หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 40 ความอ่อนโยนของประมุขมาร
พวกเขากลับมายังเขาเซิ่งเฟิง
แม้ว่าภูเขาเซิ่งเฟิงจะถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ทว่าวังที่ประมุขศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลานุภาพยิ่ง ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
ประมุขหลินมองดูประมุขศักดิ์สิทธิ์ของพวกตนกับบุรุษชุดดำเข้าไปในวัง ส่วนตัวเองก็หยุดรอนอกวังอย่างรู้ดี
คนที่คุ้นเคยกับประมุขศักดิ์สิทธิ์ รู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าไปในวังของเขา ต่อให้เป็นอาจารย์ปู่ก็ทำได้เพียงยืนคุยกับเขาอยู่ในลาน ไม่เช่นนั้น ประมุขหลินจะรู้สึกได้อย่างไร ว่าหลายปีมานี้ประมุขศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างโดดเดี่ยวเกินไป?
หากคุ้นเคยกับนิสัยของประมุขศักดิ์สิทธิ์ แต่ประมุขหลินยังกล้าเลือกหญิงรับใช้ให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องบอกว่าประมุขหลินไม่ธรรมดาทีเดียว
เมื่อแน่ใจว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์เดินออกไปไกลแล้ว ประมุขหลินจึงทอดถอนใจยาวเหยียด สะบัดแขนเสื้อ หันไปเอ่ยกับผู้พิทักษ์ด้านหลัง “สิ่งที่พวกเจ้าเห็นวันนี้ ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะคิดเช่นไร แต่ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด นี่คือคำสั่ง เข้าใจหรือไม่?”
ทุกคนยกมือคำนับรับคำสั่ง
ประมุขหลินทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้
เอ่ยตามตรง การเลี้ยงปีศาจจิ้งจอกหนุ่มอะไรนั่น มิใช่เรื่องที่ยากยอมรับเกินไปในสายตาของประมุขหลิน แต่หากเจ้าสำนักของพวกตนเป็นฝ่ายที่อยู่ด้านล่าง ก็ยากที่จะเอ่ยปาก
เมื่อนึกถึงประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่หยอกล้อกับทารกผู้นั้นมาตลอดทางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน ประมุขหลินก็ยิ่งเชื่อว่าการคาดเดาของตนนั้นถูกต้อง
ยังเป็นประโยคเดิม หากเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงไม่มีวันเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
เหตุผลคือ หนึ่ง ไม่มีผู้ใดเก่งกาจสามารถใช้กลอุบายกับประมุขศักดิ์สิทธิ์ได้ สอง พลังปราณของประมุขศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีผิด ไม่มีทางที่จะเป็นตัวปลอม
ดังนั้นประมุขหลินจึงค่อนข้างเชื่อว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ถูกปีศาจจิ้งจอกหนุ่มทำให้หลงใหลปลาบปลื้ม เพราะอย่างไรประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงปฏิบัติกับพวกเขาเช่นดอกไม้บนผาสูง มีเพียงยามที่พูดคุยกับปีศาจจิ้งจอกหนุ่มเท่านั้นที่ส่งสายตาเสน่หาให้
“กลับไปกันเถอะ จำที่ข้ากำชับให้ดี หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ!”
ประมุขหลินออกคำสั่งจบ กำลังจะไปจากเขาเซิ่งเฟิงพร้อมทุกคน ทว่าไหนเลยจะรู้ว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็กลับมา
นางเพิ่งเดินดูรอบวัง ก็พบว่าช่างวังเวงยิ่งนัก! นอกจากพวกเขาสามคน ก็ไม่มีผู้ใดอีก!
“ประมุขหลินโปรดอยู่ต่อ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเลียนแบบท่าทางของประมุขศักดิ์สิทธิ์ เรียกประมุขหลินด้วยสีหน้าราบเรียบ
ประมุขหลินรีบหันกลับมาและเอ่ยอย่างสุภาพ “ประมุขศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งใดรับสั่งหรือ?”
“คนในวังไปที่ใดกันหมด?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม
“หา?” ประมุขหลินประหลาดใจที่ถูกถามเช่นนี้ ในวังของเจ้ามีคนด้วยหรือ?
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นสีหน้าประมุขหลิน นางก็ตระหนักได้ทันทีว่าพูดบางอย่างผิดไป ในวังแห่งนี้เดิมทีไร้ผู้คนอยู่แล้ว เจ้าก้อนน้ำแข็งอยู่คนเดียวมาตลอดหลายปี
ไม่มีแม้กระทั่งข้ารับใช้ เขาคุ้นชินกับมันได้อย่างไร?
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเติบโตขึ้นมาก็มีผู้คนรายล้อมตั้งแต่ยังเด็ก ยากจะเข้าใจว่าคนเราจะอยู่รอดในค่ำคืนยาวนานที่นับไม่ถ้วนได้อย่างไร อีกอย่าง การอยู่คนเดียวก็ช่างน่าเบื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกระแอมในลำคอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้คัดเลือกหญิงรับใช้ให้ข้าหรอกหรือ? เหตุใดถึงยังไม่ได้ส่งมา?”
เมื่อถูกโยนความผิด ประมุขหลินก็พลันตื่นตระหนก
สมกับเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ เขายังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดก็รู้ทัน ใต้หล้าจะมีเรื่องใดปิดบังประมุขศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ได้!
เดิมทีประมุขหลินคิดจะยกเลิกการคัดเลือกหญิงรับใช้ ทว่าเมื่อประมุขศักดิ์สิทธิ์เอ่ยปาก เขาก็ย่อมต้องส่งคนมา
คืนนั้น ธิดาผู้งดงามอ่อนช้อยจากสำนักต่างๆ จึงถูกส่งมายังวังในเขาเซิ่งเฟิง
พวกนางไม่รู้เรื่องปีศาจจิ้งจอกหนุ่มแม้แต่น้อย รู้เพียงม่านพลังบนเขาเซิ่งเฟิงถูกทำลาย หลังจากนั้นก็มีอัสนีบาต ประมุขหลินแจ้งกับภายนอกว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์กลั่นยาคุณภาพสูง นำพาฟ้าดินแปรปรวนเกิดฟ้าผ่า
ส่วนปีศาจจิ้งจอกหนุ่ม ประมุขหลินอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของประมุขศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ล่วงเกินเขา
“จริงสิ เหตุใดไม่เห็นแม่นางเยี่ยนเล่า?” ฉินหลิ่วจือถาม
มู่เฉียงเวยเยาะเย้ย “นางน่ะเรอะ แปดในสิบส่วนคงกลัวฟ้าผ่าฟ้าร้องหนีกระเจิงไปแล้วกระมัง!”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะ
ขี้ขลาดเช่นนี้ กล้าถ่อมาแย่งตำแหน่งสาวใช้ประมุขศักดิ์สิทธิ์กับพวกนาง บัดนี้คงรู้แล้วว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะรับใช้ประมุขศักดิ์สิทธิ์
“พวกเจ้าว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์จะเลือกผู้ใดเป็นข้ารับใช้คนสนิท?” ฉินหลิ่วจือถาม
ในบรรดาสี่คน รูปลักษณ์และความสามารถของนางธรรมดาที่สุด ดังนั้นเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้จากปากนางจึงดูเหมือนต้องการรู้จริงๆ ไม่เป็นที่น่ารังเกียจ
“ข้าคิดว่าเป็นคุณหนูฟู่” มู่เฉียงเวยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? รูปโฉมกิริยาของฟู่หรูเสวี่ยยอดเยี่ยมที่สุด ความสามารถและขอบเขตพลังก็สูงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเกี่ยวดองกับประมุขหลิน!
เมื่อครู่เขาเซิ่งเฟิงตั้งม่านพลัง พวกนางถูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์พากลับมารอที่สำนัก พวกนางนั่งอยู่ในห้องโถง มีเพียงฟู่หรูเสวี่ยที่ไปห้องชั้นบนของฮูหยินเจ้าสำนัก
ฟู่หรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าทุกคนมีโอกาส บางทีเราทุกคนอาจเป็นข้ารับใช้ของประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้”
คำพูดของนางปลอมพอๆ กับรอยยิ้ม หากพวกนางฟังแล้วยังเชื่อก็คงจะโง่เกินไป
แม้รูปร่างหน้าตาและความแข็งแกร่งจะไม่ดีเท่านาง ทว่าจิตใจพวกนางก็ยังดีกว่า
พวกนางต้องได้รับความโปรดปรานจากประมุขศักดิ์สิทธิ์ ได้อยู่เป็นผู้รับใช้ข้างกายประมุขศักดิ์สิทธิ์ในวัง!
ผลสุดท้าย ทั้งสี่ได้รับเลือกให้อยู่
ทว่ากลับไม่มีผู้ใดมีความสุข เพราะแม้พวกนางจะได้อยู่รับใช้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ ทว่า…การปรนนิบัติรับใช้ในความหมายของพวกนาง คือการหวีผมให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ จัดแจงอาภรณ์ อาบน้ำเปลื้องผ้า อ่านหนังสือให้ฟัง พูดคุยแก้เบื่อ……
มิใช่ทำงานตรากตรำเช่นนี้!
“เจ้า ไปตักน้ำ”
“เจ้า ไปตัดฟืน”
“เจ้า ไปทำอาหาร”
“ส่วนเจ้า เอาผ้าอ้อมเหล่านี้ไปซัก!”
ตักน้ำ ตัดฟืน ทำอาหาร ซักผ้าอ้อม นี่ไม่ใช่งานของสตรีหยาบกร้านหรอกหรือ? พวกนางเป็นหญิงรับใช้ใกล้ชิด เป็นหญิงรับใช้ที่มีสถานะ เป็น…เป็นได้ครึ่งหนึ่งของเจ้านาย!
“ทำไมรึ? ไม่อยากทำ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อสองมือไพล่หลัง เอ่ยอย่างเฉยเมย
“ไม่…ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
พวกนางก้มหัวตอบ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้นยังไม่รีบไปอีก? รอให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์ปรนนิบัติพวกเจ้าหรืออย่างไร?”
“เจ้าค่ะ!”
พวกนางรีบไปด้วยความตื่นตระหนก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหันกลับมากลั้นยิ้ม เป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเช่นนี้เองหรือ? ไม่เลวเลย!
“เจ้าจะอธิบายกับครอบครัวอย่างไร?”
ขณะที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อกำลังพอใจ เสียงขรึมหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังนาง
อันที่จริงนอกจากความโหดเหี้ยม เยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าเขาหล่อเหลาดูดี น้ำเสียงก็ไพเราะ เป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกอดอกยิ้ม “ไม่ต้องอธิบายหรอก ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไม่อยู่บ้าน พี่ชายข้าก็ไปเผ่าโบราณ ยังไม่กลับมาเร็วๆ นี้ ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะกล้ามาคัดเลือกเป็นหญิงรับใช้ที่นิกายศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร!”
ประมุขมารได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีการตอบสนองใดมากนัก ราวกับเป็นเช่นที่เขาคาดไว้แล้ว
“จริงสิ ข้าแซ่เยี่ยน ครอบครัวมีสี่คน เรียกข้าว่าเสี่ยวซื่อก็ได้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ย “แล้วเจ้าละ เจ้าชื่ออะไร?”
ยามที่ประมุขหลินถามชื่อของเขา เขาถลึงตาใส่ประมุขหลิน เดิมทีเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าเขาก็คงไม่เอ่ยต่อหน้าตนเช่นกัน ริมฝีปากบางของเขาเผยอออกและกระซิบเบาๆ “เสี่ยวเจา”
“เสี่ยวเจา?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกะพริบตา “โอ้”
ประมุขมารเหลือบมองนาง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าดุร้ายเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าจะมีชื่อที่เฉียบขาดกว่านี้เสียอีก เสี่ยวเจานี่น่ารักทีเดียว!”
ประมุขมารไม่โกรธนาง เพียงส่งเสียงอืมเบาๆ ราวกับยอมจำนนต่อนาง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหันไปมองเขา และพบว่าเขากำลังมองดูราตรีไร้ขอบเขต ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อนที่นางไม่เข้าใจ
“ประมุขศักดิ์สิทธิ์” ฟู่หรูเสวี่ยก้าวไปข้างหน้า “อาหารเย็นพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
ฟู่หรูเสวี่ยรับหน้าที่ทำอาหาร หลังจากทำอาหารเสร็จ นางกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ทั้งยังจุดเครื่องหอม ปรากฏตัวอย่างงดงามต่อหน้าประมุขศักดิ์สิทธิ์ รอให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์มองนางสักครา
น่าเสียดายที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อเดินไปโดยไม่หันกลับมามอง!
ทักษะการทำอาหารของฟู่หรูเสวี่ยก็ไม่ได้มีดีอะไร เยี่ยนเสี่ยวซื่อฝืนกินอย่างกล้ำกลืน ประมุขมารไม่ต้องกินอาหารเฉกเช่นมนุษย์ เขาเห็นเยี่ยนเสี่ยวซื่อกินไม่ลง จึงหยิบขาแพะขาหนึ่งออกมาจากแหวนเฉียนคุน แล้วใช้พลังวิญญาณจุดไฟย่าง
“ที่แท้แหวนของเจ้าเหมือนกับกระเป๋าเฉียนคุน ใส่สิ่งของได้ทุกอย่าง”
กระเป๋าเฉียนคุนเป็นเพียงของศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น แม้ว่าจะแบ่งออกเป็นสาม หก หรือเก้าระดับ แต่กระเป๋าเฉียนคุนที่มีพลังมากที่สุดก็ไม่ดีเท่ากับแหวนเฉียนคุนที่แย่ที่สุด
เยี่ยนเสี่ยวซื่อต้องการแหวนเฉียนคุนมาตลอด น่าเสียดายที่นางเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน เมื่อวานจู่ๆ ในมือของเขาก็ปรากฏขลุ่ยเลาหนึ่ง นั่นก็คงมาจากแหวนเฉียนคุนด้วยกระมัง
ในตอนแรกเยี่ยนเสี่ยวซื่อยังมีสติจับจ้องแหวนเฉียนคุนของเขา ทว่าเมื่อขาแพะถูกปรุงอย่างช้าๆ ทั่วทั้งลานก็มีเพียงเสียงน้ำลายไหลของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกินอย่างเอร็ดอร่อย
นางไม่เคยกินขาแพะย่างที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน
เนื้อสดนุ่มละมุน ไขมันบนผิวถูกย่างเป็นสีน้ำตาล โรยงาขาวเป็นชั้น เมื่อกัดด้านนอกกรุบกรอบ แต่เนื้อข้างในนุ่มและชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพึงพอใจเป็นที่สุด นางเอร็ดอร่อยจนน้ำตาไหล
นางฉีกชิ้นหนึ่งป้อนเขา “เจ้าก็กินด้วยสิ”
ฮึ!
ประมุขมารกินอาหารไม่ได้!
ผู้บำเพ็ญมารที่ถูกประมุขมารสะบัดแขนเสื้อส่งออกไปจากเขาเซิ่งเฟิง แอบกลับมา บัดนี้ซ่อนตัวอยู่ในความมืด สอดส่องทุกการกระทำของประมุขมาร
ประมุขมารไม่กินเนื้อ
เขาเป็นหลัวช่าโลหิต
เขาดื่มเลือดสดๆ เท่านั้น
“อร่อยมากเลยนะ! ข้ายกจนเมื่อยแล้วเนี่ย!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกินจนแก้มป่อง ราวกับกระรอกอ้วนที่สนใจแต่อาหาร จ้องมองเขาไม่กะพริบตา
ขนตาประมุขมารสั่นกระพือ อ้าปาก งับเนื้อคำแรกในชีวิตประมุขมาร
…………………