หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 34 ประมุขมารคนใหม่
สุ่ยเยว่ชิงมีเจตนาของตนหรือไม่? แน่นอนว่ามี
ตอนแรกเยี่ยนจิ่วเฉาเอาแต่กล่าวว่า ‘นี่เป็นเรื่องของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า ไม่เกี่ยวกับเรา และไม่เกี่ยวกับโจวจิ่น ขอเพียงโจวจิ่นต้องการจะไป ข้าก็จะพาเขาไป’ คำพูดเดิมเป็นเช่นนี้หรือไม่ สุ่ยเยว่ชิงก็จำไม่ได้แล้ว แต่ความหมายไม่ต่างกันมากนัก
สุ่ยเยว่ชิงกำลังคิดว่าคราวนี้คงเกี่ยวกับพวกเจ้าแล้วกระมัง? บุตรีแท้ๆ กลืนวิญญาณมาร ต้องย่อยเป็นเวลาร้อยแปดสิบปี ต้องทนเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ทุกปี ไม่ได้มีชีวิตเช่นคนธรรมดา พวกเจ้าคงทุกข์ใจแล้วกระมัง? ต่อให้โจวจิ่นสำคัญเพียงใด จะสำคัญไปกว่าบุตรีแท้ๆ หรือ?
เอ่ยตรงๆ คือสุ่ยเยว่ชิงเพียงแค่อยากเห็นเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นกลืนน้ำลายตนเอง
เอ่ยเป็นมั่นเหมาะว่าไม่บังคับโจวจิ่น แต่ในยามวิกฤติก็ยังต้องใช้โจวจิ่น
และโจวจิ่นจะทำอย่างไร ไม่ต้องคิดก็รู้คำตอบ เขาจะช่วยเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เป็นมิตรภาพหนึ่งในการอยู่ร่วมกัน แต่ท้ายที่สุดก็จะหลงเหลือเพียงความเย็นชา เขาจะไม่มีความรู้สึกใดๆ กับตัวตนทางโลกอีก
โจวจิ่นที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ ลืมตามองสุ่ยเยว่ชิงที่คุยกับเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นเสร็จแล้ว สุ่ยเยว่ชิงก็เหลือบมองเขาเช่นกัน เห็นเพียงสีหน้าสงสัยของเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
โจวจิ่นมองเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยิ้มให้เขา “ไม่มีอะไร เจ้าฝึกพลังไปก่อนเถอะ”
โจวจิ่นพยักหน้า หลับตาลงแล้วฝึกพลังต่อไป
“น้ำหมดแล้ว ไปตักน้ำที่นั่นกัน” อวี๋หวั่นถือถังไม้มาถังหนึ่ง เอ่ยกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าใจความหมายของเธอ ส่งเสียงอืม หยิบถังไม้มาแล้วไปที่ลำธารกับเธอ
จิ้งอู๋โจ้วมองด้านหลังของคนทั้งสอง พลางเขยิบเข้าใกล้โจวจิ่นเงียบๆ พวกเขาไม่สะดวกพูด เช่นนั้นเขาพูดแทนก็จบแล้วมิใช่หรือ?
ไม่คาดคิดว่ายังไม่ทันอ้าปาก เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยขึ้น “จิ้งอู๋โจ้ว เจ้าไปทำอาหาร!”
ฉิบหาย!
ด้านหลังศีรษะของเจ้ามีตาหรืออย่างไร?
แล้วให้ทำอาหารมันเรื่องใด? ย่างกระต่ายสองตัวยังไม่พอ? เจ้าอยากกินอะไรอีก? ทำอาหาร? มีข้าวหรือไง?!
ตุบ!
ถุงข้าวตกลงมาจากท้องฟ้ามาอยู่ตรงหน้าจิ้งอู๋โจ้ว
จิ้งอู๋โจ้ว “…”
หลังจากโยนถุงข้าวให้จิ้งอู๋โจ้ว เยี่ยนจิ่วเฉาก็พาอวี๋หวั่นไปที่ลำธาร
“ท่านอยากพูดอะไร?” อวี๋หวั่นมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
ทั้งสองไม่ได้โง่ หลังจากเป็นสามีภรรยากันมานานจนมีลูกสี่คนแล้ว เหตุใดแค่นี้จะไม่รู้ใจกัน?
“ไม่ใช่เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาย้อนถาม
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ “ใช่ ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่าน แม้โจวจิ่นจะไม่ใช่ลูกของเรา แต่ข้าปฏิบัติต่อเขาเช่นลูกของข้ามาตลอด ยามที่ไปเผ่าพ่อมด หากบอกว่าไม่ได้คิดจะใช้เขาก็คงโกหก แต่นั่นก็ได้ผ่านไปอย่างช้าๆ หัวใจผู้ใดบ้างไม่ใช่เลือดเนื้อ? ข้าเห็นเขา…เขาปกป้องข้ากับลูกในครรภ์ด้วยชีวิต…ข้าไม่อาจผลักเขาเข้ากองไฟได้อีกแล้ว…”
“ดังนั้นเจ้าเลยคิดว่าข้าจะผลักเขาเข้ากองไฟได้หรือ?”
อวี๋หวั่นอึ้งไปครู่หนึ่ง การที่เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาไม่ได้ตัดสินใจจะทำเช่นนั้น หากบอกว่าไม่ตกใจคงโกหก แต่ก็ไม่ได้ตกใจเกินไป เขาก็เป็นคนเช่นนี้ ภายนอกดูเหมือนไร้หัวใจ ทว่ามีน้ำใจและคุณธรรมยิ่งกว่าใคร
เขาสนใจบุตรสาวได้ แล้วเหตุใดจะไม่สนใจโจวจิ่น?
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนกังวลมากเกินไป จนอดก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดไม่ได้
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัดเย็นชา “อวี๋อาหวั่น วันนี้เจ้าต้องบอกข้าให้ชัดเจน เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าจะละทิ้งโจวจิ่น?”
“ข้า…” อวี๋หวั่นขบเม้มริมฝีปาก “นั่นไม่ใช่เพราะยามที่เสี่ยวซื่อเพิ่งเกิด ท่านไม่อยากให้ผู้ใดใช้เข็มแทงนางหรอกหรือ แม้แต่ยารักษาก็ไม่สนใจ ท่านอุ้มนางไปซ่อน หากไม่ใช่เพราะนางทำมือตนเลือดออก เยี่ยนจิ่วเฉา บัดนี้ท่านก็คงไม่อยู่แล้ว!”
ท่านเป็นบิดาหลงบุตรสาว!
ประโยคสุดท้ายเป็นเสียงในใจของอวี๋หวั่น
เยี่ยนจิ่วเฉาสองตามองฟ้า ไม่อยากนึกถึงประวัติศาสตร์อันมืดมนของตน คนหนึ่งรู้สึกผิด อีกคนก็ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่ใช่เวลามากล่าวโทษกัน
“แต่” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดให้ดีนะ หากโจวจิ่นยังไม่ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ เสี่ยวซื่อก็ต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”
ไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็ทำให้ทรมานทั้งวันทั้งคืน ทำให้เจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ จิตใจกระสับกระส่าย
หากเป็นไปได้ เยี่ยนจิ่วเฉายินดีแบกรับแทนบุตรี แต่ไอ้วิชาอายุวัฒนะเฮงซวยในร่างกายเขา!
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาก็อยากทำลายตันเถียนของตน!
วิชาอายุวัฒนะ…สั่นระริกเบาๆ
“เราต้องหาทางแก้ไขได้แน่ จริงหรือไม่?” อวี๋หวั่นจับมือเยี่ยนจิ่วเฉา มองเขาเนือยนิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาสูดหายใจลึก จับปลายนิ้วเย็นของเธอ “อื้ม เราจะหาทางแก้ไขได้”
บิดามารดาไปตักน้ำ ไข่น้อยทั้งสามก็ดูแลน้องสาว
น้องสาวไม่สบายหนัก
ต้าเป่าหยิบขวดนมออกมา ให้นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ใช้ปีกห่อหุ้มตนกับน้องสาวไว้ แล้วเอาขวดนมยัดใส่ในอ้อมแขนเพื่อป้อนน้องสาว แต่เพราะไม่สบาย น้องสาวจึงกินไม่ลง
น้องสาวชอบกินที่สุด ขอเพียงมีคนป้อน นางก็กินได้ไม่เบื่อ กระทั่งคนผู้นั้นสิ้นเนื้อประดาตัวได้เลยทีเดียว ทว่ายามนี้น้องสาวกลับไม่แม้แต่จะแตะต้องจุกนม ใบหน้าเล็กยู่ยี่ ท่าทางทุกข์ทรมานเช่นนี้ปวดใจต้าเป่ายิ่งนัก
“ต้าเป่า เจ้าแอบป้อนนมน้องอีกแล้วหรือ?” เสี่ยวเป่าถามจากด้านนอกปีกของเขา
“หุบปากเลย!” ต้าเป่ากล่าว
“ต้าเป่าพูดอีกแล้ว!” เอ้อร์เป่ากล่าว
“เขาไม่ได้พูดก่อนหน้านี้แล้วหรือ?” เสี่ยวเป่ากล่าว
“ข้าถึงบอกว่าอีกแล้วไง! เจ้านี่โง่จริงๆ!” เอ้อร์เป่าเท้าเอว
“เจ้านั่นแหละโง่!” เสี่ยวเป่ากระทืบเท้า
ไข่น้อยทั้งสองทะเลาะกันอีกครั้ง
โจวจิ่นเรียกสุ่ยเยว่ชิงไปหลังต้นไม้ “พูดมาเถอะ พวกเจ้าปิดบังอะไรข้า?”
“ไม่มีอะไร” สุ่ยเยว่ชิงแกล้งไม่รู้ไม่ชี้
“เช่นนั้นหรือ?” หากเป็นคนอื่น คงจี้ถามสุ่ยเยว่ชิงว่าเช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าเอ่ยสิ่งใดกับพวกพี่หวั่น เหตุใดหลังจากคุยกัน พวกเจ้าสามคนถึงมีสีหน้าแปลกๆ? แต่โจวจิ่นไม่ใช่คนทั่วไป ครั้งแรกถามแล้วไม่บอก ครั้งที่สองเขาก็จะไม่ให้โอกาสปฏิเสธอีก
โจวจิ่นมองเข้าไปในดวงตาของเขา
พลังเวททรงพลังปกคลุมทั่วทั้งร่างของสุ่ยเยว่ชิง เขารู้สึกว่าร่างกายไม่สามารถขยับได้ แม้แต่สายตาก็เริ่มพร่ามัว
สุ่ยเยว่ชิงเองก็เป็นยอดฝีมือระดับไท่ซวีคนหนึ่ง การควบคุมบุรุษที่แข็งแกร่งเช่นนี้ต้องใช้พลังเวทมหาศาลเกินกว่าจะนับได้ เมื่อโจวจิ่นได้ข้อมูลที่ต้องการ ก็รู้สึกว่าพลังเวทภายในร่างกายเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
ก็ดี อย่างไรเสียต่อไปก็ไม่ได้ใช้อีกแล้ว
โจวจิ่นเดินไปทางนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ด้วยใบหน้าซีดเผือด
เมื่อไข่น้อยทั้งสองที่กำลังโต้เถียงกันเห็นเขา ก็หยุดชะงักและจ้องมองอย่างงงงวย
“พี่โจวจิ่น เป็นอะไรไป?” เสี่ยวเป่าเอ่ย
“ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เอ้อร์เป่าถาม
ทั้งสองรู้สึกว่าโจวจิ่นแปลกไป ราวกับว่ามีบางอย่างในใจ แต่…หนักหนากว่านั้น พวกเขายังเด็ก ไม่อาจเข้าใจได้ทุกอย่าง
โจวจิ่นลูบหัวเล็กๆ ของทั้งสอง “เชื่อฟังพ่อแม่นะ เลิกเถียงกันได้แล้ว รู้หรือไม่?”
ทั้งสองพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
โจวจิ่นเข้าไปในปีกของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ เอื้อมมือไปที่ต้าเป่า “ส่งน้องสาวมาให้ข้า”
ต้าเป่ามองเขาอย่างตกตะลึง ไม่รู้เหตุใด เขาไม่สามารถขัดขืนได้เลย
โจวจิ่นอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อออกไป
หลังจากอยู่ในอ้อมแขนของเขา เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็สงบลง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อจ้องมองใบหน้าที่งดงามนั้นด้วยความหลงใหล จนลืมความเจ็บปวดที่ท้องไปชั่วขณะ
ทว่าลืมไปได้เพียงชั่วครู่
ไม่นานนางก็กลับมาเจ็บปวดจนร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง นางกำคอเสื้อของเขาแน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
แท้จริงโจวจิ่นต้องการบอกลาพี่หวั่นแต่เขาไม่ทำเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะกลัวว่าความศรัทธาในใจจะสลายไป แต่เพราะกังวลว่านางจะไม่เห็นด้วยที่เขาทำเช่นนี้
โจวจิ่นดีดปลายเท้าเหาะขึ้นไปบนหน้าผาพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อในอ้อมแขน
เมื่อเห็นโจวจิ่นอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อออกไป หลัวช่าน้อยก็กำหมัดไล่ตาม
ยามที่อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาถือถังน้ำกลับมาก็ไม่เห็นเงาของโจวจิ่นแล้ว
เธอกำลังจะเอ่ยปากถามสุ่ยเยว่ชิง ก็เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ระยิบระยับพร่างพรายจากท้องฟ้าที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ไอมารทั่วท้องฟ้าและพื้นดินคล้ายกับสลายหายไปในพริบตา ทุกที่ที่แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปถึง จิตวิญญาณผู้บำเพ็ญแห่งเผ่ามารถูกทำลาย
“แย่แล้ว! ประมุขศักดิ์สิทธิ์กลับมาจุติแล้ว!” ยอดฝีมือเผ่ามารคนหนึ่งตะโกน
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างทั่วทั้งวังมารไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง สวนผลไม้ด้านนอกวังก็เหี่ยวเฉาลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ สุดท้ายก็กลายเป็นควันดำ สลายไปในท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด และผู้บำเพ็ญระดับต่ำก็ล้มตายลงภายใต้พลังของประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่เหลือสักคน
“ไป…ไปฆ่ามัน! จะให้มันตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ไม่ได้!” ยอดฝีมือเผ่ามารอีกคนรวบรวมยอดฝีมือขั้นเลี่ยนชี่และขั้นไท่ซวีทั้งหมดเหาะไปยังที่ที่ประมุขศักดิ์สิทธิ์อยู่
แน่นอนว่าสุ่ยเยว่ชิงไม่มีทางปล่อยให้พวกเขารบกวนการตื่นขึ้นของประมุขศักดิ์สิทธิ์ เขาชักดาบยาวออกมา พุ่งขึ้นไปเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเผ่ามารในอากาศ
“แล้ว…เราต้องช่วยฝ่ายใดละ?” จิ้งอู๋โจ้วถามอย่างอ่อนแรง
“ยามนี้ยังหยุดยั้งโจวจิ่นทันหรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“สายเกินไปแล้ว…” ผู้ที่ตอบคือชายชรา ประมุขศักดิ์สิทธิ์ได้ตื่นขึ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถหยุดเขาจากการปกครองโลกได้ แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุด
“เขา…ยังจำได้หรือไม่ว่าตนคือโจวจิ่น?” อวี๋หวั่นพึมพำถาม
ชายชราไม่ตอบ
จำได้แล้วอย่างไร? ชีวิตสิบเอ็ดปีสั้นๆ ของโจวจิ่นเทียบกับชีวิตหลายหมื่นปีของประมุขศักดิ์สิทธิ์เป็นแค่เสี้ยวพริบตา แม้แต่บทเล็กๆ ก็ยังเทียบไม่ได้
แต่เขายังช่วยเยี่ยนเสี่ยวซื่อได้
นั่นคือทางของประมุขศักดิ์สิทธิ์
กำจัดทหารเผ่ามาร
“อูว้า~”
หลังจากเสียงร้องไห้ดังกังวาน กลุ่มหมอกดำหนึ่งก็ลอยออกจากร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ประมุขศักดิ์สิทธิ์วางทารกในอ้อมแขนลง และไล่โจมตีวิญญาณมารที่หลบหนี
จริงอยู่ที่วิญญาณมารอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย แต่เขาก็มีสัญชาตญาณของตัวเอง บัดนี้เขาไม่สามารถเอาชนะศัตรูเก่าของตนได้ จึงแปลงเป็นก้อนกลมวิ่งหนีไป!
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้โอกาสเขาหลบหนี วาดมือใช้พลัง ดาบยาวเล่มหนึ่งบินออกจากค่ายกลกระบี่นิกายศักดิ์สิทธิ์ ตกลงกลางฝ่ามือของเขา
ทันใดนั้นก็ใช้ดาบฟันผ่าวิญญาณมารออกเป็นสองส่วน วิญญาณมารหวีดร้องครวญครางเสียดแก้วหู
วิญญาณอาฆาตมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งทะลัก ลูกแก้ววิญญาณมารที่ห่อหุ้มด้วยวิญญาณอาฆาตก็ลอยออกมา
นี่เป็นวิธีสุดท้ายของประมุขมาร เขาไม่เคยใช้มันต่อหน้าผู้คน ดังนั้นแม้แต่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่นึกว่าเขาจะกลั่นลูกแก้ววิญญาณออกมาจริงๆ
ลูกแก้ววิญญาณพุ่งเข้าหาเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เขาต้องการเปลี่ยนเยี่ยนเสี่ยวซื่อให้เป็นมาร ไม่ลังเลที่จะทำลายตัวเอง แม้ต้องสังเวยตนก็จะให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อตกลงสู่วิถีมาร เป็นศัตรูของประมุขศักดิ์สิทธิ์ไปชั่วนิจนิรันดร!
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งนัก ประมุขศักดิ์สิทธิ์ต้องการหยุดมัน ทว่าก็สายเกินไป เพียงเสี้ยววินาทีร่างสีดำเล็กร่างหนึ่งเข้ามาขวางเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ร่างบางปะทะแรงมหาศาลกระเด็นไปบนพื้น ไถลเป็นทางยาว
หลัวช่าน้อยกุมหน้าอกตนด้วยความเจ็บปวด
ในมืออีกข้างถือดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กที่เพิ่งเก็บมาและไม่ทันได้มอบให้
เขาหันกลับมา ใบหน้าน้อยสีขาวมีเส้นเลือดปูดโปนออกมาในชั่วพริบตา พลังงานสีดำนับไม่ถ้วนไหลผ่านร่างกายของเขาราวกับหนอน หน้าตาของเขาเปลี่ยนเป็นความอัปลักษณ์ดุร้าย
“อูว้า~” ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่นี่ เยี่ยนเสี่ยวซื่อลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ มองไปที่หลัวช่าน้อย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อนอนหลับในอ้อมแขนผู้อื่นมาตลอดทาง ไม่เคยมองเห็นหลัวช่าน้อยอย่างชัดเจน
ทว่าหลัวช่าน้อยกลับไม่กล้าให้นางเห็น
หลัวช่าน้อยยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าเล็กๆ ของตน
“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อยื่นมือไปหาหลัวช่าน้อย “อูว้าๆ~”
หลัวช่าน้อยหันหลังกลับ
เปลวไฟสีดำขนาดมหึมาห่อหุ้มตัวเขา ไอมารที่ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ทำให้สลายไป กลับคืนสู่เขาซึ่งเป็นศูนย์กลางจากทั่วทุกทิศทาง
ประมุขศักดิ์สิทธิ์กำดาบยาวในมือแน่น
ประมุขมารได้สละเจ็ดวิญญาณ ลากเด็กคนนี้ลงนรก ตั้งแต่เด็กคนนี้ตกสู่วิถีมาร ก็ไม่มีทางที่จะกลับขึ้นมาได้อีก
“โจวจิ่น! ไม่!” อวี๋หวั่นตะโกน
ดวงตาประมุขศักดิ์สิทธิ์ปรากฏร่องรอยความขัดแย้งวาบผ่าน เขากำดาบยาวยกขึ้นอย่างช้าๆ ท้ายที่สุดก็ฟันไปที่หลัวช่าน้อย!
ยอดฝีมือเผ่ามารคนหนึ่งพุ่งเข้าใช้ร่างกายขวางการโจมตีของประมุขศักดิ์สิทธิ์
“ยินดีต้อนรับ…การกลับมาของประมุขมาร…” ทันทีที่เขาเอ่ยจบก็กระอักเลือดล้มลงกับพื้นตายตาไม่หลับ
ยอดฝีมือเผ่ามารที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ร่างกายเป็นโล่กำบังหน้าประมุขมารน้อย
ดวงตาของหลัวช่าน้อยถูกไอมารย้อมเป็นสีแดง เขายื่นมือออกมาด้วยสายตามองตรง จับผ้าผืนหนึ่งที่ลอยมากับสายลม เอื้อมมือออกไปผูกตาของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่องงงวย “อูว้า?”
หลัวช่าน้อยแวบมาข้างกายนาง วางดอกไม้สีเหลืองดอกเล็ก เหมือนในยามนั้น ที่เขาวางดอกไม้ในผ้าห่อตัวของนาง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “อูว้า?”
หลัวช่าน้อยหันกลับมาปาดน้ำตาที่ไหลริน เหาะขึ้นไปในอากาศ หายไปในท้องฟ้าที่มีเมฆมารหมุนวน
……………………