หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 49 ความจริง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหาใช่ผู้ที่มีเมตตาการุณดุจพระโพธิสัตว์ ต่อให้เป็น ก็ใช่ว่าจะใจอ่อนกับผู้ที่ก่อเรื่องในตำบลจนเละเทะ แล้วมาร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ พอเสียเถิด
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองมารดาภูติผีซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างมิได้สะทกสะท้าน มีคนให้ท้ายนางแล้ว นางก็ต้องวางก้ามให้เต็มที่ “คุณ…”
เดิมทีนางจะพูดว่าคุณหนูอย่างข้า แต่คำพูดยังไม่ทันออกมาจากริมฝีปาก นางก็พลันได้สติ จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายอย่างข้าจะให้โอกาสเจ้าสารภาพความผิด จำไว้ว่ามีเพียงโอกาสเดียว ทางที่ดีพวกเจ้าไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วค่อยตอบ”
มารดาภูติผีมองเยี่ยนเสี่ยวซื่อ แล้วจึงมองไปยังประมุขมารซึ่งคอยอารักขาเยี่ยนเสี่ยวซื่อประหนึ่งพญามัจจุราช
นางพลันกระจ่างแจ้งทันทีว่าเด็กหนุ่มที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์คนนี้ได้ล่วงรู้แล้วว่านางกับหวนหลางมีเรื่องปิดบังพวกเขาอยู่
คนทั่วไปเมื่อรู้ว่ามารดาภูติผีแห่งยมโลกมีความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนกับผู้บำเพ็ญมารที่ไร้ลมหายใจ ก็ต้องตกอยู่ในความตื่นตะลึงพรึงเพริด ไม่มีกะจิตกะใจมานึกสงสัยพวกเขา
เด็กหนุ่มคนนี้ดูภายนอกไม่ประสีประสา แต่มันสมองนั้นหลักแหลมกว่าคนส่วนใหญ่มาก
ความปวดร้าวถาโถมอยู่ในใจของมารดาภูติผี นางหัวเราะลั่นหัวไหล่และตัวสั่นเทิ้ม
ทันทีที่ผู้บำเพ็ญมารเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางก็รับรู้ได้ว่านางยอมจำนนเสียแล้ว เขาแผดเสียงว่า “มารดาภูติผี! อย่านะ!”
มารดาภูติผียกมือขึ้นปาดหยดน้ำตาอุ่นซึ่งไหลอาบรดใบหน้า อันที่จริงนี่ไม่ใช่น้ำตา มารดาภูติผีไม่มีแม้แต่โลหิต ไหนเลยจะมีน้ำตาได้? นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าปราณหัวใจหลอมเหลว ทุกหยดเทียบเท่ากับการฝึกฝนสิบปี
มารดาภูติผีเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่นว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ยังมีสิ่งใดที่พูดไม่ได้อีก? อย่างไรเสียข้าก็ไม่สนแล้ว…ไม่สนอีกแล้ว…”
กล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย นางก็ก้มหน้าร่ำไห้ออกมา
“ไม่สนใจอะไรหรือ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม
มารดาภูติผีมองไปยังผู้บำเพ็ญมาร ผู้บำเพ็ญมารเบือนหน้าหนีอย่างชอกช้ำ คล้ายกับว่ายอมจำนนแล้วเช่นกัน ไม่ว่าต่อจากนี้มารดาภูติผีจะพูดอะไร เขาก็จะไม่ขัดขวางแล้ว
มารดาภูติผียันตนเองกับกำแพงลุกขึ้นมา เหลือบมองประมุขมารและเยี่ยนเสี่ยวซื่อ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้าและทุ้มต่ำ “เชิญคุณชายทั้งสองตามข้ามา”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อสาวเท้าแล้วกระโดดตามไป โดยมิได้สนใจว่าประมุขมารจะติดตามมาหรือไม่
ประมุขมารมองตามแผ่นหลังของนางซึ่งลอยข้ามกำแพงไป ในใจรู้สึกขุ่นเคือง แต่ไหนแต่ไรมาอาหวั่นไม่เคยเอาแต่ใจเช่นนี้ ยามที่นางกับเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรก็จะเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉาก่อนเสมอ ไม่ได้เพื่อรอให้เขาตอบตกลง หากแต่เพื่อบอกเขาว่านางจะทำเช่นนี้
“เป็นเด็กที่ไม่ใส่ใจสิ่งใดจริงๆ”
ประมุขมารพึมพำ
“เสี่ยวเจาเจ้ารีบตามมาสิ! ในนี้น่าขนลุกเหลือเกิน!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งอยู่ด้านหน้ากระโดดโหยง ไม่ได้หันหน้ามา แต่กลับเปล่งเสียงที่ราวกับไพเราะที่สุดในใต้หล้า
ริมฝีปากแดงระเรื่อของประมุขมารยกยิ้มมุมปาก รุดรีบตามไป
“พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าที่จริงแล้วเรือนของข้าหลังนี้คืออาวุธวิเศษ” มารดาภูติผีกล่าว
“อื้ม” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้า
ทั้งสองมาถึงระเบียงทางเดินก่อนหน้านี้ มารดาภูติผีมองไปยังผนังตันปลายทางเดิน ชะงักไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงมันไม่ได้เป็นเพียงอาวุธวิเศษ แต่ยังเป็นทางเชื่อมยมโลกเส้นทางหนึ่งด้วย”
“โอ้?” เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อตื่นเต้น “หมายความว่า จากที่นี่สามารถออกจากยมโลกได้หรือ?”
“มิผิด” มารดาภูติผีกล่าวอย่างเชื่องช้า นางสังเกตเห็นว่าผู้บำเพ็ญมารและประมุขมารตามมาแล้ว จึงยกมือขึ้นหยิบกุญแจออกมาจากอกเสื้อ
ทันทีที่ลูกกุญแจปรากฏขึ้น รูกุญแจก็ลอยขึ้นมาจากผนังตันดำสนิท มารดาภูติผีนำลูกกุญแจใส่เข้าไปรูกุญแจ หมุนเบาๆ คราหนึ่ง ผนังเบื้องหน้าก็อันตรธานหายไป ทางเดินสว่างไสวก็ปรากฏแก่สายตา
มารดาภูติผีเดินเข้าไป
ตามด้วยผู้บำเพ็ญมาร
ประมุขมารจูงมือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ไม่ให้นางเร่งฝีเท้ากระโดดไปเร็วนัก
จนกระทั่งข้ามทางเดินเล็กสายนี้ พวกเขาก็มาถึงเรือนอีกหลังหนึ่ง เรือนหลังนี้ประดับตกแต่งได้เหมือนกับเรือนของมารดาภูติผีไม่มีผิดเพี้ยน มวลบุปผางามสะพรั่งในลานบ้าน แสงอาทิตย์สาดส่องแจ่มจ้า กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวนกำจายทั่ว ทั้งยังมีหมู่ผึ้งและผีเสื้อดอมดม
“เกิดจากอาคมเหมือนกันหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถามเสียงค่อย
นางเข้ามาใกล้เหลือเกิน ลมหายใจอุ่นรดข้างใบหู ทำให้ใบหูรู้สึกร้อนผ่าว
ลำคอของประมุขมารขยับลง พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ใช่อาคม พวกเราออกมาจากยมโลกแล้ว”
“เร็วกระไรเพียงนี้ เช่นนั้นที่นี่คือที่ไหนหรือ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปรอบๆ
มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารยืนนิ่งอยู่ที่เรือน สายตาของทั้งสองจับจ้องเขม็งไปในห้อง กำหมัดแน่นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเห็นท่าทางพิรุธของทั้งสอง นางกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจ สายตามองตามทั้งสองไป และถึงกับต้องตกตะลึง
นั่นคือห้องกว้างใหญ่โอ่โถง กลางห้องมีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะมีขนมแสนอร่อยจัดวางอย่างวิจิตรบรรจง เด็กชายอายุสี่ขวบนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะนั่งข้างโต๊ะ
เขาสวมเสื้อผ้าสมถะไร้เครื่องประดับหรูหรา ตัวเล็กแลดูผอมแห้งอยู่บ้าง ใบหน้าขาวซีดกว่าเด็กที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อเคยเห็นมา
บนโต๊ะมีขนมวางไว้ กระนั้นเขาก็ไม่ได้กิน แต่กลับใช้มือค่อยๆ คลำหา หยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งมาป้อนลูกกระต่ายตัวน้อยตัวหนึ่งที่อุ้มอยู่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เยี่ยนเสี่ยวซื่อถึงรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขาดูงุ่มง่ามอยู่บ้าง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเขาอยู่พักใหญ่ กระตุกแขนเสื้อของประมุขมาร เข้าไปกระซิบข้างหูของเขาว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้แปลกๆ”
ประมุขมารเหลือบมองผู้บำเพ็ญมารด้านหลังคราหนึ่ง พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขามองไม่เห็น”
“อะไรนะ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักงันไป เหตุใดเด็กที่น่ารักเช่นนี้ถึงตาบอดไปได้
มารดาภูติผีโบกมือวางข่ายอาคมป้องกันเสียง ก้าวขึ้นไปสามสี่ก้าวไปหยุดอยู่ข้างกายเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ยิ้มพลางพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เขาชื่อสือโถวน้อย เพิ่งอายุครบสี่ขวบเมื่อวานซืน”
“เสี่ยวสือโถวคือลูกของท่านกับหวนหลางหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถาม
มารดาภูติผีพยักหน้า
เยี่ยนเสี่ยวซื่อขมวดคิ้วอย่างไม่กระจ่างนัก “ท่านเป็นภูติผี เขาเป็นผู้บำเพ็ญมาร พวกท่านทั้งสอง…มีลูกได้ด้วยหรือ?”
มารดาภูติผีส่ายหน้าด้วยความระทมใจ “เดิมทีก็มีไม่ได้หรอก แต่ข้าสะสมกุศลในยมโลกไว้ไม่น้อย มีความสำคัญต่อทางการของยมโลก ประจวบเหมาะกับที่ยมโลกเกิดคดีใหญ่ขึ้น ผีร้ายหลบหนีจากยมโลกไปสู่ภพมนุษย์ ข้าถูกส่งไปสืบคดี และเพื่อให้สะดวกแก่การเดินทางนอกภพ ทางการจึงมอบร่างหนึ่งให้ข้า ข้าก็ได้พบกับหวนหลางในตอนนั้น”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยกนิ้วขึ้นจิ้มกัน “จากนั้นท่านทั้งสองก็ตกหลุมรักกันแต่แรกเห็น รักใคร่ชอบพอกัน และให้กำเนิดลูกออกมาโดยปราศจากความลังเล?”
“มิผิด” มารดาภูติผีพยักหน้า “เดิมทีข้าคิดว่าจะอยู่ข้างนอกหลายปีสักหน่อย จะได้คอยเฝ้าดูสือโถวน้อยเติบใหญ่ แต่ภายหลังเจ้าผีร้ายนั่นก็ถูกจับได้ ข้าไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ข้างนอกต่อ จำต้องกลับไปยังยมโลก”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อลอบทอดถอนใจ ไม่คิดเลยว่ามารดาภูติผีกับผู้บำเพ็ญมารจะมีเรื่องน่าเวทนาเช่นนี้
มารดาภูติผียิ้มน้ำตาคลอเบ้า พูดว่า “ที่จริงแล้วต่อให้กลับไปก็ไม่เป็นไร ถึงแม้ข้าจะไม่อาจออกไปเตร็ดเตร่ในภพอื่น แต่ก็ยังออกไปเยี่ยมเยียนพวกเขาสองพ่อลูกได้เป็นครั้งคราว เพียงแต่ว่าหลังจากที่ข้าไม่มีร่างของมนุษย์แล้ว ก็เป็นเพียงภูติผีเท่านั้น ข้าไม่อาจเข้าใกล้หรือพูดคุยกับพวกเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาได้รับกลิ่นอายยมโลกจากข้า”
เมื่อฟังเช่นนี้ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ดึงเสี่ยวเจาให้ถอยห่างจากนางอีกหนึ่งก้าวด้วยความหวาดระแวง
มารดาภูติผีคลี่ยิ้ม “คุณชายวางใจเถิด ด้วยพลังของพวกเจ้าทั้งสอง ย่อมไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกลิ่นอายยมโลก ส่วนเด็กที่อยู่ในตะกร้าสะพายหลัง แม้ว่าข้าจะไม่รู้ระดับพลังของนาง แต่นางอยู่ในยมโลกมาพักใหญ่ มิได้มีท่าทีระคายเคืองแม้แต่น้อย เห็นทีคงจะเป็นร่างที่มีคุณสมบัติพิเศษมาแต่กำเนิด กลิ่นอายยมโลกไม่อาจทำอันตรายนางได้”
“พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีเด็กอยู่ในตะกร้า” ผู้อื่นไม่มีทางรับรู้ถึงกลิ่นอายของนางได้ง่ายเช่นนี้
มารดาภูติผีหัวเราะ “พวกข้าคนหนึ่งเป็นมารดาภูติผี อีกคนหนึ่งเป็นซากศพ ไหนเลยจะสัมผัสกลิ่นอายของคนเป็นไม่ได้เล่า”
“อ้อ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกระจ่างในบัดดล “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”
“คุณชายอยากถามว่าพวกเขาตายได้อย่างไรใช่ไหม?” รอยยิ้มของมารดาภูติผีแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศกอีกครา “อุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุ”
นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะคนหนึ่งบรรลุขั้นเสี่ยวเซิ่งได้สำเร็จ ทำให้เกิดสายฟ้าสวรรค์สามสาย สองสายแรกเขาล้วนป้องกันไว้ได้ ทว่าเมื่อสายที่สามฟาดผ่าลงมา เขากลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน บังเอิญว่าหวนหลางพาสือโถวน้อยผ่านไปแถวนั้นพอดิบพอดี
ทันทีที่ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะเห็นผู้บำเพ็ญมาร ก็จับพวกเขาทั้งสองมากำบังสายฟ้าสวรรค์โดยไม่พูดไม่จา
ทั้งสองยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกสายฟ้าฟาดเข้าเสียแล้ว
วินาทีที่สายฟ้าฟาดลงกระทบร่าง หวนหลางกอดลูกชายไว้ในอ้อมอก ถ่ายเทพลังมารทั้งหมดไปปกป้องเขา
“ข้ารู้ดีว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์และเผ่ามารไม่ลงรอยกัน แต่หากเขาดวลวรยุทธ์กับหวนหลางอย่างเปิดเผย ข้าก็ย่อมเคารพในความเป็นบุรุษอกสามศอกของเขา! แต่เหตุใดเขาต้องจับหวนหลางไปรับสายฟ้าแทนเขาด้วยเล่า แม้แต่เด็กสี่ขวบคนหนึ่งก็ไม่ยอมปล่อยไปเชียวหรือ?! ลูกของพวกข้า…ลูกของข้ากับหวนหลางทำผิดอะไร เพียงเพราะเขาเกิดมาเป็นมาร จึงต้องถูกคนจับไปเชือดทั้งเป็นหรือ? เขาควรจะเกิดมาเป็นหินรองเท้าของพวกเจ้าที่เรียกตนเองว่าผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะอย่างนั้นหรือ? สือโถวน้อยเกิดมาก็มองไม่เห็น แต่เขาก็ไม่เคยตีอกชกหัวเพราะเรื่องนี้แม้แต่น้อย…เขาจิตใจดี…เอาใจใส่…และรักท่านพ่อของเขา…ยามมีชีวิตอยู่ แม้แต่มดเพียงตัวเดียวเขาก็ไม่เคยเหยียบ…ทำไมต้องทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้กับเขาด้วย ทำไม!”
มารดาภูติผีร้องคำรามอย่างเจ็บช้ำ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพบว่ารูปโฉมงามหยดย้อยของนางค่อยๆ แลดูขี้ริ้วขี้เหร่ขึ้นมา ทั้งรอยเหี่ยวย่น แก้มตอบโหนกแก้มสูง ริมฝีปากสีม่วงคล้ำ และคิ้วตก นั่นคือใบหน้าที่แท้จริงของมารดาภูติผี แลดูน่าสยดสยองไม่ต่างจากผีร้าย
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเจตนาที่แท้จริงของมารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารแล้ว ที่เขาดูดกินพลังหยาง มิใช่เพราะเกรงกลัวความตาย แต่เพียงเพื่อจะได้กลับไปอยู่ดูแลลูกได้ทุกวัน
……………………