หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 35 นางมารเยี่ยนเสี่ยวซื่อ!
เทศกาลจงหยวน ณ เมืองเสี่ยวเสวียนเฟิง การคัดเลือกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ในรอบห้าปีได้เริ่มต้นขึ้น
เห็นเพียงกลุ่มคนต่อแถวยาวเหยียดอยู่บนถนนใหญ่ใจกลางที่เจริญที่สุด พวกเขาทั้งหมดมาเข้าร่วมในการคัดเลือกศิษย์ หลายปีก่อนหน้านี้ ด้วยความวุ่นวายของเผ่ามาร นิกายศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้คัดเลือกศิษย์มาเป็นเวลานาน นี่เป็นครั้งที่สองหลังจากการกวาดล้างวังมาร การประกาศเมื่อห้าปีก่อนค่อนข้างกะทันหัน หลายคนมาไม่ทัน คราวนี้นิกายศักดิ์สิทธิ์ประกาศข่าวไปยังที่ต่างๆ ล่วงหน้าเป็นเวลาครึ่งปีเต็ม ดังนั้นนอกจากผู้ที่ไม่ต้องการมาแล้ว โดยพื้นฐานต่างก็มากันหมด
“พี่ชาย ท่านมาเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์หรือ? มาโรงเตี๊ยมพวกเราสิ รับรองว่าท่านได้ต่อแถวแน่นอน!”
เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเรียกคุณชายชุดฟ้าที่กำลังชะเง้อมองอย่างใจจดใจจ่อด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น
คุณชายชุดฟ้าถอนสายตากลับอย่างวอกแวก มองเสี่ยวเอ้อร์และถามว่า “พวกเจ้าสามารถช่วยให้ข้าได้ต่อแถวรึ? ข้าได้ยินมาว่าลำดับของวันนี้ใกล้จะเต็มแล้ว”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบด้วยรอยยิ้ม “ฮ่า ร้านถงฝูของเราเปิดที่นี่มาหลายปีแล้ว เหตุใดเรื่องแค่นี้จะทำไม่ได้ละ? หากบอกว่าให้ท่านได้ต่อแถวก็ต้องได้ต่อแถวแน่ หากไม่ได้ต่อแถว เราจะไม่เก็บเงินท่านเลย!”
คุณชายชุดฟ้าเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างครึ่งเชื่อครึ่งสงสัย
เขาเลือกห้องชั้นสองที่หันหน้าเข้าถนน ซึ่งบังเอิญมองเห็นสถานที่คัดเลือกใหญ่พอดิบพอดี แต่เมื่อเขายืนอยู่บนนั้นถึงได้รู้ว่าบนถนนเต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ไม่ได้มาเข้าร่วมการคัดเลือกใหญ่ฝั่งตะวันออกเพียงแห่งเดียว ฝั่งตะวันตกของถนนก็ตั้งแถวยาวเหยียดเช่นกัน แถวยาวยิ่งกว่า เยอะยิ่งกว่า แน่นหนาเบียดเสียดยิ่งกว่า!
“เอ๊ะ? ฝั่งนั้นมีการคัดเลือกศิษย์สำนักใดอีกรึ?” คุณชายชุดฟ้าถามเสี่ยวเอ้อร์ซึ่งกำลังรินชาให้ตน
เสี่ยวเอ้อร์ชำเลืองมองและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นของนิกายศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ทว่ามิใช่การคัดเลือกศิษย์ แต่เป็นการคัดเลือกหญิงรับใช้”
“หือ?” คุณชายชุดฟ้าทำหน้างง
เสี่ยวเอ้อร์เหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม “คุณชายคงไม่ใช่คนท้องถิ่นกระมัง?”
“อื้อ” คุณชายชุดฟ้าตอบเบาๆ
เสี่ยวเอ้อร์รินชาไปพลาง อธิบายอย่างอดทนไปพลาง “ประมุขศักดิ์สิทธิ์…คงเคยได้ยินมาก่อนกระมัง?”
คุณชายชุดฟ้าพยักหน้า “สิบสี่ปีก่อน ประมุขศักดิ์สิทธิ์กลับมา หยุดยั้งการฆ่าสังหารของเผ่ามาร และกวาดล้างวังมาร ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ฝึกฝนเพียงลำพังอยู่บนเขาเซิ่งเฟิงด้านหลังนิกายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ออกมาอีก”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยว่า “ประมุขศักดิ์สิทธิ์คือเจ้าแห่งฟ้าดิน หากเอ่ยให้ชัดเขามิใช่คนของนิกายศักดิ์สิทธิ์ ทว่าศิษย์ของเขาได้ก่อตั้งนิกายศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นอาจารย์ปู่แห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ปู่เคารพเขา ยอมยกเขาเซิ่งเฟิงที่มีหลิงชี่หนาแน่นที่สุดเป็นที่อาศัยและฝึกฝนแก่เขา เหล่านิกายศักดิ์สิทธิ์ภูมิใจที่ได้รับใช้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ แน่นอน ผลประโยชน์นั้นชัดเจน นิกายศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดยังสามารถเอ่ยได้ว่าไม่มีผลประโยชน์จากนามของประมุขศักดิ์สิทธิ์? หญิงรับใช้เหล่านั้นก็คัดเลือกแก่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”
คุณชายชุดฟ้ามองดูจำนวนคนที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน และถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใด…คนถึงเยอะเช่นนี้? หรือการเป็นหญิงรับใช้มีอนาคตไกลกว่าศิษย์?”
“ฮ่าๆ!” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะออกมา “เกรงว่าท่านคงยังไม่เคยเห็นตัวจริงของประมุขศักดิ์สิทธิ์กระมัง? หากเคยเห็น เกรงว่าคงไม่ถามเช่นนี้อีก”
พื้นที่โล่งบนถนนสุดฝั่งตะวันตกของใจกลาง ผู้คนแออัด แทบไม่มีช่องว่างให้น้ำไหลผ่าน
ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ที่รับผิดชอบการคัดเลือกหญิงรับใช้ต่างยุ่งจนหัวหมุน ผู้ใดจะคิดว่าเพียงตำแหน่งหญิงรับใช้ จะทำให้บรรดาบุตรีแห่งสำนักทั้งหลายทุ่มเทความพยายามเช่นนี้
ใช่ พวกนางคือบุตรีแห่งสำนัก
ผู้มาต่อแถวมิใช่คนธรรมดาทั่วไปสักคน!
“ธิดาผู้นำนิกายไคซัน ฉินหลิ่วจือ!” สตรีในชุดสีชมพูงดงามเชิดคางเอ่ย นางเกิดมาแม้จันทรายังหลบ หมู่มวลผกายังละอาย ดวงตาสดใสฟันขาวเรียงสวย อรชรอ้อนแอ้น กิริยาอ่อนช้อย งดงามจับตา
“ธิดาผู้นำนิกายซั่งหยาง มู่เฉียงเวย!” ด้านหลังนาง สตรีในชุดสีเขียวเดินออกมาอย่างสงบนิ่ง นางเหนือกว่าคนก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือความสามารถ
“ฮึ” ฉินหลิ่วจือมุ่ยปาก
“ธิดาผู้นำสำนักไป่เตา ไป๋ไป่เตา!” ตามมาด้วยน้ำเสียงห้าวหาญชาญชัย สตรีสาวในชุดจิ้นจวง[1]สีน้ำเงินเดินเข้ามา รูปลักษณ์ของนางไม่ต้องเอ่ยถึง ฉินหลิ่วจือหรือมู่เฉียงเวยล้วนไม่อาจเทียบนางได้เลย ด้านระดับพลัง สตรีสองนางแรกยังอยู่ในระยะปลายของระดับเทียน ทว่านางได้ข้ามมาถึงระดับเลี่ยนชี่แล้ว
เทียนตี้เสวียนหวงล้วนเป็นขั้นฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกาย มีเพียงการเข้าสู่ระดับเลี่ยนชี่จึงจะนับเป็นการเริ่มต้นเส้นทางบำเพ็ญอย่างแท้จริง
คนทั่วไปใช้เวลายี่สิบสามสิบปียังยากจะมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่าอัจฉริยะในการบำเพ็ญอย่างสุ่ยเยว่ชิงเป็นข้อยกเว้น สามขวบเขาเริ่มบำเพ็ญ แปดขวบเข้าสู่ระดับเลี่ยนชี่ ในวัยยี่สิบแตะขอบระดับไท่ซวี และยามนี้เขาได้เป็นยอดฝีมือไท่ซวีระยะกลางแล้ว
ด้วยความเร็วในการบำเพ็ญที่ผิดปกติเช่นนี้ ต่อให้พลิกผืนดินหาทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ยากจะพบคนที่สอง
สตรีตรงหน้าอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี มาถึงระดับเลี่ยนชี่แล้ว คุณสมบัติของนางเกือบจะแข่งขันกับสุ่ยเยว่ชิงได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นางยังเป็นธิดาผู้นำสำนักไป่เตา สำนักไป่เตาเป็นหนี่งในสิบสำนักบำเพ็ญที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานะของพวกเขาในยุทธภพ มิใช่นิกายไคซันหรือนิกายซั่งหยางจะเทียบได้
เมื่อฉินหลิ่วจือและมู่เฉียงเวยเห็นไป๋ไป่เตา สีหน้าก็พลันกลายเป็นสีเขียวคล้ำ
เป็นถึงธิดาแห่งสำนักไป่เตา กลับมาแย่งตำแหน่งหญิงรับใช้กับพวกนาง ไร้ยางอาย!
แค่คิดก็รู้ว่าพวกนางต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!
แต่หากบอกว่าการปรากฏตัวของธิดาแห่งสำนักไป่เตาทำให้คนหมดความมั่นใจ เช่นนั้นต่อไป การปรากฏตัวของน้องสาวผู้นำหอเชียนชิวก็ทำให้ทั้งถนนเงียบสงัดลง
ใครจะไม่รู้ว่าหอเชียนชิวมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับนิกายศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำหอเชียนชิวเป็นน้องชายฮูหยินเจ้าสำนักนิกายศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของหอเชียนชิวไม่ต้องเอ่ยถึง เพียงแค่ความสัมพันธ์กับนิกายศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักกันในยุทธภพว่านิกายศักดิ์สิทธิ์น้อยแล้ว น้องสาวผู้นำหอเชียนชิวเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่รู้ว่ามีบุรุษที่หลงใหลนางมากมายเพียงใด ระดับพลังของนางก็สูงจนไร้ผู้ใดเทียบเทียมได้ ถึงระยะปลายของระดับเลี่ยนชี่แล้ว
แน่นอน มีข่าวลือว่านางอาศัยยาเสริมพลังของนิกายศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกฝน แต่มียาเสริมก็ต้องใช้โชคและความสามารถของคนผู้นั้นอยู่ดี!
“เหตุใดแม้แต่นางก็ยังมาคัดเลือกเป็นหญิงรับใช้” หญิงงามที่มาเข้าร่วมการคัดเลือกคนหนึ่งพึมพำ
ฟู่หรูเสวี่ยไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของผู้นำหอเชียนชิว ทว่าเป็นน้องสาวของฮูหยิน ฮูหยินของผู้นำหอเชียนชิวจากไปเร็ว ก่อนนางจะตายได้ฝากน้องสาวไว้กับผู้นำหอเชียนชิว เขารับนางเป็นน้องสาวและเห็นนางเป็นดั่งบุตรี รักใคร่เอ็นดูนางเป็นอย่างมาก
นางมาคัดเลือกเป็นหญิงรับใช้ แม้ผู้นำหอเชียนชิวไม่ชอบ แต่ก็ยังเคารพในความคิดของนาง
“ได้ยินว่า เลือกเพียงหนึ่งคน”
“เช่นนั้นเรายังมีโอกาสอยู่หรือไม่?”
“พี่ชายนางเอ่ยทักคำเดียว ก็คงไม่มีอะไรให้พวกเราทำแล้วกระมัง?”
ทุกคนรู้สึกเหมือนว่าตนไร้แต้มต่อ ทว่าเวลานี้นกหลวนห้าสีตัวหนึ่งได้บินมาจากฟากฟ้า อานุภาพทรงพลัง พัดต้อนฝูงชนแออัดออกไปจนพ้นทาง
ด้านบนนกหลวนมีสตรีดุจเทพธิดาในชุดสีเหลืองนั่งอยู่
สตรีผู้นั้นมัดมวยผมเรียบง่าย ที่มัดผมสีทองพลิ้วไสวตามสายลม ยิ่งขับกลิ่นอายเทพธิดาให้แก่นาง นางสวมผ้าคลุมหน้าโปร่งแสง เหนือผ้าคลุมหน้ามีดวงตาคู่สวยราวกับดวงดาว จมูกภายใต้ผ้าคลุมหน้าโด่งเป็นสัน มุมปากคลี่ยกเล็กน้อย และพวงแก้มทั้งสองที่ปรากฏเลือนราง
ฟู่หรูเสวี่ยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า งามดุจเทพธิดา แต่เมื่อเทียบกับสตรีตรงหน้า ก็กลายเป็นเทพธิดาตกสวรรค์ หน้ากระแทกพื้นทันที!
สตรีผู้นั้นกระโดดเหาะจากหลังนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ลงมาตรงหน้าทุกคน
รอยยิ้มสดใสเย้ายวนนั้นมาพร้อมกับร่องรอยความชั่วร้ายขี้เล่น
นางเดินเข้าหาฝูงชนทีละก้าว ทุกย่างก้าวยิ่งรู้สึกว่านางสวยขึ้น
หญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าถูกนางทำให้กลายเป็นเศษดิน ถนนทั้งสายต่างเงียบสงัด
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนว่า “อ๊าก! นางมารมาแล้ว! ทุกคนหนีเร็ว!”
ร้านค้าที่เรียงรายพากันปิดประตูหน้าต่าง ผู้คนที่ขายของริมทางก็รีบแยกย้ายเก็บแผง ถนนที่พลุกพล่านกลับ…ว่างเปล่าในพริบตา!!!
ดังนั้นผู้มาคัดเลือกจึงต่างตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น?
ผู้คนเล่า?
คุณชายชุดฟ้าอยากดูมากกว่านี้ แต่เสี่ยวเอ้อร์ก็ปิดกลอนหน้าต่างดังปึง!
นั่นคือนางมารร้ายที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดูไม่ได้! หากดูต้องควักลูกตา!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อแบมืออย่างช่วยไม่ได้ “วันนี้ข้าไม่ได้มาเล่น ข้ามาทำธุระ”
หลังจากนั้นนางก็เลิกคิ้วหันตัวเดินไปหาบรรดาศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์
บรรดาศิษย์รู้สึกว่าลมหายใจหยุดชะงัก
โอ้สวรรค์ มิใช่ไม่กี่วันนางเพิ่งก่อเรื่อง ถูกปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาจับกลับบ้านไปขังไว้หรอกหรือ? เหตุใดปล่อยออกมาเร็วเช่นนี้? สงสารพวกเขาเถอะ รับมือนางจนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ บัดนี้ยังนอนห้อยขาข้างหนึ่งบนเตียงคนป่วยอยู่เลย!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเดินผ่านฟู่หรูเสวี่ยไป
ยามอยู่ห่างกัน ความแตกต่างมองเห็นได้เพียงเล็กน้อย บัดนี้เมื่ออยู่ใกล้กัน ความบกพร่องในรูปลักษณ์ของฟู่หรูเสวี่ยก็ถูกขยายใหญ่ขึ้นทันที หญิงงามอันดับหนึ่ง เหตุใดจู่ๆ…ก็ดูไม่ได้เสียอย่างนั้น?
ฟู่หรูเสวี่ยยังดูไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนที่เหลือ สรรพสิ่งในโลกล้วนหมองหม่น!
ผู้งดงามดั่งเทพธิดาเช่นเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ไหนเลยจะไม่อาจเทียบหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทว่าเพราะชื่อเสียงอื้อฉาวและ…ระดับที่ต่ำเกินไปของนาง
กล่าวให้ถูกคือ นางไม่มีระดับ นางเป็นจอมห่วย!
นิกายเซียนเป็นสำนักที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นเมื่อสิบสี่ปีก่อน หลังจากปรากฏขึ้นก็ได้บุกเบิกด้วยความเร็วที่มีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่มีปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาผู้ไร้เทียมทาน แต่ยังมีทายาทเผ่าโบราณอีกสามคน ส่วนฮูหยินแห่งสำนัก มีข่าวลือว่านางมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยม ทำให้คนถึงกับหลั่งน้ำตา (เพราะรสชาติแย่เกินไป) ฆ่าคนโดยหาตัวจับไม่ได้ (นั่นก็เพราะรสชาติแย่เกินไป) และยังสามารถรักษาโรคได้มากมาย (ขอเพียงไม่กิน อะไรก็ได้ทั้งนั้น!)
ครอบครัวที่ทรงพลังอำนาจเช่นนี้กลับมีบุตรสาว (น้องสาว) จอมห่วยอย่างเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ทุกคนเดาว่าความแตกต่างใหญ่หลวงนี้ ทำให้จิตใจของนางบิดเบี้ยว! นางแทบจะไม่ใช่คนแล้ว! วันๆ หากไม่ได้ทำให้พวกเขาวุ่นวายหมาเตลิดไก่กระเจิง นางก็ไม่มีทางจบ!
แม้ไร้วรยุทธ์ แต่นางมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ผู้บำเพ็ญธรรมดาหาเครื่องมือสักชิ้นยังยาก กลับถูกนางใช้เป็นผ้าขี้ริ้วที่นี่ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นเพียงสิ่งที่พื้นฐานที่สุด แม้แต่อาวุธวิญญาณนางก็มี!
ยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่สู้ไม่ได้ ก็ขว้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ระเบิดอาวุธวิญญาณ ยังไม่ทันกะพริบตาก็เอาชนะได้จนคนสุดท้าย นางไม่เจ็บปวด คู่ต่อสู้นางเจ็บปวด เจ็บปวดจนน้ำตาไหลอาบหน้า
ชั่วชีวิตข้าไม่เคยเห็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้มาก่อน ทั้งหมดกลับถูกเจ้าระเบิดทำลายในคราวเดียว!
“นางหยิ่งทระนงเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดทำอะไรเลยหรือ?” คุณชายชุดฟ้าถามเสี่ยวเอ้อร์
เสี่ยวเอ้อร์ทอดถอนใจ “จะทำอะไรได้ละ? สู้พ่อของนาง หรือหนีพี่ชายทั้งสามของนาง? อีกอย่าง นางยังมียายอีกคน! คนนั้นน่ะ…”
คำหลังจากนั้น เสี่ยวเอ้อร์ไม่พูดต่อ เขารู้สึกเริ่มปวดฟัน!
ยายเซียนสวรรค์ท่านนั้นไม่ได้มาอยู่ที่นี่บ่อยนัก ว่ากันว่านางอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดของพวกเขา ที่ที่เรียกว่า…โจวอะไรสักอย่าง นานๆ จะมาที่นี่สักครั้ง ในยามปกติ พวกเขารับมือมารร้ายคนเดียวก็พอแล้ว หากยายเซียนสวรรค์มา พวกเขาก็ต้องจัดการกับมารร้ายถึงสองคน ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์มากกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง!
ชื่อเสียงอันโด่งดัง (ฉาวโฉ่) ของเยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่มีใครในโลกไม่รู้ ดังนั้นศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์จึงจำนางได้ดี หัวหน้าศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์กลั้นใจถามว่า “แม่นางเยี่ยนมีเรื่องใดหรือ?”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตบป้ายหยกพิสูจน์ตัวตนลงกับโต๊ะ “ข้าต้องการลงสมัครคัดเลือก!”
ทุกคนตกตะลึง พวกเขาคงไม่ได้หูฝาดกระมัง? นางมารแห่งสกุลเยี่ยนสมัครเป็นหญิงรับใช้นิกายศักดิ์สิทธิ์? แม้จะรับใช้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ แต่ประเด็นคือ…นางมารที่รู้จักแต่ก่อเรื่องให้คนทั้งวัน จะรู้วิธีรับใช้คนได้อย่างไร?
แล้วเหตุผลใดทำให้นางมารสูงส่งเช่นนางคิดยอมสงบเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น??
ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ต่างมองหน้ากัน คิดว่าไม่อาจปล่อยให้จอมหายนะเช่นนี้เข้าสู่นิกายศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกเขาเลือกหญิงรับใช้ให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ มิใช่เด็กแก่แดด แม้ว่าบุตรีคนอื่นก็ถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก ทว่าส่วนใหญ่ก็มีความเห็นอกเห็นใจ เอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
นางมารตนนี้ ลืมไปซะเถอะ!
“เอ่อ…เจ้าต้องต่อแถว” ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์กล่าว
“อ้อ? เช่นนั้นเจ้าก็ดูสิว่าที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองกลับไป
ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์มองดูชัดๆ เฮ้ย! ฝูงชนที่แออัดละ? เหตุใดหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา?!
สตรีสองสามคนที่ลงสมัครแล้วยังมีความกล้าพอที่จะรอ
“เจ้าอย่าเสียเวลาเลย คราวนี้เลือกเพียงหนึ่งคน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้เลือกเจ้าหรอก”
“นั่นสินะ จอมห่วยอย่างเจ้า จะมีคุณสมบัติใดเข้านิกายศักดิ์สิทธิ์?”
“แล้วชื่อเสียงของเจ้าก็ฉาวโฉ่เช่นนั้น!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อชักดาบวิเศษออกมา ทันทีที่ดาบเล่มนั้นออกจากฝักก็แยกร่างดาบมากมายนับไม่ถ้วน ดาบแต่ละเล่มฉายแสงเย็นเยียบตกกระทบคิ้วพวกนาง
ภายใต้พลังกดดันมหาศาลของอาวุธวิญญาณ แม้แต่ฟู่หรูเสวี่ยที่อยู่ปลายระดับเลี่ยนชี่ก็ยังสูญเสียพลังในการต้านทานไปจนหมดสิ้น
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกอดอกเอ่ยว่า “ที่พวกเจ้าเอ่ยเมื่อครู่ เอ่ยมันให้ข้าฟังอีกทีซิ!”
………………………