หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 42 ความลับของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
หลังจากแช่น้ำ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็กลับไปพักผ่อนที่วัง
ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยไม่สามารถต้านทานความง่วงของร่างกาย ผล็อยหลับไปหลังจากดื่มนม
เขามีคืนที่นอนไม่หลับมานับไม่ถ้วน เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลับไปครั้งสุดท้ายเมื่อไร หากเป็นคนธรรมดาเขาคงทนไม่ไหวแล้ว แต่เขาคือประมุขศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลัง แม้ไม่นอนก็ไม่เหนื่อยล้า
เพียงแต่ถึงร่างกายไม่เหนื่อย ทว่าจิตใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น
บางครั้งเขาก็หวังจะหลับไหลไปจนฟ้าสว่างโดยไม่คิดอะไรเลย
ความปรารถนายาวนานที่เคยคิดว่าไม่มีวันเป็นจริง ได้เกิดขึ้นในคืนที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลายเป็นทารก
ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยนอนหลับฝันหวาน กระทั่งถูกประมุขมารโยนลงในเปลอย่างเย็นชาก็ยังไม่รู้ตัว
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเปลเล็กอันวิจิตรงดงามที่ทำจากมือ และหันมองประมุขมารที่อยู่ด้านข้าง ตาโตด้วยความประหลาดใจ “เมื่อครู่ที่นี่ยังไม่มีเปลนี่นา…เจ้าเอาออกมาจากแหวนของเจ้าหรือ? เหตุใดเจ้าพกของเช่นนี้ติดตัว บ้านเจ้ามีน้องสาวหรือ?”
ไม่แปลกที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อถามว่าน้องสาว ไม่ใช่น้องชาย ลักษณะของเปลนี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมาะกับเด็กชาย
แล้วเหตุใดนางไม่ถามว่าเป็นของบุตรสาว นั่นก็เพราะเยี่ยนเสี่ยวซื่อรู้สึกว่าเขารักประมุขศักดิ์สิทธิ์อย่างสุดซึ้ง ไม่มีทางแต่งงานกับผู้ใด ขณะนั้นนางจึงไม่ได้นึกถึง เพียงแต่จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกว่า อาจเป็นของน้องสาวคนใดของเขา และดูเหมือนเขาสร้างมันขึ้นมาเอง
ประมุขมารไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับว่า “เจ้าไม่ง่วงหรือ?”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายนี้ดูเหมือนไม่ง่วงเลย แต่วิญญาณของนางง่วงแล้ว! นางเป็นนางมารที่ต้องกินต้องนอนต้องซุกซน ดึกดื่นไม่หลับนอน หรือว่าต้องเรียนหนังสือ?
ความแข็งแกร่งของเยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่เพียงปรากฏอยู่ในสัญชาตญาณร่างเล็กๆ ของนาง แต่ยังอยู่ในจิตวิญญาณอีกด้วย
ประมุขศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นนาง ยังต้องกินนอนตามสัญชาตญาณของร่างกาย แต่นางที่กลายเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่ได้เป็นไปตามสัญชาตญาณของประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่กินไม่นอน
เยี่ยนเสี่ยวซื่อแผ่กางแขนขาล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม
เอ๊ะ?
เหตุใดเตียงนุ่มเช่นนี้? ทั้งยังยืดหยุ่นดีเยี่ยม ล้มลงไปแล้วยังเด้งกลับขึ้นมา ช่างสบายยิ่งนัก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อลูบฟูกที่นอน เงยหน้าขึ้นมองประมุขมารแล้วเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่ที่ข้านั่ง เตียงนอนนี่แข็งยิ่งนัก เจ้าเปลี่ยนเตียงหรือ?”
นี่เจ้าไม่อยากให้ข้าแตะต้องของสุดที่รักของเจ้าเพียงใดกัน?
เตียงที่เขานอน เจ้าก็ยังเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้?
บุรุษผู้นี้ ช่างหวงแหนได้น่ากลัวเสียจริง!
แต่…เมื่อคิดว่าบุรุษร่างใหญ่โตเช่นเขา หวงแหนบุรุษอีกคนเช่นนี้ ก็น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน!
บุรุษสองคนที่ตกหลุมรักต้องฆ่าฟันกัน ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน…คู่รักนกยวนยาง[1]สุดขมขื่น ช่างน่าติดตามยิ่งนัก!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยิ้มหวาน กอดหมอนผล็อยหลับไป
ประมุขมารเดินมาข้างเตียงเงียบๆ จ้องมองใบหน้าพริ้มที่หลับไหลของนาง “เจ้าตัวเล็กไร้หัวใจ แม้แต่ข้าเป็นใครก็จำไม่ได้ กล้าผล็อยหลับไปเช่นนี้ ไม่กลัวข้าจะทำร้ายเจ้าหรือ?”
จากนั้นเขาเอื้อมปลายนิ้วเรียวยาว หมายจะสัมผัสใบหน้าของนาง
ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเข้าใกล้ตัวนาง ห่างเพียงหนึ่งนิ้ว ปลายนิ้วของเขากลับรู้สึกมีแรงประหลาดหนึ่งทิ่มแทง เลือดไหลซึมออกจากปลายนิ้ว
ประมุขมารไม่มีเลือดออกมาหลายปีแล้ว เขาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ จากนั้นริมฝีปากสีแดงพลันยกยิ้ม “สะกดวิญญาน?”
ไม่แปลกที่เด็กสาวผู้นี้นอนหลับได้โดยไม่มีความหวาดกลัว การสะกดวิญญาณต่างจากการสะกดร่างกาย ยามที่คนผู้นั้นตื่นอยู่ก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อไม่รู้สึกตัวก็จะกระตุ้นกลไกป้องกันตนเองขึ้นมา
นี่คงไม่ใช่การสะกดวิญญาณธรรมดา
ประมุขมารไม่รู้ว่าควรขอบคุณตนหรือไม่ ที่ตอนพบ ‘ประมุขศักดิ์สิทธิ์’ นอนอยู่ไม่ได้ไปขยับร่างกายเขา ไม่เช่นนั้นแขนตนคงมีเลือดไหลเป็นสายน้ำแล้ว
ทันใดนั้น หูของประมุขมารขยับ เขาสะบัดแขนเสื้อ ดึงผ้าห่มคลุมเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ก่อนจะออกจากวัง
ในสวนดอกไม้ ผู้บำเพ็ญมารเดินออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ คุกเข่าข้างหนึ่งคำนับ “ข้าน้อยคารวะประมุขมาร!”
“เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ?” ประมุขมารมองเขาอย่างเย็นชา ตั้งแต่ตอนที่เขาย่างแพะให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อ ก็รับรู้แล้วว่ามีผู้บำเพ็ญมารมา แต่ที่ยังทำตัวปกติ ก็เพื่อไม่ให้ใครจับได้เท่านั้น
ผู้บำเพ็ญมารกล่าวว่า “ข้าน้อยเป็นห่วงท่านประมุขมารขอรับ!”
ประมุขมารเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ามีสิ่งใดให้เจ้าห่วงรึ?”
ผู้บำเพ็ญมารเอ่ยอย่างวิตกกังวล “ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น อย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของประมุขศักดิ์สิทธิ์ ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน ก็กลัวเรื่องไม่คาดฝัน ขอท่านประมุขมารอนุญาตให้ข้าน้อยอยู่รับใช้ท่าน!”
ประมุขมารไม่ได้ต้องการให้เขามารับใช้ ทว่าก็ไม่ได้รังเกียจหากเขาจะติดตามมา
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องการสะกดวิญญาณหรือไม่?” ประมุขมารเอ่ยถาม
ผู้บำเพ็ญมารผงะไปครู่หนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ประมุขมารถึงเอ่ยเรื่องนี้ ทว่าเขาก็ตอบไปตามตรง “เคยได้ยินขอรับ นั่นเป็นวิชาที่ทรงพลังกว่าการสะกดร่างกาย ผู้ที่จะใช้ได้ไม่เพียงแต่ต้องไปถึงระดับต้าเฉิง ยังต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่ง แน่นอนว่า ยังมีข้อกำหนดอื่นอีก วิธีการเฉพาะต้องกลับไปอ่านตำราโบราณ กล่าวโดยย่อ มันคือวิชาที่ต้องห้าม”
“วิชาต้องห้าม?” ประมุขมารพึมพำ
ผู้บำเพ็ญมารพยักหน้า “ใช่แล้ว ผู้ที่เคยเรียนวิชาต้องห้ามและใช้ได้สำเร็จ ในใต้หล้ามีเพียงสองคน คนหนึ่งคืออดีตประมุขมาร อีกคนหนึ่ง…”
อีกคนหนึ่งเป็นใคร ไม่ต้องเอ่ยก็รู้
ประมุขมารเข้าใจได้ทันใด “มิน่า เขาถึงอ่อนแอเช่นนี้”
วิชาต้องห้าม ผู้ที่ใช้จะถูกพลังสะท้อนกลับสู่ร่างกายอย่างหนักหนา
เพียงแต่ประมุขมารไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้น
ไอมารในร่างกายของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ใช้การสะกดร่างกายก็เพียงพอ เหตุใดต้องสะกดวิญญาณ?
เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเยี่ยนเสี่ยวซื่อกันแน่?
…………………………………………
[1] นกยวนยาง หรือ เป็ดแมนดาริน เป็นสัญลักษณ์แทนความรักและความซื่อสัตย์ เนื่องจากเชื่อกันว่านกยวนยางเป็นนกที่มีคู่เพียงตัวเดียว