หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 5 เยี่ยนเสี่ยวซื่อจอมวายร้าย
ภาษาที่เก่าแก่และศักดิ์เช่นนี้ เหตุใดเจ้าเปี๊ยกนี่ถึงพูดได้ พูดแล้วฟังดูสูงส่งเหลือเกิน
ทันใดนั้นชายชรานึกถึงคำพูดว่าไม่มีนกไม่มีไข่ของเจ้าเด็กคนนี้ เขายังคิดเสียอีกว่าเจ้าเด็กพวกนั้นจงใจแกล้งตน ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วเขาเชี่ยวชาญด้านการพูดแทงใจดำไม่เลือกหน้า
ชายชรารู้สึกสงสารต้าเป่าที่มีน้องชายแบบนี้
ต้าเป่าหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันใด แต่เขาก็สรรหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้ น่าโมโหเหลือเกิน!
……
หลังจากที่ถูกเด็กทั้งสามหอมแก้มจนตื่น อวี๋หวั่นจึงไม่คิดจะนอนต่อ เธอนอนอยู่ในอ้อมอกของเยี่ยนจิ่วเฉา ดึ่มด่ำกับช่วงเวลาของพวกเขาทั้งสอง ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เธอจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “มีข่าวจากเผ่าพ่อมดบ้างไหม?”
“เจ้าหมายถึงโจวจิ่นหรือ? ไม่มี” เยี่ยนจิ่วเฉาส่ายหน้า
เรื่องนี้จะว่าไปเกี่ยวข้องกับอวี๋หวั่นอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้อวี๋หวั่นถูกคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ลอบโจมตี รักษาไม่หายอยู่พักหนึ่ง ซิวหลัวฟันน้ำนมโมโหจนพาพรรคพวกตามไปถึงเผ่าศักดิ์สิทธิ์ และหนานจ้าวกับเผ่าพ่อมดก็ยกทัพไปบุกที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน และได้รับชัยชนะมา
กระนั้นหลังจากที่สงครามครั้งนี้จบลงได้ไม่นาน โจวจิ่นก็หายตัวไปแล้ว
หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่คนสนิทของเขาก็งุนงงไปตามๆ กัน
“สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นตอนที่เขาหายไป ท่านเล่าให้ข้าฟังอีกครั้งได้ไหม” อวี๋หวั่นหันหน้าไปถามเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่โจวจิ่นหายตัวไปให้อวี๋หวั่นฟังโดยละเอียด
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาเอาชนะเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับเผ่าพ่อมดเป็นวันที่สาม เพิ่งเดินทางออกมาจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์ มุ่งหน้าไปยังเผ่าพ่อมด ระหว่างทางพวกเขาผ่านป่าแห่งหนึ่ง อยู่ๆ โจวจิ่นก็บอกให้รถม้าจอดลง
คนสนิทของเขาจึงทำตามคำสั่ง
โจวจิ่นลงจากรถม้า เดินเข้าไปในป่า
เขาไม่ได้สั่งให้คนสนิทติดตามไป แต่ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้พวกเขาตามไป
คนสนิทจึงรักษาระยะห่างจากเขาสองจั้ง ระยะห่างเช่นนี้มิได้เป็นการรบกวนโจวจิ่น ทั้งยังนับว่าใกล้พอที่จะเข้าไปอารักขาเขาได้ทันท่วงทีหากมีอันตรายเกิดขึ้น
โจวจิ่นเดินมาใต้ต้นอูถงต้นหนึ่ง ต้นอูถงต้นนี้อายุมากแล้ว โจวจิ่นลูบต้นไม้ ไม่รู้ว่าเขาพึมพำอะไร จากนั้นก็อ้อมไปด้านหลังต้นไม้
เหล่าคนสนิทของเขาคิดว่าเขาจะเดินอ้อมออกมา แต่รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นเงาคน พวกเขาจึงรีบเข้าไปดู ก็พบว่าโจวจิ่นหายไปแล้ว
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าว่าโจวจิ่นเดินออกไปไกล และไม่พบรอยเท้าของโจวจิ่น แต่โจวจิ่นก็ไม่ได้อยู่ในป่าแห่งนี้
“ด้วยนิสัยของโจวจิ่น เขาไม่มีทางหนีไปโดยไม่บอกกล่าว” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เช่นนั้น…เป็นไปได้ไหมว่าจะมียอดฝีมือมาลักพาตัวเขาไป”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “เผ่าพ่อมดก็สงสัยว่าเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่าผู้ติดตามของโจวจิ่นในตอนนั้นเป็นหลัวช่าทหารระดับสูงสุด จะลักพาตัวโจวจิ่นไปย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาของพวกเขาไปได้ง่ายๆ ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาต้องรับรู้บ้าง อย่างเช่นจากกลิ่นอาย จากพลังภายใน ของพวกนี้ปกปิดหลัวช่าทหารไม่ได้หรอก”
อวี๋หวั่นพึมพำว่า “ก็หมายความว่าโจวจิ่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ?”
อวี๋หวั่นรู้สึกผิดอยู่บ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โจวจิ่นไปโจมตีเผ่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อตนเอง ถ้าหากตอนนั้นเธอระวังสัก
หน่อย ไม่ปล่อยให้ตนเองถูกคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ลอบเล่นงานเข้า โจวจิ่นก็คงไม่ต้องเดินทางไปยังเผ่าศักดิ์สิทธิ์ และเกิดเรื่องระหว่างทางกลับเผ่าพ่อมดเช่นนี้
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเธอ ก็ปลอบประโลมว่า “เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้ามากนัก โจวจิ่นไม่ใช่คนเดียวที่หายตัวไป”
“ยังมีคนอื่นอีกหรือ?” อวี๋หวั่นทำตาโตด้วยความประหลาดใจ
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาลูบผมของเธอ เขาใช้พลังภายในเพียงเล็กน้อย จดหมายลับบนโต๊ะก็พุ่งมาถึงมือ พลังภายในนั้นดีเหลือเกิน ไม่ต้องลุกลงจากเตียงก็สามารถหยิบของมาได้
อวี๋หวั่นลุกออกจากอ้อมอกของเขา แล้วตั้งใจอ่านจดหมายลับ สีหน้าของเธอดูแปลกขึ้นเรื่อยๆ
เธอไม่คาดคิดเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับโจวจิ่นนั้นเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
จดหมายลับฉบับหนึ่งรายงานว่า ในเผ่าเล็กๆ ห่างจากหมิงตูไปหลายร้อยหลี่ทางตอนใต้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งพาเด็กสามสี่ขวบออกไปเดินเล่น เดินไปเดินมาอยู่ๆ ก็หายตัวไป
ในจดหมายลับไม่ได้บรรยายรายละเอียดของผู้เฒ่าคนนั้น เพียงแต่บอกว่าสวมเสื้อผ้าสีดำ ส่วนเด็กคนนั้นดูคล้ายกับว่ายังพูดไม่ค่อยได้ ดวงตากลมโต
อวี๋หวั่นนึกถึงราชาหลัวช่าและเสี่ยวเจา
…คงไม่ใช่พวกเขาสองคนหรอกใช่ไหม
พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่อยรอยเหมือนกันหรือ?
อวี๋หวั่นไม่มั่นใจว่าเป็นเขาหรือไม่ แต่เธอคิดไปก่อนว่าใช่ ถ้าหากบอกว่าพวกเขาและโจวจิ่นหายไปเพราะถูกคนลักพาตัวไปหรือว่าพวกเขาใช้พลังภายในหรือพลังเวท เช่นนั้นที่ในจดหมายลับกล่าวถึงเรื่องชาวบ้านธรรมดาไร้วรยุทธ์หายตัวไป จะอธิบายอย่างไร
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในครึ่งปีที่ผ่านมา เป็นเพราะเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ อีกทั้งการกระจายข่าวก็ยังไม่พัฒนา ทำให้ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนมากนัก เพียงแต่ว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับสนใจเรื่องนี้
“ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองหรือเปล่า ข้าคิดว่ารอบตัวข้าเปลี่ยนไป” อวี๋หวั่นรู้สึกแปลกใจ
“เป็นเพราะโลกนั้นของเจ้าหรือเปล่า?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อวี๋หวั่นชะงักไป แล้วพูดว่า “โลกนั้นของข้า…อาจต้องตายก่อนแล้วถึงไปได้ เป็นการสวมวิญญาณ”
แต่คนเหล่านี้หายไปอย่างไร้ร่องราย
“เยี่ยนจิ่วเฉา อยู่ๆ ข้าก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พวกเขาหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์พบโดยบังเอิญหรือเปล่า? บางทีคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์เข้าใจผิด ทางเข้าเผ่าศักดิ์สิทธิ์อาจไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่อยู่ที่อื่น และไม่ได้มีเพียงที่เดียว”
“ข้าคิดว่าคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าจะเข้าใจผิด อาจมีทางเข้ามากกว่าหนึ่งทางจริงๆ แต่ที่เมืองหลวงมีหนึ่งแห่งอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นทำไมราชสำนักกับคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์หาอยู่นาน แต่ก็ยังหาทางเข้าในเมืองหลวงไม่เจอละ ทว่าคนเหล่านี้กลับหาพบโดยบังเอิญ?”
อันที่จริงตอนนี้พวกเขายังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าสถานที่เหล่านั้นคือทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงการคาดเดาของอวี๋หวั่น แต่ไม่รู้ว่าทำไมอวี๋หวั่นจึงรู้สึกว่าตนเองเดาได้ถูกต้อง
อวี๋หวั่นนั่งพิงหมอน แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่…อาจเป็นสถานที่ที่พวกเราไม่อาจจินตนาการได้ บางทีอาจมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นก็เป็นได้”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ลูบไหล่ของเธอเบาๆ
“แย่แล้ว! แย่แล้ว! คุณหนูเล็กหายไป!”
เสียงของแม่นมดังขึ้นจากด้านนอก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นเปิดม่านออกไป
ผิงเอ๋อร์เดินเข้ามา แล้วกล่าวว่า “แม่นมออกไปห้องครัวครู่หนึ่ง เมื่อกลับมาคุณหนูเล็กก็หายไปแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นพูดว่า “แม่นมไปทำอะไรที่ห้องครัว มีอะไรทำไมไม่เรียกสาวใช้ไปจัดการ”
ผิงเอ๋อร์ “เสี่ยวเป่าเรียกแม่นมไปยังห้องครัวเล็ก สาวใช้..สาวใช้ก็ถูกเอ้อร์เป่าเรียกไปเจ้าค่ะ ทั้งสองบอกว่าจะให้ต้าเป่าดู
คุณหนูเล็กให้ แต่ตอนที่พวกนางกลับมา ต้าเป่ากับคุณหนูเล็กก็หายไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ฟังมาถึงตอนนี้ ยังจะมีสิ่งใดที่อวี๋หวั่นไม่เข้าใจอีก? ต้องเป็นเพราะเด็กสามคนนั้นเล่นพิเรนทร์อะไรอย่างแน่นอน!
อวี๋หวั่นไหนเลยจะมีกะจิตกะใจถกเถียงเรื่องดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีก เธอรีบเก็บข้าวของ และขึ้นรถม้าไปยังสำนักบัณฑิตพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉา
ในถ้ำอีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเป่าบอกกับต้าเป่าว่า “ต้าเป่า เจ้าเรียกข้าหน่อยสิ! เจ้าเรียกข้าสักครั้ง! เจ้าพูดได้แต่ภาษานกหรือ?”
ต้าเป่า “…”
ต้าเป่าคร้านจะสนใจเขา
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหาววอดอยู่บนหลังของต้าเป่า จากนั้นก็บิดไปบิดมา
นางจะนอนแล้ว
แต่ก่อนจะนอน นางต้องกินนม
ตอนที่ต้าเป่าไม่มีเวลาสนใจนาง นางก็กินนมด้วยตนเอง แต่ตอนที่ต้าเป่าอยู่ นางจะไม่กินนมด้วยตนเอง
ต้าเป่าส่งขวดนมให้นาง นางก็โยนขวดนมทิ้ง
ต้าเป่าหยิบขวดนมขึ้นมาป้อนนาง นางก็บ้วนจุดนมออกมา
ต้าเป่ามองไปยังชายชราผมขาว น้องชายสองคน และนกหลวนอีกตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในถ้ำ แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างปวดใจ
เขาหยิบกระดาษออกมาเขียนว่า “น้องเล็กจะนอนแล้ว ข้าจะไปกล่อมนาง พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา นางตื่นเต้นแล้วจะนอนไม่หลับ”
ต้าเป่าอุ้มน้องสาวเข้าไปป้อนนมที่มุมหนึ่งของถ้ำ
เสี่ยวเป่าเดินไปอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่กำลังจะแอบมอง นกหลวนก็ปราดเข้ามากางปีกกว้าง โอบต้าเป่าและเยี่ยนเสี่ยวซื่อเอาไว้
เมื่อมีนกหลวนกำบังไว้ ต้าเป่าจึงวางใจได้ชั่วคราว ต้าเป่านั่งลงบนกรงเล็บหนาของนกหลวน ป้อนนมให้น้องสาว
เขาคลายห่อผ้าออก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเห็นเขาทำเช่นนั้นก็ตื่นเต้นจนน้ำลายสอ!
ต้าเป่าถือขวดนมไว้ในอ้อมอกด้วยความเขินอาย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อซุกเข้าหาเขา แล้วดูดนม
“เจ้า…” ต้าเป่าอยากพูดบางอย่าง แต่ก็นึกได้ว่ายังมีสามคนอยู่ใกล้ๆ เพราะฉะนั้นจึงใช้การเขียนแทน ‘เจ้าจะจำเรื่องตอนเด็กได้หรือไม่?’
เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักงันไป มองเขาด้วยดวงตาบ้องแบ๊ว ปากคาบจุกนมเอาไว้
“อุว้า!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อยิ้มด้วยความดีใจ
ต้าเป่าถอนหายใจอย่างโล่งอก ข้าจะคิดว่าเจ้าตอบรับก็แล้วกัน ถึงแม้…ที่จริงแล้ว…เจ้าก็คงอ่านไม่ออก…
อาจเป็นเพราะในปีกของนกหลวนนั้นอบอุ่น ต้าเป่าจึงพิงนกหลวนผล็อยหลับไป
เขาฝันไปว่าตนเองสวมชุดสีขาว เดินเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนสักแห่ง และกลายเป็นเทพเจ้าในสถานที่แห่งนั้น
เขาท่าทางน่าเกรงขาม เฉียบคมดุจมีดดาบ เขามีลูกศิษย์นับหมื่นคน
อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตกมาจากฟ้า ลงมาบนบัลลังก์ของเขา
“เยี่ยนต้าเป่า เป็นเจ้านั่นเอง!”
เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาเป็นถึงเทพเจ้า ผู้คนในสถานที่แห่งนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขา เหตุใดถึงถูกคนเรียกชื่อในวัยเด็กได้
เขามองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แม่นาง เจ้าจำคนผิดแล้ว”
เด็กผู้หญิงคนนี้เท้าเอว “ข้าจะจำคนผิดได้อย่างไร? เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าโตมาได้เพราะกินนมเจ้า!”
เขาแทบล้มทั้งยืน!
ทุกคน “…”
…………………………