หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 51 สายฟ้าสวรรค์
สือโถวน้อยถูกจับไปกำบังสายฟ้าจนบาดเจ็บหนัก คนธรรมดาไม่มีทางช่วยได้ แต่ไม่ใช่สำหรับประมุขศักดิ์สิทธิ์
“ท่านพี่เสี่ยวเจา ประมุขศักดิ์สิทธิ์บอกว่าต้องการให้เจ้าช่วย” เยี่ยนเสี่ยวซื่อสาธยายเสียงที่ดังขึ้นในหัวให้ประมุขมารฟัง
“ให้เขาพูดเอง” ประมุขมารบอก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “หา?”
ประมุขมารมองประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยอย่างเยือกเย็น
ประมุขศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้มีใจเมตตากรุณา ย่อมไม่ปฏิเสธว่าจะไม่รักษาให้อย่างแน่นอน
ประมุขศักดิ์สิทธิ์กำหมัดอวบอ้วนแน่น เปล่งเสียงอันน่าเกรงขามของตนเองออกมาเป็นครั้งแรก “อุแว้!”
ประมุขมารหัวร่อจนแทบหัวทิ่มหัวตำ
ประมุขมารทำตามสิ่งที่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยบอก ใช้พลังปกป้องเส้นลมปราณของของสือโถวน้อย ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยแนะนำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อรีดสายฟ้าจากในร่างของเขาออกทีละน้อย แล้วใส่เข้าไปในร่างของประมุขมาร
อย่างไรเสียนี่ก็คือสายฟ้า ไม่อาจทำลายให้แหลกสลายไปได้ มันสามารถแยกส่วน และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ทว่าประมุขมารไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เพราะเดิมทีเขามีรากปราณสายฟ้า สำหรับเขาแล้ว สายฟ้าจัดว่าเป็นของบำรุงกำลังอย่างหนึ่ง
หลังจากกำจัดสายฟ้าที่หลงเหลืออยู่ในร่างของสือโถวน้อยแล้ว ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ซ่อมจุดตันเถียนและเส้นลมปราณให้เขา
เมื่อเสร็จแล้ว ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้คิดสิ่งใดในสมองอีก เขาเพียงจับจ้องประมุขมารเขม็ง
เขาเป็นประมุขมาร และเป็นร่างของหลัวช่าโลหิต เลือดของเขาล้วนเป็นปราณหลอมเหลวของคนเผ่ามาร
“ดวงตาของเขา…” เยี่ยนเสี่ยวซื่ออุ้มสือโถวน้อยซึ่งกำลังหลับใหล พลางมองไปยังประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยและประมุขมาร ถึงแม้นางจะรู้ว่าตนไม่ควรละโมบ แต่นางก็หวังเหลือเกินว่าจะทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทั้งคนตัวใหญ่และตัวเล็กต่างส่ายหน้า
นี่คือสิ่งที่เขาเป็นมาแต่กำเนิด ไร้ซึ่งหนทางรักษา
ทว่าหากเขาฝึกฝนจนมีระดับพลังสูงไร้ผู้ใดเทียบเทียม เบิกทิพยจักษุแล้วอาจมองเห็นก็เป็นได้ กระนั้นแล้วก็ไม่ใช่การมองเห็นเฉกเช่นคนทั่วไป ภาพที่เห็นจะเป็นเพียงสีขาวดำและกลับด้านซ้ายขวาดังมองกระจกเงา
“เบิกทิพยจักษุยากหรือไม่?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม
“ยากประหนึ่งตะกายขึ้นฟ้า” ประมุขมารตอบ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้า บอกเรื่องของสือโถวน้อยแก่มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารไปตามความเป็นจริง
ทั้งสองคนมิได้เศร้าโศกกับเรื่องนี้นานนัก อย่างไรเสียสือโถวน้อยก็ได้ชีวิตกลับคืนมา พวกเขาซาบซึ้งในบุญคุณเหลือคณานับ
มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารคุกเข่าลง โขกศีรษะให้ผู้มีพระคุณสองคนซึ่งอยู่ในห้อง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปยังสือโถวน้อยในอ้อมแขน พร้อมพูดกับมารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารว่า “สือโถวน้อยนั้นไร้ความผิด ส่วนพวกท่านไม่ใช่”
“พวกข้าเข้าใจดี…” มารดาภูติผีหันไปยิ้มน้อยๆ ให้ผู้บำเพ็ญมาร “เมื่อครู่หวนหลางกับข้าปรึกษากันแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายแล้วสือโถวน้อยจะเป็นอย่างไร พวกข้าก็จะไม่ออกไปดูดกินพลังหยางจากข้างนอกอีก หวนหลางเขา…เขาอยากเห็นสือโถวน้อยเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนข้า…ข้าก็จะกลับไปยังยมโลกเพื่อรับโทษ”
เมื่อใดที่ผู้บำเพ็ญมารสูญสิ้นพลังหยาง วิญญาณของเขาก็จะแหลกสลายไป ทว่าจุดจบของมารดาภูติผีก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินว่า…โทษทัณฑ์ของยมโลกนั้นหนักหนายิ่งนัก โดยทั่วไปภูติผีที่ทำผิดจะไร้ซึ่งโอกาสกลับตัว หากวิญญาณไม่แหลกสลายไป ก็จะถูกกักขังไว้ในนรก ไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดชั่วนิรันดร์”
มารดาภูติผียิ้ม น้ำตาไหลรินพลางพยักหน้า
นางรู้แต่แรกแล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นนี้ กระนั้นต่อให้มีโอกาสย้อนกลับไป นางก็จะทำเหมือนเดิม เพื่อคนรักและลูกของนาง ไม่อาจกลับไปยังสังสารวัฏแล้วอย่างไร?
“พวกท่าน…อยากกอดเขาไหม?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถามพลางมองไปยังสือโถวน้อยที่กำลังหลับสบาย
ผู้บำเพ็ญมารและมารดาภูติผีสบตากัน ความปรารถนาในดวงตาเป็นประจักษ์
แต่มารดาภูติผีก็ไม่อาจสัมผัสเขาได้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อนัยน์ตาพลันเด็ดเดี่ยวขึ้นมา และพูดว่า “ท่านเข้าสิงร่างข้าเถิด”
“นั่น…นั่นจะเป็นการทำลายพลังหยางของคุณชาย คุณชายจะอ่อนแอ”
“อ่อนแอเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ข้ากับ…” ประมุขศักดิ์สิทธิ์ตกลงกันแล้ว เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านจะเข้าสิงข้าหรือไม่? ไม่เข้าข้าไปละ”
“เข้า! เข้าสิ!” มารดาภูติผีรีบถลาเข้ามาสิงร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
มารดาภูติฝึกฝนจนพลังแกร่งกล้า ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะทั่วไปจะทนต่อพลังจากยมโลกของนางไม่ได้ พลังของนางสามารถคร่าชีวิตอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยมโลกจะสนอกสนใจผู้ที่ตายด้วยเหตุนี้เป็นอย่างมาก เมื่อเข้ามาตรวจสอบ ก็จะสาวไปถึงตัวนางได้ทันที เพราะฉะนั้นแล้วแม้ว่าจะอยากค้อมกายลงโอบกอดลูกนับครั้งไม่ถ้วน นางก็จำต้องฉุดรั้งตนเองไว้
อันที่จริง ด้วยระดับพลังของประมุขศักดิ์สิทธิ์ มารดาภูติผีไม่อาจเข้าสิงร่างของเขาได้ แต่ในเมื่อเยี่ยนเสี่ยวซื่อยินยอม นางจึงเข้าร่างได้อย่างราบรื่น
อ้อมอกของนางสามารถรับสัมผัสได้จริงๆ
นี่คือลูกของนางกับหวนหลาง คนที่นางรักและหวงแหนที่สุดในชีวิต
“ครั้งสุดท้ายที่ข้ากอดเขา…คือเมื่อเขาอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม…หลังจากนั้นข้าก็กลับยมโลก…” มารดาภูติผีกอดลูกชายไว้ในอ้อมอก ร่างสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น ผู้บำเพ็ญมารก็เดินเข้าไป นางกอดลูก ผู้บำเพ็ญมารก็สวมกอดนาง
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ได้กอดลูกชายของตน จากทารกตัวเล็ก ตัวเล็กนิดเดียว เติบใหญ่มาถึงตอนนี้ นางกอดจนรู้สึกเจ็บปวด
กอดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่เพียงพอ
น้ำตาร้อนกรุ่นหยดลงบนข้างแก้มของสือโถวน้อย
สือโถวน้อยค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ดวงตากลมใสหากแต่ไร้แววมองไปยังเบื้องหน้า “ท่านแม่ เป็นท่านหรือ?”
“อื้ม…” มารดาภูติผีพยักหน้า น้ำตาเม็ดโตไหลริน นางโอบกอดลูกชายไว้แน่น ราวกับปรารถนาที่จะจดจำช่วงเวลานี้ไปตลอดกาล ชีวิตหลังจากนี้ ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ นางก็จะถูกจองจำอยู่ในขุมนรกไปชั่วกัปชั่วกัลป์
สือโถวน้อยร่างกายอ่อนแอ ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
มารดาภูติผีรู้เวลาของตนเองดี
นางออกจากร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพูดกับทั้งสองว่า “พวกท่านวางใจเถิด ข้าจะฝากเขาไว้กับครอบครัวที่เหมาะสม ให้เขาได้เติบโตอย่างปลอดภัย”
มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารคำนับให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อสามครั้ง
พลังหยางของผู้บำเพ็ญมารหมดลงแล้ว ร่างของเขาค่อยๆ มอดมลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปในอ้อมกอดของมารดาภูติผี พลังมารอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา กลืนกินแดนมารทั้งหมด
“ข้าก็ควรไปแล้วเช่นกัน…” มารดาภูติผีบอกกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ “แต่ว่า ก่อนจะไป ข้ามีของบางอย่างจะให้…”
มารดาภูติผีหมายจะพูดว่าประมุขมาร แต่คำพูดมาหยุดได้เพียงที่ริมฝีปาก นางก็ส่ายหน้า คุณชายอาภรณ์สีขาวผู้นี้ยังไม่กระจ่างถึงตำแหน่งประมุขมาร นางจึงไม่อยากหลุดปากออกไป เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องของคนสองคน คนอื่นไม่ควรเข้าไปสอดมือ
มารดาภูติผีกล่าวว่า “ข้าขอพบหน้าคุณชายท่านนั้นเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่? ข้าอยากขอบคุณเขาต่อหน้า”
“อ้อ ได้สิ” คำขอนี้ฟังดูสมเหตุสมผล เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงตอบรับอย่างเต็มใจ!
มารดาภูติผีเข้าไปพบประมุขมารและประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยซึ่งนั่งอ้วนกลมแป้นแล้นอยู่ในเรือน
มารดาภูติผีไม่ได้ถามซักไซ้ว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยเป็นใคร นางเพียงคุกเข่าต่อหน้าประมุขมาร กล่าวว่า “ที่ข้ามา ก็เพราะมีของบางอย่างอยากมอบให้ประมุขมาร”
“ของของเจ้า ข้าไม่มีหรืออย่างไร?” ประมุขมารเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มารดาภูติผียิ้ม พร้อมกับกล่าวว่า “สำหรับคนอื่นแล้วไม่นับว่าเป็นของสำคัญอะไร แต่ประมุขมารจำเป็นต้องใช้พอดี”
“โอ้?” ประมุขมารเลิกคิ้ว
มารดาภูติผีมองไปยังเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำ กล่าวว่า “ในร่างของเด็กคนนี้คล้ายกับจะมีอาณาเขตปกป้องอยู่ นางไม่ได้รับอันตรายจากกลิ่นอายยมโลก เห็นได้ชัดว่าร่างของนางนั้นแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังสร้างอาณาเขตให้นางอีก คงจะไม่ใช่เพื่อปกป้องนางเพียงอย่างเดียว แต่เพราะ…พลังของนางแข็งแกร่งเกินไป จำต้องกดไว้ ข้าพูดถูกต้องหรือไม่เล่า?”
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าอายุสามขวบก็แยกกับนางแล้ว!
แต่ทว่า คำกล่าวของมารดาภูติผีได้เตือนสติประมุขมาร
ไม่เพียงกายหยาบที่ถูกป้องกัน วิญญาณก็เช่นกัน ที่ทำเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อคุ้มครองเยี่ยนเสี่ยวซื่อ หากแต่เพื่อหยุดยั้งนางไว้ อีกทั้งหลังจากที่วิญญาณของเยี่ยนเสี่ยวซื่อออกจากร่าง อาณาเขตในร่างของนางก็หดกลับไปมีรูปร่างเท่าวัยแปดเดือนในฉับพลัน และนั่นเป็นเพราะยามที่ไร้ซึ่งอาณาเขตคุ้มกันของวิญญาณ พลังของนางไม่อาจถูกพันธนาการไว้ด้วยอาณาเขตเพียงชนิดเดียว จำเป็นต้องบีบให้กลับไปอยู่ในสภาวะทารกในคราเดียว
มิฉะนั้น เมื่อใดที่กลิ่นอายของนางเล็ดลอดสู่ภายนอก จะทำให้พื้นที่ว่างเปล่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแยกจากกัน เมื่อถึงขั้นนั้น ทั้งปราณวิญญาณและพลังมารก็จะล้วนแต่แตกกระสานซ่านเซ็น อากาศแห้งเหือด ทุกสรรพสิ่งล้วนวอดวาย
นางไม่ได้ป่วย
แต่นางแข็งแกร่งเกินไป
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นอ่อนแอเกินไป ไม่อาจแบกรับพลังของนางได้ แต่ยมโลกของพวกข้าทำได้ ในบรรดาพิภพทั้งหก มีเพียงยมโลกที่เป็นอนันต์ พลังเข้ามามากเท่าใด ยมโลกก็รับได้มากเท่านั้น”
มารดาภูติผีพูดพลางค่อยๆ ขย้อนไข่มุกส่องประกายแสงสีดำออกมา “นี่คือไข่มุกวิญญาณ เปรียบเสมือนตันภายในของผู้บำเพ็ญเพียร ขอเพียงนางใส่ไข่มุกวิญญาณนี้ไว้ในร่าง ไข่มุกวิญญาณก็จะเบิกทางเชื่อมไปยังยมโลก ส่งพลังที่เหลือของนางไปยังไปยมโลกได้ทุกเมื่อ”
“ในยมโลกจะไม่เกิดปัญหาหรือ?” ประมุขมารเอ่ยถามอย่างมีเงื่อนงำ
มารดาภูติผีเข้าใจความหมายของเขา “คนในยมโลกจะไม่รู้ ต่อให้รู้ก็ไม่อาจสืบสาวได้ว่ามาจากที่ใด ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาดูดซับพลังของนางและกลายเป็นศัตรูขึ้นมา เรื่องนี้ข้ารับรองได้ สือโถวน้อยยังต้องการพวกเจ้าคอยปกป้อง ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเจ้าไม่น้อยกว่าผู้ใด”
ประมุขมารมิได้เคลือบแคลงในความจริงใจของนาง “เช่นนั้นพลังของนางจะไปอยู่ที่ไหน”
มารดาภูติผีทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมความหวัง “พลังของนางก็จะกลายเป็นดวงดาวในสายธารแห่งการหลงลืม ส่องสว่างสายธารทั้งสาย”
……
ประมุขมารรับไข่มุกมา
เขาใช้เชือกผูกไข่มุกให้แน่นแล้วนำไปคล้องคอให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อย ในเมื่อไข่มุกนี้ใช้ได้กับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เช่นนั้นก็ควรแขวนไว้ที่ร่างจริงของเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เห็นจะเหมาะสมแล้ว
แต่ว่าประมุขมารรอแล้วรอเล่า รอจนแทบสัปหงก แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อกับประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยก็ยังไม่สลับร่างกลับคืนมา
ในตอนนั้นเอง ประมุขมารก็ตระหนักเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันใด มารดาภูติผีบอกเพียงว่าไข่มุกเม็ดนี้สามารถช่วยดูดซับพลังที่เหลือของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ไม่ได้บอกว่าจะทำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขศักดิ์สิทธิ์กลับคืนร่างเดิม!
การที่วิญญาณของทั้งสองสลับกันนั้นเป็นผลมาจากสายฟ้าสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจต้องให้สายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมาอีกจึงจะเห็นผล
“สายฟ้าธรรมดาได้ไหมนะ?” ประมุขมารเงียบไป แล้วเรียกเยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้ามา เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่ามีเรื่องอะไร ก็มีสายฟ้าสองสายฟาดลงมา สายหนึ่งผ่าลงที่ประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อย อีกสายหนึ่งผ่าลงบนร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ทั้งสองไหม้เกรียมเป็นแท่งถ่านในทันใด
“เยี่ยนเสี่ยวซื่อ!” ประมุขมารมองไปยังทั้งสองคนพร้อมกับร้องออกมา
เยี่ยนเสี่ยวซื่อสำลักควันดำออกมาจากปาก “ปล่อยสายฟ้าผ่าข้าทำไม”
ฉ่า!
ทั้งยังเป็นร่างของประมุขศักดิ์สิทธิ์อีก!
“หรือว่าจะใช้สายฟ้าไม่มากพอ?” เมื่อประมุขมารรู้ว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อถูกฟ้าผ่าแล้วไม่ตาย จึงปล่อยสายฟ้าลงมาได้อย่างสบายใจ เปรี้ยงๆๆ เปรี้ยงๆๆๆ! เปรี้ยงๆๆๆๆๆ!
อย่างไรเสียพลังที่เหลือก็ถูกดูดเข้าไปในยมโลก ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะทำเสียเรื่อง
แต่ว่า…เยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้ดำเป็นตอตะโก ก็ยังไม่สลับร่างกลับคืนสักที
“หรือว่าต้องเป็นสายฟ้าสวรรค์จึงจะเห็นผล?” ประมุขมารขบกรามแน่น ถ่ายทอดพลังสายฟ้าทั้งหมด แล้วดึงให้ผ่าลงมายังยอดหลังคาอย่างรุนแรง
หลังคาสั่นไหว เขาชักนำสายฟ้าสวรรค์ลงมาจริงๆ
ประมุขมารรุดเข้าไปคว้าทั้งสองไว้ จับศีรษะของพวกเขาขึ้นมา
“ท่านพี่เสี่ยวเจา อักๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“อุแว้ แว้ๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ทั้งสองถูกฟ้าผ่าจนลิ้นพัน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม
กระนั้นก็ยังไม่เห็นผลบ้าบออะไรสักอย่าง!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังคงเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ และประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเป็นเยี่ยนเสี่ยวซื่อตัวน้อย
ทั้งสองถูกฟ้าผ่าจนสภาพเอน็จอนาถเหี่ยวเฉาปานประหนึ่งปลาเค็มตากแห้ง ตะเกียกตะกายคลานขึ้นมาจากพื้น หัวหมุนจนแทบไม่ไหว
ประมุขมารเดินไปหาพวกเขาด้วยความปวดร้าวใจ มองไปยังประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยตัวอ้วนกลมขาวปลอด…ไม่สิ…ยามนี้ควรเรียกว่าดำมิดหมีเสียมากกว่า จากนั้นก็มองเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งก็ไหม้เกรียมเป็นถ่าน คุกเข่าลงข้างหนึ่ง จับเยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้ามาในอ้อมอกอย่างอ่อนโยน แล้วพูดแกมสั่งว่า “เจ้าฟังข้าให้ดี ต่อให้ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่อาจเปลี่ยนร่างคืนมาได้ ต่อให้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าจะเป็นบุรุษ เจ้า…ก็ยังเป็นคนของข้า!”
เพื่อที่จะแสดงความแน่วแน่ของตนให้เป็นประจักษ์ เมื่อพูดจบ เขาก็หลับตาลง ค้อมกายลงจุมพิตเจ้าคนตัวไหม้เกรียมในอ้อมกอด
เขาพยายามสะกดจิตตนเองไว้ตลอดเวลา
นี่คือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ นี่คือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ คือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ…
“ท่านพี่เสี่ยวเจา เจ้าทำอะไรน่ะ”
เสียงอู้อี้งัวเงียดังขึ้นจากด้านหลังของประมุขมาร เป็นเสียงอ่อนหวานจับใจดุจเสียงสวรรค์ของเด็กสาว
ประมุขมารร่างแข็งทื่อในทันใด
ดวงตาของเขาลุกโพลง มองไปยังประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่ก็กำลังจ้องเขม็งมาเช่นกัน จากนั้นจึงหันหลังกลับไปมองเด็กสาวรูปร่างอรชรงามพริ้งเพราะที่ยืนอยู่ ใบหน้าก็พลันซีดเผือดขึ้นมา
เขายันกายลุกพรวดขึ้นทันใด จนประมุขศักดิ์สิทธิ์หล่นลงกับพื้น
ในตอนนั้นเอง ทั้งสองก็เบือนหน้าหันไปกดหน้าอก “อ้วกกกกกกก”
…………………………….