หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 45 เขาเซียนเฉ่า
แม้ว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดอยากโอ้อวดความเก่งกาจของท่านพ่อ ทว่าคนเราต้องรู้จักถ่อมตัว นางเป็นสาวน้อยที่ถ่อมตัว!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อรับรู้สถานการณ์มาจากศิษย์พี่จิ้งแล้ว แม้ว่าผู้ที่หายตัวไปจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวัยเยาว์ แต่พวกเขาเหล่านั้นเป็นล้วนแต่เป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรไร้สังกัด จึงมิได้ดึงดูดความสนใจจากนิกายอื่นเท่าไรนัก
เมื่อมองจากมุมนี้ คนร้ายต้องเจ้าเล่ห์เพทุบายมากเป็นแน่ เขาจงใจไม่เลือกลงมือกับลูกศิษย์สังกัดในนิกายใดๆ ด้วยเกรงว่าจะถูกตามล้างแค้น เพียงแต่ว่านิกายศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือเข้ามาสืบเรื่องนี้ และในยามที่ลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้เพื่อปกป้องตนเอง พวกเขาก็หายตัวไปพร้อมกัน
“ไม่รู้ว่าพวกศิษย์น้องจะรอดกลับมาไหม” ศิษย์พี่จิ้งพูดด้วยความรู้สึกผิด หากรู้แต่แรกว่าจะเผชิญหน้ากับคนร้าย เมื่อวานไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่นิ่งนอนใจรอข่าวคราวอยู่ในนิกายหรอก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตบบ่าของเขา “เจ้าไม่ได้บอกเองหรือว่าเมื่อเช้าเพิ่งมียอดฝีมือระดับไท่ซวีหายตัวไป? หากแม้แต่ยอดฝีมือระดับไท่ซวียังถูกจับตัวไป ลำพังระดับพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดินของเจ้า ต่อให้อยู่ที่นั่นในตอนนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ศิษย์พี่จิ้งซึ่งถูกพูดแทงใจดำจนอึ้งไปชั่วขณะ “…”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตัดสินใจเดินทางไปตรวจดูบนเขาเซียนเฉ่าสักหน่อย
ศิษย์พี่จิ้งร้องขอติดตามไป แต่ก็ถูกเยี่ยนเสี่ยวซื่อปฏิเสธ ล้อเล่นหรืออย่างไร นางใช้พลังของประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ หากเข้าไปแล้วถูกศิษย์พี่จิ้งจับได้ว่านางไม่ใช่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงจะทำอย่างไร หากกลัวว่าจะเกิดอันตรายละก็ มีเสี่ยวเจาอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ? เสี่ยวเจาเอาชนะได้แม้แต่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ จะต้องกลัวอะไรกับแค่คนร้ายกระจอกๆ
แต่ว่า ยามที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อหันหน้าไปหาเสี่ยวเจา กลับพบว่าเสี่ยวเจานั้นหายไป ไม่เห็นแม้แต่เงา
“คนเล่า? หายไปไหนแล้ว” นางพึมพำ
หัวถนนแห่งหนึ่ง ประมุขมารยืนอยู่ในเรือนอันว่างเปล่า ผู้บำเพ็ญมารยืนพร้อมยกมือขึ้นคำนับต่อหน้าเขาอย่างพินอบพิเทา “ข้าน้อยไม่ได้ทำขอรับ ประมุขมารได้โปรดตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน!”
“นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครออกไปจากเผ่ามารอีก” ประมุขมารเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบ
ผู้บำเพ็ญมารครุ่นคิด แล้วจึงตอบว่า “ยังมีลูกน้องอีกสองสามคน แต่ว่าข้าน้อยควบคุมเส้นทางของพวกเขา ข้าน้อยมั่นใจพวกเขาไม่ได้ทำขอรับ!”
แม้ว่าผู้บำเพ็ญมารจะอยากทำเช่นนั้นเหลือเกิน แต่ก่อนออกเดินทาง ประมุขมารได้กำชับกับพวกเขาแล้วว่า ภารกิจในครั้งนี้คือการพาคนกลับมายังเผ่ามาร อย่าให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำซ้อนเป็นอันขาด
ประมุขมารมิได้แยแสต่อความเป็นความตายของผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะซึ่งได้ชื่อว่าปฏิบัติตนถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและชาวบ้านเหล่านั้น แต่ถ้าหากเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงนิกายเซียน ประมุขมารก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้
“จับตาดูคนของเจ้าให้ดี อย่าให้พวกเขาไปก่อเรื่อง”
“ขอรับ”
หลังจากที่ประมุขมารโยนยาบำรุงขวดหนึ่งให้ผู้บำเพ็ญมารแล้ว ก็หันหลังเดินจากไป
ยาเหล่านี้ใช้สำหรับซ่อนพลังมารในร่างกายของพวกเขา และใช้สำหรับป้องกันพลังจิตวิญญาณถูกกัดกิน ประมุขมารไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเขาเป็นร่างรวมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร สามารถดูดซับได้ทั้งพลังมารและปราณวิญญาณ
ประมุขมารกลับไปยังโรงเตี๊ยมซึ่งลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์พำนักอยู่
เยี่ยนเสี่ยวซื่อถลึงตาเดินเข้ามา “เมื่อกี้เจ้าไปไหนมา ข้ากำลังหาเจ้าอยู่พอดี”
“ออกเดินทางเถิด” ประมุขมารเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อื้ม!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อสะพายตะกร้าขึ้นหลัง และออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับประมุขมาร
บุรุษรูปงามดุจหยกสองคน คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ราวเกล็ดหิมะ อีกคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีนิล เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันน่าเกรงขาม เป็นคุณชายผู้โดดเด่นหาผู้ใดเปรียบ
“อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกันเหลือเกิน นี่มันเรื่องอะไรกัน” ลูกศิษย์คนหนึ่งของนิกายศักดิ์สิทธิ์พึมพำพลางมองไปยังแผนหลังของทั้งสอง
ศิษย์พี่จิ้งพยักหน้า ทันใดนั้นเขาก็ก็รู้สึกแปลกๆ จากความเขินอายแปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง จึงหันหน้าไปถลึงตาใส่ศิษย์น้อง “พูดอะไรของเจ้า พวกเขาทั้งคู่เป็นบุรุษ!”
“อ่อ” ลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกตำหนิลูบศีรษะเบาๆ “ว่าแต่ศิษย์พี่จิ้ง บุรุษคนนั้นเป็นใครกัน เหตุใดถึงมาอยู่ข้างกายประมุขศักดิ์สิทธิ์ได้ ประมุขศักดิ์สิทธิ์มีเพื่อนด้วยหรือ?”
ศิษย์พี่จิ้งส่ายหน้า “เป็นเรื่องของประมุขศักดิ์สิทธิ์ พวกเราไม่ต้องไปถามมาก”
ทั้งสามเดินทางมาถึงจุดที่ลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์หายตัวไปตามคำบอกเล่าของศิษย์พี่จิ้ง บนพื้นหญ้ามีร่องรอยของการต่อสู้อยู่ไม่น้อย กระนั้นประมุขมารก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิชาเผ่ามารในบริเวณนั้น
นั่นหมายความว่าคนร้ายคือผู้บำเพ็ญมารหรือ?
ประมุขมารหรี่ตา
เบื้องหน้าเป็นอาณาเขตที่ประมุขเซียนสร้างไว้ เป็นเพราะมี ‘เยี่ยนเสี่ยวซื่อ’ อยู่ พวกเขาจึงเดินเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“เอ๋? เจ้าดูสิ เส้นทางกลับหายไปแล้ว” เยี่ยนเสี่ยวซื่อดึงแขนเสื้อประมุขมาร เพื่อให้เขาหันกลับไปมองเส้นทางที่พวกเขามาที่นี่ ทุ่งหญ้าโล่งนั้นหายไปแล้ว และมีถนนหินคดโค้งมาแทนที่ ถนนหินสายนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนา
อาณาเขตนั้นเป็นเพียงกำแพงซึ่งมองไม่เห็นชนิดหนึ่ง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทัศนวิสัยโดยรอบของพื้นที่ เพราะฉะนั้น หากว่ากันตามเหตุุผลแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราหาทางกลับไปไม่เจอแล้ว ในทางตรงกันข้าม คนข้างนอกก็มองไม่เห็นเหตุการณ์ด้านใน นั่นคงเป็นเหตุผลที่พวกเขาหายตัวไปกระมัง?”
ประมุขมารเอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้อาณาเขตของพวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือ?”
“ไม่นี่” เยี่ยนเสี่ยวซื่อส่ายหน้า อาณาเขตของพวกเขาเอง นางจะไม่รู้เชียวหรือ? หลายปีมานี้หนีเข้าหนีออกมาไม่รู้กี่ครั้ง กล่าวอย่างง่ายก็คืออาณาเขตก็เป็นเพียงประตูบานหนึ่ง ไฉนตอนนี้ทันทีที่เปิดประตูออกมา ทั้งด้านนอกด้านในก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้วเล่า?
“จะว่าไป เขาเซียนเฉ่าไม่ได้มีลักษณะเช่นนี้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อนั่งยองลง ชี้ไปยังดอกไม้สีแดงสวยสดดอกหนึ่งซึ่งอยู่ข้างทาง “เขาเซียนเฉ่าไม่มีดอกไม้ชนิดนี้”
ระหว่างที่พูด นางก็เอื้อมมือไปหมายจะเด็ดดอกไม้ ทันใดนั้นก็มีงูพิษพุ่งออกมาจากดอกไม้ดอกนั้น มันฉกตรงเข้าหากลางอกของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้นาง ก็ถูกพลังมารอันแข็งแกร่งจัดการจนแหลกกลายเป็นผุยผง
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วลัดนิ้วมือเดียว กว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อจะได้สติกลับมา งูพิษก็หายไปจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านแล้ว
นางอ้าปากพะงาบ “ดอกไม้ที่งดงามเช่นนี้…ข้างใต้มีงูอยู่หรือ…”
ประมุขมารพูดว่า “ไม่มีใครเคยบอกเจ้าหรือว่า สิ่งของยิ่งงดงามมากเท่าไหน ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อลุกขึ้นยืน สายตาจับจ้องไปยังประมุขมาร
เดิมทีประมุขมารคิดว่านางจะพูดว่า ‘เช่นนั้นเจ้าก็อันตรายใช่ไหม’
ไม่คาดคิดว่านางจะเบ้ปาก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า…ข้าก็อันตรายใช่ไหม”
ประมุขมาร “…”
ประมุขมารหายใจเข้าลึก พร้อมกับตอบนางว่า “พวกเราอาจไม่ได้อยู่ในนิกายเซียนแล้ว เจ้าระวังด้วย อย่าได้แตะต้องอะไรที่นี่”
“อื้อ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้าอย่างว่าง่าย “พวกเราเดินเข้ามาในดินแดนลี้ลับอะไรสักอย่างใช่ไหมนี่”
ประมุขมารมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ทางเข้าของดินแดนลี้ลับที่เจ้าว่าย่อมไม่อาจเปิดออกในอาณาเขตของนิกายเซียน อาณาเขตของนิกายเซียนของพวกเจ้าไม่ได้เปราะบางถึงเพียงนั้น อาจมีช่องโหว่ของอาณาเขตนิกายเซียน ข้านึกออกเพียงความเป็นไปได้เดียว”
“คืออะไรหรือ” ดวงตาสวยดุจผลซิ่งของเยี่ยนเสี่ยวซื่อจับจ้องพลางเอ่ยถาม
“ยมโลก” ประมุขมารตอบ
ยมโลกเป็นพิภพเดียวในหกพิภพที่สามารถปรากฏทับซ้อนในพิภพอื่น เหมือนกับที่เรียกกันว่าแดนหยินและแดนหยาง อาจเป็นทั้งแดนหยินและแดนหยาง เพียงแต่ผู้ที่อยู่ในแดนหยางจะไปไม่ถึงแดนหยิน และผู้ที่อยู่ในแดนหยินก็จะไม่อาจเดินทางมายังแดนหยางได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ต่อให้ต่างฝ่ายต่างได้พบกัน หรือว่าสลับร่างกัน ก็ไม่อาจสัมผัสอีกฝ่ายได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทั้งสองจะทำอันตรายซึ่งกันและกัน
แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น
หากคนในยมโลกต้องการออกมา ก็ใช้เพียงป้ายคำสั่งจากทางการของยมโลกเท่านั้น หลังจากที่คนในยมโลกออกมา ก็จะเป็นเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปภายในช่วงเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ดี บางคนเกิดมาพร้อมกับพลังหยินเข้มข้น ทำให้เส้นแบ่งของคนเหล่านั้นกับยมโลกพร่ามัว หากพูดด้วยภาษาชาวบ้านก็คือเจอผีได้ง่าย คนเหล่านี้อาจเข้าไปในปรภพโดยไม่ได้ตั้งใจ กระนั้นก็ขอเพียงพวกเขาไม่ได้ก่อเรื่องในยมโลก โดยทั่วไปแล้วก็จะถูกปล่อยกลับมาได้อย่างปลอดภัย และความทรงจำของพวกเขาครั้นไปเยือนยมโลกก็จะถูกยมทูตลบทิ้งไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคล้ายกับจะเข้าใจ “เจ้าหมายความว่า…คนร้ายเป็นคนจากยมโลก? ชายหนุ่มเหล่านั้นและลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ถูกคนจากยมโลกจับไปหรือ?”
ประมุขมารตอบว่า “สถานที่ซึ่งเกิดการต่อสู้มีพลังมารหลงเหลืออยู่ ลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ก็บอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญมาร อีกฝ่ายอาจมีป้ายคำสั่งของยมโลก ป้ายคำสั่งนั้นอาจไม่ได้มีไว้ให้เขาใช้เพียงคนเดียว แต่อาจมีไว้สำหรับให้เขานำคนเข้าไปยังยมโลกก็เป็นได้”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเกาศีรษะด้วยความสับสน “เขาพาคนเหล่านั้นไปทำอะไรที่ยมโลกกัน”
“ยมโลกเป็นสถานที่ซึ่งไม่ใช่ผู้ใดก็หาพบ” ประมุขมารเงียบงันไปชั่วขณะ เขาเหลือบมองไปยังตะกร้าด้านหลังเยี่ยนเสี่ยวซื่อคราหนึ่ง “นอกจากเจ้า”
เขารู้มาโดยตลอดว่าร่างกายของเยี่ยนเสี่ยวซื่อมีคุณสมบัติพิเศษ แต่ไม่คิดว่าจะพิเศษเช่นนี้ แม้แต่ยมโลก นางยังเข้าออกได้อย่างอิสระ
อันที่จริงเขาเองก็สามารถทำลายอาณาเขตของนิกายเซียนได้ แต่เขาต้องมั่นใจเสียก่อนว่าหลังจากที่เขาทำลายอาณาเขตไปแล้ว พวกเขาจะเข้าไปในเขาเซียนเฉ่าจริงๆ หาใช่ยมโลกซึ่งปรากฏทับซ้อนกับเขาเซียนเฉ่า
……………………….