หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 52.1 อัสนีบาต (1)
เยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขศักดิ์สิทธิ์สลับคืนร่างเดิมแล้ว ประมุขศักดิ์สิทธิ์พาคนที่หายตัวไป ไม่ว่าเป็นหรือตายกลับไป ในสิบเจ็ดคน มีสามคนเป็นศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเข้ามาทีหลัง ทั้งหมดยังมีพลังปราณอยู่ ยอดฝีมือขั้นไท่ซวีผู้นั้นก็ไม่เป็นอะไรร้ายแรง ส่วนศพคนที่เหลือถูกส่งไปยังหน่วยราชการท้องถิ่น ให้ครอบครัวพวกเขานำกลับไป
คนที่ยังมีชีวิตถูกมารดาภูติผีลบความทรงจำไปแล้ว พวกเขาจำได้เพียง ตนเคยต่อสู้กับผู้บำเพ็ญมารคนหนึ่งในเมือง นอกจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก ยมโลกเกี่ยวข้องกับความลับของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ประกาศกระบวนการทั้งหมดสู่ภายนอก แน่นอน ปฏิเสธด้วยว่าอยู่ในอาณาเขตของนิกายเซียน
“ไม่ได้เข้าไปในม่านพลังของนิกายเซียน แต่บังเอิญอยู่นอกม่านพลังของนิกายเซียน เป็นแดนลับที่หายไปแห่งหนึ่ง ยามนี้แดนลับนั้นถูกข้าปิดผนึกแล้ว” ประมุขศักดิ์สิทธิ์กล่าวกับประมุขหลินและผู้พิทักษ์อาวุโสทุกท่าน
ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ที่ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญมารในวันนั้น และพวกของศิษย์พี่จิ้งที่รีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุภายหลัง ล้วนคิดว่าเป็นม่านพลังนิกายเซียนที่กั้นพวกเขาไว้ด้านนอก แต่ในเมื่อประมุขศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่าเป็นม่านพลังของแดนลับ เช่นนั้นก็เป็นม่านพลังของแดนลับ
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ถูกเสมอ นิกายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางโกหก อย่างน้อยก็ไม่มีทางโกหกให้นิกายเซียน
ทั่วทั้งนิกายเซียน มีเพียงสุ่ยเยว่ชิงกับชายชราผมขาวที่เห็นประมุขศักดิ์สิทธิ์อยู่กับครอบครัวเยี่ยนจิ่วเฉา แต่หลังจากพวกเขากลับมาที่สำนักก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กัน อีกอย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ติดต่อกับนิกายเซียน อย่างน้อยพวกเขาก็คิดเห็นเช่นนั้น ดังนั้นประมุขศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีเหตุผลในการยกเว้นให้นิกายเซียน
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับมาที่เขาเซิ่งเฟิงอีกครั้ง
เมื่อพวกฟู่หรูเสวี่ยเห็นนางปรากฏตัวในสวนดอกไม้งามสะพรั่ง ดูโดดเด่นจนสวนที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิดูชืดสนิท ก็สงสัยว่าตนตาฝาดไป!
“ข้าตาฝาดไปหรือไม่? นางมารนั่นกลับมาอีกแล้ว?”
“นางไม่กลัวอัสนีบาตหรือ?”
“นาง นาง นาง…นางกลับมาพร้อมกับประมุขศักดิ์สิทธิ์!”
“ยังมีสหายของประมุขศักดิ์สิทธิ์ด้วย! ทั้งสาม…ทั้งสามคนขึ้นไปบนภูเขาด้วยกัน! ไม่สิ! พวกเขาเข้าไปในห้อง!”
หากไม่มีคำสั่งประมุขศักดิ์สิทธิ์ พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะย่างกรายเข้าห้อง ต้มชาเทน้ำ สตรีผู้นั้นกลับเข้าไปอย่างหน้าเชิดคอตั้ง?!
น่าโมโหจริง!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมาหาประมุขศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เขาคลายสะกด
“ข้าได้ยินหมดแล้ว! มารดาภูติผีให้ไข่มุกเจ้าเม็ดหนึ่ง! ไม่สิ ให้ไข่มุกข้าเม็ดหนึ่ง! หากมีไข่มุกนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้การสะกดของเจ้า!”
ความจริง เยี่ยนเสี่ยวซื่อง่วนอยู่กับการเกลี้ยกล่อมสือโถวน้อยที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ได้ฟังการสนทนาระหว่างประมุขมารกับมารดาภูติผีอย่างละเอียด ทว่ายามสลับร่างกับประมุขศักดิ์สิทธิ์ นางได้รับรู้ถึงประโยชน์ของไข่มุกที่มีต่อนาง จากความคิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในหัวตน
กล่าวเช่นนี้อาจดูเป็นนามธรรมสักหน่อย แต่ขณะนั้นมีเสียงสะท้อนในใจของประมุขศักดิ์สิทธิ์ดังอยู่ในหัวนาง ‘หากมีไข่มุกนี้ ก็จะสามารถคลายสะกดให้นางได้’
“ไข่มุกนี้สามารถรักษาไอมารในร่างกายของข้าได้ใช่หรือไม่? เช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบคลายสะกดให้ข้าละ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อคุกเข่าลงข้างโต๊ะเล็ก แล้วโน้มตัวกับโต๊ะ มองประมุขศักดิ์สิทธิ์ด้วยสายตาทั้งขุ่นเคืองทั้งอ้อนวอน
“ไม่ได้”
“ไม่ได้”
ประมุขศักดิ์สิทธิ์กับประมุขมารเอ่ยขึ้นพร้อยกันโดยไม่นัดหมาย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
พวกเจ้าหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียวกันหรือ? ชัดเจนเช่นนี้
อวดความรักก็มิใช่เช่นนี้!
เหตุผลที่ทั้งสองไม่เห็นด้วย เพราะการสะกดภายในของเยี่ยนเสี่ยวซื่อคลายไปแล้ว เพียงแต่นางไม่รู้เท่านั้น แต่นางไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับทั้งสอง
“ข้าจะไม่ยอมแพ้! หากเจ้าไม่คลายสะกดให้ข้า ข้าก็จะไม่ออกไปจากวังของเจ้า! ข้าจะบอกเจ้าไว้ ข้า ข้า ข้า…ข้าจริงจังนะ! ข้ากินจุมาก! ข้ากินเยอะมากๆ! เจ้า…สัตว์วิญญาณหลังเขาเจ้าจะถูกข้ากินเกลี้ยง!”
หลังจากเยี่ยนเสี่ยวซื่อพูดคำพูดโหดร้ายดุดันจบ ก็หยิบธนูออกไป
เพื่อพิสูจน์ว่าตนสามารถกินเขาของประมุขศักดิ์สิทธิ์ได้จริง นางจะพยายามอย่างหนัก
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ตัวเขาเองอาจไม่สังเกต ทว่าไม่ได้หลบสายตาของประมุขมาร
ประมุขมารหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไปล่าสัตว์ ครั้งหนึ่งก็หายไปทั้งวัน
ประมุขศักดิ์สิทธิ์นั่งคุกเข่าอ่านหนังสืออยู่บนเสื่อ แสงอาทิตย์อัสดงสีส้มแดง ส่องกระทบหนังสือโบราณที่มีกลิ่นหอมของหมึก ประมุขมารนอนบนเปลอย่างสบายๆ มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ อีกข้างเล่นขลุ่ยทอง
ประมุขศักดิ์สิทธิ์พลิกหน้าหนังสือแล้วเอ่ยกับเขาโดยไม่มอง “นานเช่นนี้ นางยังไม่กลับ เจ้าไม่กังวล? ไม่ออกตามหานางหรือ?”
“ยามนี้ที่ควรกังวลคงมิใช่นาง ทว่าเป็นสัตว์วิญญาณหลังเขาเจ้ากระมัง?” ประมุขมารมองขึ้นไปบนเพดานห้องอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย “หากข้าเดาไม่ผิด วังของเจ้าไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นอาวุธเซียน สัตว์วิญญาณด้านในก็ไม่ใช่สัตว์วิญญาณ แต่เป็นสัตว์เซียนกระมัง กลายเป็นอาหารยัยเด็กนั่นกับนกใหญ่เช่นนี้ เจ้าไม่เจ็บใจหรือ?”
อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ ทว่าอาวุธเซียนชั้นสูงยิ่งกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มากกว่าการพบได้ขอไม่ได้ ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เหลืออาวุธเซียนอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น
“หรือเจ้าเองก็ไม่เจ็บใจ? มอบขลุ่ยมารเซียนที่พระโพธิสัตว์ทำพิธีให้เด็กผู้นั้น ไม่กลัวนางจะขุดสมบัติบ้านเจ้าไปหมดรึ”
ใช่ ขลุ่ยที่มอบให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อในยมโลกนั้นเป็นขลุ่ยมารเซียนจริงๆ ยามนี้สิ่งที่เขาเล่นอยู่ในมือเป็นเพียงขลุ่ยธรรมดาเท่านั้น
วังมารสวรรค์ของเขาอยู่ด้านใน
อย่างน้อยวังของประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ยังอยู่ในมือของเขา เยี่ยนเสี่ยวซื่อทำลายสิ่งล้ำค่าใดบ้างเขาก็รู้ ทว่าไม่ใช่กับประมุขมาร บ้านทั้งหลังล้วนถูกส่งไปอยู่ในมือของนาง
ประมุขมารฮึดฮัดเย็นชา “เจ้าเห็นเสี่ยวซื่อเป็นเช่นไร นางไม่ใช่เด็กล้างผลาญ!” จะขุดสมบัติในบ้านเขาหมดได้อย่างไร?
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ยิ้มจางๆ “ข้าหมายถึง สตรีผู้นั้นไม่รู้ว่าพลังของตนถูกคลายสะกดแล้ว ทำสิ่งใดไม่ออมมือ เจ้าไม่กลัวนางจะระเบิดวังมารสวรรค์ของเจ้ารึ?”
ประมุขมารเยาะเย้ย “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงดังสนั่นก็ดังมาจากหุบเขาเซิ่งเฟิง
ในหัวของประมุขมารมีบางสิ่งบางอย่างระเบิด เขารีบผุดลุกขึ้นยืนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า
วินาทีต่อมา นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ที่ไหม้เกรียมบินกลับมาพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมือข้างหนึ่งถือขลุ่ย มืออีกข้างปิดปากปิดจมูก กลุ่มควันหนาแน่นทำให้น้ำตาไหลออกมา “พี่เสี่ยวเจา ขลุ่ยของเจ้าเป่าไม่ออก ข้าเลยเขย่าสองสามที จู่ๆ บ้านเล็กหลังหนึ่งก็หล่นลงมา ข้าบีบนิดเดียว ก็เผลอทำมันระเบิด…”
ประมุขมารดวงตาดำมืด “…”
ขลุ่ยมารเซียนเป็นอาวุธเซียนอย่างที่สองในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะเสริมด้วยพลังแห่งเผ่ามาร ในแง่ระดับจึงสูงกว่าวังของประมุขศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ภายในมีเขาเซิ่งเฟิงได้ถึงสามลูก วังมารสวรรค์บนยอดยิ่งเหลืองอร่ามแวววาว เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่ามากมายที่จะหาได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
“แน่ใจรึว่าเขย่าสองสามที?”
เจ้าต้องใช้กำลังมากเพียงใดถึงเขย่าวังที่สร้างขึ้นอย่างมั่นคงบนภูเขามารเซียนออกมาได้?
จู่ๆ ไม่ทันระวังก็กลายเป็นบุรุษไร้บ้าน ประมุขมารรู้สึกหัวใจตนไม่สู้ดี…
“พี่เสี่ยวเจา บ้านของเล่นเล็กๆ นั่นสำคัญกับเจ้ามากหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างโศกเศร้า “ข้าจะให้ท่านพ่อกับพี่ต้าเป่าสร้างหลังใหม่ให้เจ้า พวกเขาทำของเล่นเก่งมาก บีบทีเดียวไม่มีทางระเบิดแน่”
วังมารสวรรค์ : บีบทีเดียวระเบิด เป็นความผิดของข้ารึ?!
“ไม่ต้องหรอก แค่ของเล่นชิ้นเล็กๆ ถึงพังก็ไม่เป็นไร” ประมุขมารเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ย่ำแย่กว่าร่ำไห้
“ข้างในเป็นของเล่นหมดเลยหรือ?”
เอ่ยเช่นนี้…เจ้าหมายความว่าอย่างไร?
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเกาหัว “มีของหล่นลงมาจากขลุ่ย ดูน่าสนุกดี ข้าก็เลย…เขย่าอีกหน่อย”
ประมุขมารระงับเลือดที่อยากกระอักออกมาและถามอย่างใจเย็น “อ้อ เจ้าเขย่าสิ่งใดออกมาบ้างละ?”
“ก็ไม่มีอะไร แค่งูดำเล็กๆ หนึ่งตัว”
มังกรมารของเขา!!!
“ไก่เล็กๆ หนึ่งตัว”
หงส์มารของเขา!!!
“แล้วก็มีอีกตัว…อะไรน้า…” เยี่ยนเสี่ยวซื่อทำท่าครุ่นคิด “ปลาใหญ่บินได้”
คุน…คุนเผิง[1]…
[1] คุนเผิง คือปลาที่กลายเป็นนกในปรัชญาของจวงจื่อ มีอีกความหมายคือ สามัญชนย่อมไม่เข้าใจความคิดของผู้ยิ่งใหญ่