้เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มก็ไม่ได้ผล เยี่ยนเสี่ยวซื่อปวดท้อง รู้สึกไม่สบายจนน้ำตาหยดเผาะๆ
“อะแฮ่ม” จิ้งอู๋โจ้วกระแอมในลำคอ “อาจเป็นฝีมือของวิญญาณมารหรือไม่?”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเด็กผู้นั้นกลืนวิญญาณมารแล้วยังไม่ตายได้อย่างไร มีเพียงอาการปวดท้องเล็กน้อย แต่เขามั่นใจเต็มร้อยว่าวิญญาณมารไม่ได้กลืนกินอย่างง่ายดายเช่นนี้
เยี่ยนจิ่วเฉามองบุตรีที่กำลังร้องไห้ด้วยแววตาเย็นเยียบ “ไปนำตัวสุ่ยเยว่ชิงมา!”
จิ้งอู๋โจ้วขี่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ไป
คนหนึ่งคนนกหนึ่งตัวพบสุ่ยเยว่ชิงที่กำลังรักษาตัวอยู่ใกล้กับวังมาร พร้อมทั้งชายชราที่อยู่คุ้มกันสุ่ยเยว่ชิง
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์นำตัวทั้งสองมา
ระหว่างทางมาที่นี่ จิ้งอู๋โจ้วได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังแล้ว ดังนั้นเรื่องที่น่าตกใจก็ตกใจไปแล้ว เมื่อพวกเขามาถึง สีหน้าคนทั้งสองก็ได้สงบลง
ทั้งสองตรวจดูอาการของเยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างละเอียด
จิ้งอู๋โจ้วถามด้วยความกังวล “หรือว่า…วิญญาณมารกำลังฟื้นฟู? หากวิญญาณมารไม่ถูกขับให้ออกมาโดยเร็วที่สุด นางก็จะตัวแตกตาย?”
ยามที่วิญญาณมารถูกกลืนลงท้องจะมีพลังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งนานยิ่งยากจะแบกรับ ร่างกายธรรมดาไม่อาจรับพลังงานของมันได้
“ไม่ใช่” สุ่ยเยว่ชิงส่ายหน้า
สีหน้าจิ้งอู๋โจ้วยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม “หรือ…นางจะถูกวิญญาณมารยึดครองร่าง?”
พลังวิญญาณของวิญญาณมารนั้นทรงพลังมาก ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งจะต้านทานได้ หากวิญญาณมารไม่ได้คิดจะทำลายร่างกายนี้ เช่นนั้นก็ต้องยึดร่างเป็นแน่
“นั่นก็ไม่ใช่” สุ่ยเยว่ชิงส่ายหัว “นางจะท้องเสีย”
ทุกคน “…”
ที่แท้ก็ท้องเสีย อวี๋หวั่นทอดถอนใจด้วยความโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะหายใจสุด สุ่ยเยว่ชิงก็เอ่ยต่อ “วิญญาณมารมิได้กลืนกินง่ายดายเช่นนั้น อาจต้องใช้เวลานาน”
“นานเพียงใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
สุ่ยเยว่ชิงเอ่ยเสียงขรึม “จากสภาพของนาง อย่างน้อยก็ยี่สิบสามสิบปี อย่างมากก็ร้อยแปดสิบปี จนกว่านางจะย่อยพลังของวิญญาณมารจนหมด นางจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดต่อไป”
ประมุขมารเป็นเจ้าในโลกฝั่งนี้ การกลืนวิญญาณของเขาเข้าไปแล้วไม่ตายก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ใช้เวลาย่อยเพียงร้อยแปดสิบปี เป็นเรื่องที่ยอดฝีมือระดับสูงหลายคนก็ยังทำไม่ได้
เมื่ออวี๋หวั่นได้ยินว่าบุตรีของเธอต้องเจ็บปวดเป็นเวลานานเช่นนั้น เธอก็เริ่มรู้สึกไม่สู้ดีนัก “มีวิธีขับวิญญาณมารออกมาหรือไม่?”
“มี” สุ่ยเยว่ชิงเหลือบมองโจวจิ่นที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ ความหมายนั้นไม่มีทางชัดเจนไปกว่านี้ แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าเขาหมายถึงการให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์กลับมา “นี่เป็นเรื่องของพวกเจ้า อยากให้เขาทำอย่างไร พวกเจ้าก็พูดเองแล้วกัน”
เขาเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา โจวจิ่นจึงไม่ได้ยิน เขาอยากให้อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาเลือกเอง ระหว่างบุตรีกับโจวจิ่น สุดท้ายพวกเจ้าจะละทิ้งผู้ใด?
………………