หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 48 ขอร้อง
มารดาภูติผีไปตามหาผู้พิพากษาเพื่อดูว่าผู้พิพากษาสังหารบุรุษทั้งสองคนและได้อาวุธวิเศษมาแล้วหรือยัง ผู้บำเพ็ญมารจึงหันหลังเข้าเรือนไป
เรือนหลังนี้มองจากภายนอกอาจไม่ใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับมีห้องมืดเย็นเฉียบเพิ่มมาอีกหลายห้อง แต่ละห้องขังคนไว้ หรือไม่ก็เป็นร่างไร้วิญญาณที่ยังไม่ทันถูกกำจัดทิ้ง
ผู้บำเพ็ญมารมายังหน้าห้องสุดท้าย หยุดชะงักอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าเวรตะไล! อย่าคิดจะลอบทำร้ายข้าเชียวนะ! ข้าไม่ใช่คนที่เศษเดนอย่างเจ้าจะมาทำร้ายได้!”
เสียงแข็งตวาดลั่นดังออกมา เป็นผู้เฒ่าขั้นไท่ซวีผู้นั้นนั่นเอง
ผู้บำเพ็ญมารลงแรงไปมากกว่าจะจับมาได้ ทั้งยังได้บาดแผลกลับมาอีกไม่น้อย อาการบาดเจ็บของเขาไม่นับว่าสาหัสสากรรจ์ แต่กว่าจะหายดีได้นั้นแสนลำบาก ผู้เฒ่าขั้นไท่ซวีกระดูกแข็งหนังหนา หากจะจัดการเสียตอนนี้เห็นทีจะยาก ผู้บำเพ็ญมารจึงตัดสินใจลงมืออีกครั้งเมื่อเขาอยู่ในยมโลกแล้วอ่อนแอลง
ผู้บำเพ็ญมารมิได้กลัวว่าผู้เฒ่าจะตายไปเช่นนี้ อย่างไรเสียระดับพลังของผู้เฒ่าก็สูงส่ง ยังคงทุรนทุรายรอไปได้อีกนาน
ส่วนบรรดาลูกศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่คุ้นชินกับกลิ่นอายยมโลก พวกเขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว
เขาต้องอาศัยโอกาสก่อนที่คนเหล่านั้นจะหมดลม ดูดซับพลังหยางของพวกเขาเสีย
ผู้บำเพ็ญมารหันหลังไป และเดินมายังห้องที่สอง ลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์สามคนล้วนถูกขังอยูู่ในนั้น
แกร็ก ประตูห้องถูกเปิดออก ลำแสงสลัวเล็ดลอดเข้ามา ส่องลงบนอาภรณ์สีฟ้าอ่อนบนร่างของลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม พวกเขาร่างกายอ่อนแอจนเป็นลมหมดสติไป
ผู้บำเพ็ญมารเดินมาตรงหน้าของทั้งสาม นั่งยองลง มือข้างหนึ่งบีบคอหนึ่งในลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ขณะที่กำลังจะดูดพลังหยางจากในร่างของเขานั้นเอง ขลุ่ยยาวสีทองเลาหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจู่โจมผู้บำเพ็ญมารจากด้านหลัง
ผู้บำเพ็ญมารถูกพลังรุนแรงกระแทกจนกระดอนไปบนพื้น กลุ่มควันดำโขมงก็พวยพุ่งออกมาจากแผ่นหลังของเขาประหนึ่งเกิดการสันดาป
เขาขบกรามแน่น รีบหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่แขกไม่ได้รับเชิญที่ปากประตูในทันใด
“ไอ้หยา!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อปิดตา “ทำไมถึงอัปลักษณ์เช่นนี้”
หน้าเขียวแยกเขี้ยวยิงฟันแสนจะอัปลักษณ์ นั่นคือสิ่งที่อาจใช้พรรณนาบุรุษตรงหน้าผู้นี้ได้
ก่อนเข้ามา เยี่ยนเสี่ยวซื่อลองจินตนาการรูปร่างหน้าตาของคนร้ายนับครั้งไม่ถ้วน บุตรภูติผีล้วนแต่น่าเกลียดน่ากลัว (แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของมารดาภูติผีก็ตาม) ทว่าเรื่องนี้ทำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อเริ่มจะสงสัยในรสนิยมของมารดาภูติผีแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะนึกภาพคนร้ายที่มารดาภูติผีคอยปกป้องอีกต่อไป
แต่ว่า…นางก็ยังดูเบารสนิยมมารดาภูติผีไปสักหน่อย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหลบอยู่หลังประมุขมาร กำแขนเสื้อของเขาแน่น โผล่ศีรษะออกมา มองผู้บำเพ็ญมารซึ่งเพิ่งจะหกคะเมนตีลังกาอยู่ที่พื้นด้วยตาเพียงข้างเดียว
ขลุ่ยนั่นทำให้เขาบาดเจ็บหนักในชั่วพริบตาเดียว เขานอนหายใจรวยริน เหงื่อกาฬโซมกาย ทำให้หน้าตาของเขาดูน่าสยดสยองเข้าไปอีก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปยังเขี้ยวซี่ใหญ่ทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นจับฟันของตนเอง “มีคนที่ฟันซี่ยาวเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“เป็นเพราะเขาไม่ใช่คน” ประมุขมารมองผู้บำเพ็ญมารที่ได้รับบาดเจ็บหัวจรดเท้า พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “จะพูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิต”
เมื่อความลับถูกเปิดเผย ความหวาดกลัวก็ปรากฏวาบในดวงตาของผู้บำเพ็ญมาร กระนั้นแล้วความหวาดกลัวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความลับถูกเปิดเผย
“เสี่ยวเจา เหมือนว่าเขาจะกลัวเจ้า” เยี่ยนเสี่ยวซื่อบอก
“อืม” เขาเป็นประมุขมาร ย่อมเป็นที่ยำเกรงของผู้บำเพ็ญมาร ไม่แปลกที่ผู้บำเพ็ญมารคนนี้จะกลัวเขา
เพียงแต่ว่าผู้บำเพ็ญมารจำเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาประมือกับมารดาภูติผีแล้ว
“เจ้าใจกล้านัก” ประมุขมารเดินเข้าไปเบื้องหน้าผู้บำเพ็ญมารทีละก้าวๆ ราวกับเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของเขา
ผู้บำเพ็ญมารตัวสั่นเทิ้มงอตัวโค้ง ก้มหน้าลง เพื่อกลบเกลื่อนความมีพิรุธในดวงตา
เขาค่อยๆ ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ
เสียง ‘แกร็ก’ ดังลั่น ฝ่าเท้าสูงศักดิ์ของประมุขมารย่ำลงบนมือของเขาเต็มแรง จนข้อมือของเขาหักในทันที
รองเท้าของประมุขมารบดขยี้มือที่หัก “กล้าแม้แต่จะปองร้ายนาง ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วกระมัง”
ขลุ่ยเลานั้นได้ผ่านการปลุกเสกมา แม้จะทรงพลังถึงขนาดทำให้ผีสางวิญญาณที่แตะต้องโดนมันแหลกสลายไป ทว่าผู้บำเพ็ญมารหาใช่ผีร้ายแต่อย่างใด ขลุ่ยไม่มีผลต่อเขามากนัก ที่เขาต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอเช่นนี้ ก็เพื่อให้ประมุขมารลดความหวาดระแวงลง จะได้ง่ายต่อการฉกชิงเด็กในตะกร้าสะพายหลัง
ถึงแม้ประมุขมารจะมิได้สนใจความเป็นความตายของประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อย แต่ร่างเล็กนั่นคือร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ผู้บำเพ็ญมารจ้องเขม็งด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ แต่กลับไม่ยอมส่งเสียงร้องด้วยความทุรนทุรายแม้แต่น้อย
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าเขาคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย จึงไม่หลงเหลือความเห็นใจให้เขาแม้แต่น้อย เยี่ยนเสี่ยวซื่อเดินเข้าไป แล้วถามว่า “เสี่ยวเจา เมื่อครู่เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาไม่ใช่คนที่มีชีวิต?”
ประมุขมารตอบว่า “เขาตายไปแล้ว ใช้เพียงการดูดซับพลังหยางเพื่อคงสภาพเช่นนี้”
“อ๋า? นี่…นี่คือศพหรอกหรือ…” เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่ได้กลัวศพ อันที่จริงนอกจากความอัปลักษณ์แล้ว นางก็ไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใดอีก “เช่นนั้นยังนับว่าเป็นผู้บำเพ็ญมารได้อีกหรือ?”
ประมุขมารพูดว่า “เคยเป็นผู้บำเพ็ญมาร แต่ตอนนี้…เป็นผู้บำเพ็ญมารที่ตายไปแล้ว”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้อง ‘โอ้’ ออกมาคราหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว เขาตายไปแล้ว แต่ไม่อยากกลับไปสู่สังสารวัฏ เพราะฉะนั้นจึงกินพลังหยางของบุรุษหนุ่มเป็นอาหาร เพื่อต่อชีวิตให้ตนเอง”
ประมุขมารเสียงเคร่งขรึมทุ้มต่ำลง “ผู้บำเพ็ญมารไม่มีสังสารวัฏ”
“หืม?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเขาอย่างไม่กระจ่างนัก
เขาพึมพำว่า “เมื่อใดที่ก้าวเข้าสู่ลัทธิมาร ก็จะสูญสิ้นโอกาสกลับเข้าไปในสังสารวัฏ หลังจากตายไปแล้ว วิญญาณก็จะสลายไป ไม่หลงเหลืออยู่ในหกพิภพอีก”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อลูบศีรษะด้วยความฉงนใจ “เช่นนั้นก็หมายความว่า…คนเผ่ามารมีชะตากรรมที่อาภัพ? เหตุใดยังเข้าลัทธิมารอีกเล่า”
ประมุขมารเงียบงันไปชั่วครู่หนึ่ง “เป็นเพราะความแข็งแกร่ง ในบรรดายอดฝีมือระดับเดียวกัน ผู้บำเพ็ญมารแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะ บางคนก็มีจิตใจใฝ่มาร แล้วก็…”
เขาชะงักไปครู่ ยังไม่ได้พูดว่าแล้วก็อะไรอีก “สรุปแล้วมีเหตุผลหลายประการ”
“อ้อ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ประมุขมารมองไปยังผู้บำเพ็ญมารซึ่งกำลังกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด ความตายคืบคลานเข้าใกล้ แต่เขาก็ยังดิ้นรนอย่างสูญเปล่า “ตั้งแต่ที่เจ้าเข้าสู่ลัทธิมาร ก็น่าจะรู้จุดจบของตนเองดี เจ้าฝึกฝนมานานหลายปี ยังไม่เตรียมใจไว้อีกหรือ?”
ผู้บำเพ็ญมารคลานอยู่บนพื้นด้วยความทรมาน
เยี่ยนเสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความทรมานที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ราวกับถูกความโศกศัลย์เข้าปกคลุม
ไม่อยากตายเช่นนี้หรือ?
ประมุขมารทุบลงบนศีรษะของผู้บำเพ็ญมารด้วยมือเปล่า
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้าใจแล้วว่าเสี่ยวเจาต้องการกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง
ตามหลักแล้ว หลังจากที่จับคนร้ายได้ ก็ควรส่งให้นิกายศักดิ์สิทธิ์จัดการ แต่เสี่ยวเจาสังหารเขาเสียที่นี่ นางไม่ได้
รู้สึกขัดใจแม้แต่น้อย คล้ายกับว่า…เขามีอำนาจในการจัดการผู้บำเพ็ญมารที่เด็ดขาดและชอบธรรมมากกว่านาง
ผู้บำเพ็ญมารมิได้ต่อต้าน
แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อล้น
ในตอนนั้นเอง โซ่โลหะเส้นหนึ่งก็ตวัดวนเข้ามาพันรอบเอวของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ แล้วดึงนางออกมาจากเรือน มารดาภูติผียืนอยู่ที่ปากประตูมืดทึบ มือข้างหนึ่งบีบลำคอของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ปล่อยหวนหลาง ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารเพื่อนของเจ้าเสีย!”
ประมุขมารหรี่ตาเล็กน้อยจับจ้องมารดาภูติผี เงาร่างของเขาเคลื่อนไหว มารดาภูติผียังไม่ทันได้กะพริบตา ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายวาบมาเบื้องหน้าของนางอย่างฉับไวประหนึ่งวิญญาณ จากนั้นผู้ที่ตนบีบคอไว้ก็อันตรธานหายไป กลับกลายเป็นนางที่ถูกคนบีบคอไว้เสียเอง ดันนางติดกับกำแพงเย็นเฉียบ
นางไม่ได้ถูกโยนข้ามกำแพง หากแต่ถูกดันทะลุผนังสิบแปดห้อง ถล่มผนังไปสิบแปดแผ่นเต็มๆ จนสุดท้ายแล้วนางก็ไปกระแทกเข้ากับผนังชั้นสุดท้ายของอาวุธวิเศษ
มารดาภูติผีมีร่างที่ไม่บุบสลายยามอยู่ในยมโลก ทว่าในตอนนี้กระดูกที่แผ่นหลังของนางถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด มารดาภูติผีไม่รู้ว่าบุรุษตรงหน้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เห็นอยู่ทนโท่ว่าระดับพลังเท่ากัน จะเอาชนะนางในอาณาเขตของนางได้อย่างไร ไม่สิ ไม่ใช่เอาชนะ ต้องเรียกว่าบดขยี้เสียมากกว่า
นางบ้วนควันสีดำกลุ่มหนึ่งออกมา นั่นก็คือปราณวิญญาณของนาง ปราณวิญญาณก็คือเลือดของพวกเขา เมื่อใดที่ปราณวิญญาณไหลรินออกไปจนหมด พวกเขาก็จะสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ผู้บำเพ็ญมารไล่ตามไปตามโพรงบนผนังทีละชั้นๆ จนมาหยุดอยู่ด้านข้างประมุขมาร พร้อมกับถลาเข้าไปคุกเข่า “ท่านประมุขได้โปรดไว้ชีวิตมารดาภูติผี ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะข้าหาเรื่อง มารดาภูติผีถูกข้าบีบบังคับ ข้ายินดีรับโทษ ท่านประมุขลงโทษข้าเถิด!”
ท่านประมุข?
มารดาภูติผีตะลึงงัน
เด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงยี่สิบคนนี้คือประมุขคนใหม่แห่งเผ่ามารหรือ?
เด็กหนุ่มคนนั้นคือประมุขเผ่ามารคนใหม่ที่เล่าขานกันว่าฉลาดเฉลียวเปี่ยมพรสวรรค์ยิ่งกว่าประมุขคนก่อนน่ะหรือ?
เหตุใดถึงเป็นเขาไปได้
เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ได้ยินมาเสียอีก
“เสี่ยวเจา! แค่กๆๆ…” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเดินเข้าไป นางค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา หลังจากเดินทะลุผนังมาสิบแปดชั้น นางก็สำลักฝุ่น “เสี่ยวเจาเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ประมุขมารทิ้งมารดาภูติผีลงกับพื้นอย่างไม่แยแส หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือ เช็ดเสร็จจึงยื่นมือออกไปจูงเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งกำลังจะชนเข้ากับผนัง
สตรีมักจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ มารดาภูติผีเห็นท่าทางที่ประมุขมารปกป้องประคบประหงมเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี ก็สัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา
ไม่คิดเลยว่าประมุขมารผู้ปราดเปรื่องจะนิยมชมชอบบุรุษ…
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย มารดาภูติผีไม่สนใจความประหลาดใจของตนอีกต่อไป นางรู้เพียงว่าความหวังทั้งหมดของตนขึ้นอยู่กับเด็กหนุ่มชุดสีขาวคนนั้น
นางคุกเข่าพรวดลงเบื้องหน้าของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ร่ำไห้พลางพูดว่า “คุณชาย! ได้โปรดปล่อยพวกข้าไปด้วยเถิด! พวกข้าสำนึกผิดแล้ว! พวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ปล่อยพวกเจ้าไปหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเจ้าทำร้ายคนมากเพียงนั้น!”
มารดาภูติผีน้ำตาไหลริน “คุณชาย! ความผิดนับร้อยนับพันที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะข้า! พวกเจ้าสังหารข้าเถิด แล้วปล่อยหวนหลางไป! เขาไม่รู้เรื่องด้วย! ข้าเป็นคนสอนให้เขาทำเอง! ข้าให้เขาดูดกินพลังหยางเอง!”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว!” ผู้บำเพ็ญมารเอ่ยขึ้นตัดบท “ผู้ใดทำผู้นั้นต้องรับผิด คนผู้นั้นควรเป็นข้า คนที่ควรมอดมลายไปควรเป็นข้า เจ้า…เจ้าควรอยู่ต่อ”
มารดาภูติผีร่ำไห้พลางพูดว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวจะมีประโยชน์อันใด ข้า…”
ผู้บำเพ็ญมารส่งสายตาเฉียบคมให้นาง บอกเป็นนัยว่าอย่าพูดออกไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตระหนักได้ทันใดว่าสองคนนี้มีเรื่องที่กำลังปิดบังพวกเขาอยู่
…………………..