หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 39 ประมุขศักดิ์สิทธิ์เยี่ยนเสี่ยวซื่อ
พวกเจ้าสองคนลืมไปหรือว่าเพิ่งโดนฟ้าผ่ามา? อัสนีบาตก็ยังไม่อาจหยุดการเกี้ยวพาราสีของพวกเจ้า?
ทุกคนรู้สึกว่าตนไม่อาจดูต่อไปได้ แต่ก็อดที่จะแอบดูไม่ได้ อย่างไรก็เป็นบุรุษรูปงามล่มเมืองสองคน แล้วอย่างไร บุรุษหนึ่งในนั้นก็คือประมุขศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา!
แต่เหตุใด…ประมุขศักดิ์สิทธิ์จึงถูกบุรุษผู้นั้นเป็นฝ่ายกระทำ?
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ควรเป็นฝ่ายกระทำเขามิใช่หรือ?
ในแง่ของความสูง อันที่จริงทั้งสองใกล้เคียงกัน ทว่า…ประมุขศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติปี้กู่มาหลายปี แม้บางครั้งยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญทว่าก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ประมุขศักดิ์สิทธิ์จึงมีรูปร่างสูงผอม เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษชุดดำจึงดูเหมือนสูงใหญ่กำยำกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนยังค่อยๆ พบว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง คล้ายกับไร้ซึ่งกลิ่นอายดุดันโดยสิ้นเชิง กลับเป็นบุรุษชุดดำที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด!
ไม่!
นี่ไม่ใช่ความจริง!
“เอาละ เรากลับกันเถอะ!” หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ยืดเอวขี้เกียจเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ารัก!
ผู้คนที่เห็นท่าทางสตรีเต็มสิบของประมุขศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายก็สั่นไม่หยุด
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวซื่อหันหลังกลับจึงได้เห็นกลุ่มของนิกายศักดิ์สิทธิ์
ส่วนประมุขมาร อือ เขาเองก็เพิ่งรู้
ด้วยความสามารถของเขา แท้จริงแล้วไม่ถึงกับสัมผัสการเข้าใกล้ของผู้บำเพ็ญไม่ได้ ทว่าเรื่องเมื่อครู่ช่างยากเย็นนัก
เขาเป็นบุรุษ
ให้เขาทำเช่นนี้กับชายอื่น ผีเท่านั้นที่รู้ว่าในใจเขาฆ่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ตายไปกี่พันครั้ง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อจำประมุขหลินแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ได้ดี นิกายเซียนมีการติดต่อธุรกิจกับนิกายศักดิ์สิทธิ์ บิดาของนางหลอก…เอ่อ ไม่สิ ใช้หญ้านางฟ้า (วัชพืช) จำนวนหนึ่งในเผ่าโบราณแลกกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือของประมุขหลิน
นางติดตามบิดาและได้พบกับประมุขหลินหลายครั้ง
เมื่อเห็นว่าเป็นเขา เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็โล่งใจ
บุรุษที่ต่อสู้กับประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ว่าคือผู้ใด นางรู้สึกว่าเขาอันตรายอย่างยิ่ง มีพวกของประมุขหลิน ก็ดีกว่าจัดการกับเขาเพียงลำพังมาก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยกมือขึ้นกำลังจะเอ่ยทักทายประมุขหลินอย่างอ่อนหวาน ทันใดนั้นประมุขหลินก็โค้งคำนับเยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างนอบน้อม “คารวะประมุขศักดิ์สิทธิ์!”
“คารวะประมุขศักดิ์สิทธิ์!”
ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ด้านหลังเขายกมือคำนับ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อผงะ
จากนั้นนางก็นึกได้ว่ายามนี้นางไม่ใช่เยี่ยนเสี่ยวซื่อ แต่เป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์
ดวงตาเยี่ยนเสี่ยวซื่อหลุกหลิกไปมา คิดว่าจะอธิบายความจริงกับพวกเขาอย่างไร บอกว่านางหลงทางเข้าไปในเขาเซิ่งเฟิงแล้วถูกฟ้าผ่าพร้อมกับประมุขศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์แล้วกลายเป็นนาง ส่วนนางก็กลายเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์?
พวกเขาจะเชื่อหรือไม่?
ประมุขศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นทารกน้อยที่พูดไม่ได้ คำพูดของตนฝ่ายเดียว…จะเพียงพอหรือ?
เอ๊ะ?
แต่เขาก็ยังเชื่อไม่ใช่หรือ?
สายตาเยี่ยนเสี่ยวซื่อตกกระทบร่างประมุขมารที่อยู่ข้างกาย คนที่ไม่เคยรู้จักตนยังเชื่อ ประมุขหลินที่ไปมาหาสู่กับประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเชื่อเป็นแน่!
เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงมั่นใจขึ้นมาทันที
ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ประมุขมารก็คลี่ยิ้มเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “ผู้ใดก็ตามที่รู้เรื่องนี้ ต้องตาย”
เรื่องนี้หมายถึงเรื่องใด ไม่ต้องบอกก็รู้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อถลึงตามองเขา
ประมุขมารเอ่ยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “จ้องข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่เชื่อก็ลองดู เจ้าบอกหนึ่งคน ข้าก็ฆ่าหนึ่งคน เจ้าบอกทั้งกลุ่ม ข้าก็ฆ่าทั้งกลุ่ม”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมุ่ยปาก “เหตุใดเจ้าถึงได้โหดร้ายเช่นนี้!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่คิดว่าคำพูดของเขาเป็นเท็จ อย่างไรดูไปแล้วเขาก็ไม่ใช่คนดีเลยสักนิด!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยต่อ “ผู้ใดก็ตามที่รู้เรื่องนี้ ต้องตาย เช่นนั้นแม้แต่ข้าเองก็ต้องตายมิใช่หรือ? ในเมื่ออย่างไรก็ต้องตาย ไม่สู้ข้าบอกพวกเขา ให้พวกเขาต่อสู้กับเจ้า ถึงตายก็จะกัดเนื้อเจ้าให้ขาด!”
“ตราบใดที่เจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
“แล้วหากข้าไม่ทำละ?”
“เจ้ามีทางเลือกหรือ? คนเหล่านี้ รวมทั้งอาวุธวิเศษสิบเจ็ดชิ้น อาวุธวิญญาณอีกสามชิ้นบนตัวเจ้า ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
แม้แต่นางมีอาวุธวิเศษหรืออาวุธวิญญาณในตัวอยู่กี่ชิ้น คนผู้นี้ก็รู้?
เยี่ยนเสี่ยวซื่อรีบกุมปิดกระเป๋าเฉียนคุน แต่ก็พบว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของนาง กระเป๋าเฉียนคุนก็ย่อมไม่ได้อยู่ที่เอวของนาง
ประมุขมารหยิบกระเป๋าเฉียนคุนของนางออกมาราวกับเล่นกล ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยมองนางราวกับกำลังถามว่า คิดว่าอย่างไรละ?
คนฉลาดย่อมรู้จักถอยเพื่อรักษาชีวิต!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกัดฟันเอ่ยกับเขา “แล้วหากเจ้าให้ข้าทำเรื่องชั่วร้ายเล่า?”
ประมุขมารกล่าวอย่างหยิ่งทระนง “เรื่องชั่วร้าย ข้าทำเองก็พอ ไม่ต้องการยืมมือผู้ใด”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ให้ข้าบอกตัวตนกับพวกเขา?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม
ประมุขมารกล่าว “ข้ากำลังตามหาคน อาจต้องใช้ฐานะประมุขศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่คนชั่วช้าเลวทราม และจะไม่ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าเกิดความสูญเสีย”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขา พยายามเค้นความจริง ประมุขมารมองนางกลับอย่างตรงไปตรงมา ไร้ร่องรอยการหลบเลี่ยงใดๆ
ห่างไปไม่ไกลนัก พวกนิกายศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังทำความเคารพอยู่ต่างตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไร? พวกเขายังทำความเคารพอยู่เลย ท่านไม่ต้องเสน่หาลึกซึ้งกับสามีเช่นนี้ก็ได้กระมัง? สบตาประสานรักกันหรือ?
ช่วยคิดถึงความรู้สึกบริวารอย่างพวกเราด้วยได้หรือไม่?
ประมุขมารยกมุมปากเอ่ยว่า “อีกอย่าง เจ้ามิได้ต้องการคลายสะกดหรอกรึ? เลยกำหนดมาถึงสี่ปี เขายังไม่คลายให้เจ้า ดูแล้วคงไม่อยากช่วยเจ้ากระมัง ข้าอาจช่วยให้เจ้าคุ้นเคยกับวิชายุทธ์ในร่างกายนี้ก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น เจ้าก็จะคลายสะกดได้ด้วยตัวเอง”
นี่เป็นฟางล่ออูฐเส้นสุดท้าย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตัดสินใจ เชิดคางทำสีหน้าเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี วันนี้ข้าฝึกวิชาในเขาเซิ่งเฟิง จนแทบเป็นบ้า ต้องขอบคุณสหายท่านนี้ที่ช่วยเหลือ ข้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ทุกคนต่างสบตาคิดตรงกัน เอ่ยในใจว่าเราไม่ได้ตาบอด แต่ในเมื่อท่านบอกว่าฝึกฝนวิชา เช่นนั้นก็ฝึกฝนวิชาเถอะ เราจะเก็บความลับให้ท่านเองประมุขศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรการเป็นโสดหมื่นปีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
มิน่าละ ส่งหญิงรับใช้คนใดมาท่านก็ไม่เคยยอมรับไว้ ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายได้ง่ายๆ
ใช่ หญิงรับใช้เหล่านั้นก็ไม่ต้องส่งมาที่เขาเซิ่งเฟิงแล้ว คราวหน้าคัดเลือกศิษย์ชายมาสักสองสามคนน่าจะดีกว่า
ทว่า…เสี่ยวเอ้อร์ที่มีรูปโฉมแลกลิ่นอายเช่นบุรุษผู้นี้ เกรงว่าจะพบคนที่สองได้ยาก
สิ่งที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่รู้คือ หลังจากพบหน้ากันไม่นาน เหล่ายอดฝีมือนิกายศักดิ์สิทธิ์ต่างก็คิดหาวิธีสร้างวังหลังให้นางแล้ว
“ขอบังอาจถาม…เราจะเรียกคู่…” ประมุขหลินอยากเอ่ยว่าคู่ชะตาบำเพ็ญเพียร ทว่าเอ่ยได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกผู้พิทักษ์ด้านหลังสะกิดเอว เขาสะดุ้งรีบเปลี่ยนคำพูด “สหาย ใช่ สหายว่าอย่างไร!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเองก็ไม่รู้!
นางหันมามองเขา เจ้าชื่ออะไร?
ประมุขมารเอ่ยอย่างเฉยเมย “ชื่อข้า เป็นสิ่งที่พวกเจ้ารู้ได้หรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ประมุขหลินไม่ได้โกรธ ฟังสิๆๆ น้ำเสียงยโสโอหังเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเย่อหยิ่งเพราะเป็นที่โปรดปราน! ความสัมพันธ์คู่ชะตาบำเพ็ญเพียรกับประมุขศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องจริง!
แม้ว่ารสนิยมของประมุขศักดิ์สิทธิ์จะทำให้พวกเขาสับสน ทว่าก็ยังเป็นประโยคเดิม เป็นโสดมาหลายหมื่นปี พวกเขาเห็นอกเห็นใจประมุขศักดิ์สิทธิ์ แค่การเป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรกับบุรุษเองมิใช่หรือ? ต่อให้เขาเป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรกับสัตว์ร้าย พวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้!
ประมุขศักดิ์สิทธิ์เสียสละเพื่อพวกเขามามากมาย ยามนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตอบแทนประมุขศักดิ์สิทธิ์
พวกเขาจะต้อง จะต้องปกป้องความลับของประมุขศักดิ์สิทธิ์!
“เช่นนั้น…พวกเราส่งประมุขศักดิ์สิทธิ์กลับไปกันเถอะ” ประมุขหลินกล่าว
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้า เดินไปได้ก้าวหนึ่ง ร่างกายของนางก็ทรุดลง ประมุขมารพยุงรับนางไว้ได้ทันเวลา
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ทุกคนเห็นสีหน้าซีดเซียวของประมุขศักดิ์สิทธิ์
ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ อีกทั้งยังถูกอัสนีบาตตกลงมาก้นเหว ยังไม่ฟื้นตัวดี ทำให้ยามนี้เหนื่อยล้าจนร่างกายอ่อนแรง
ในสายตาของทุกคน ประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ถูกทำร้าย ทว่าอ่อนแอเช่นนี้เพราะมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่
สายตาทุกคู่ตกกระทบเรือนร่างของประมุขมาร หรือว่าทำอะไรบางอย่างมากเกินไป? บุรุษผู้นี้ดูเหมือนผู้มีพรสวรรค์ ที่แท้กลับเป็นปีศาจจิ้งจอกหนุ่ม? ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้างเลยหรือ?
ประมุขมารลอบส่งพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างไร้ร่องรอย เยี่ยนเสี่ยวซื่อรู้สึกได้ทันทีว่าตนเองมีพลังเต็มเปี่ยม
“ข้าเดินเองได้แล้ว” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่เอ่ยจบก็นึกขึ้นได้ว่าบัดนี้ตนเป็นใคร นางรีบก้มหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไปกันเถอะ”
ทุกคน “…”
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมาด้วย!
ยิ้มให้ปีศาจจิ้งจอกหนุ่ม!
พวกเรามองไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น…
เดินไปซักพัก ยามผ่านบ้านไม้เล็กๆ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยกับทุกคนว่า “ช้าก่อน”
นางเดินกลับไปยังบ้านไม้หลังเล็ก และอุ้มประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยในห่อผ้าออกมา
เมื่อเห็นทารกในอ้อมแขนของเขา ประมุขหลินสองขาพลันอ่อนแรง จับศีรษะคุกเข่าลงกับพื้น!
ไม่ใช่กระมัง? พวกเจ้าสองคนทำเด็กออกมาเลยหรือ?!
………………………