หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 53 เลื่อนขั้น
ตั้งแต่สมัยโบราณ ประมุขแห่งฟ้าดินที่เลื่อนขั้นเป็นเซียนเพราะหยิบสบู่ เกรงว่าจะมีเป็นคนแรก ไม่สิ สองคนแรก
กฎแห่งสวรรค์พิโรธจัด เหตุใดมันปกป้องฟ้าดินมาเนิ่นนานปีเช่นนี้ ไม่เคยได้ยินว่ามีบุรุษใหญ่สองคนใดกล้าหยิบสบู่กลางวันแสกๆ เช่นนี้มาก่อน?!
แค่ทำยังพอว่า ยังกล้าเอ่ย?
คิดว่ามันหูหนวกหรืออย่างไร?
ทว่ากฎแห่งสวรรค์ หยิบสบู่ในที่นี้…มีความหมายว่าหยิบสบู่จริงๆ…
ประมุขมารทุกข์ระทมขมขื่นใจ หากรู้ว่าเป็นเพียงสบู่ก้อนหนึ่งแต่แรก ตนคงไม่แย่งมา
หยิบสบู่จนเกิดมหันตภัยอัสนี ช่างน่าหดหู่นัก
หลายวันมานี้ประมุขมารเอาแต่ครุ่นคิดถึงช่วงเวลาแห่งมหันตภัยอัสนีของตน เขายังสงสัยว่าตนต้องกวาดล้างเมืองทั้งเมือง ใช้ซากศพนับล้าน จึงจะสามารถดึงดูดมหันตภัยอัสนีหรือไม่ ไม่คิดว่า หยิบสบู่ก้อนเดียวก็ทำได้แล้ว….
แต่เขาไม่เคยคิดสักนิด ว่าจะได้รับทัณฑ์อัสนีพร้อมกับโจวจิ่น
เขามีพลังควบคุมสายฟ้า มหันตภัยอัสนีของเขา แตกต่างจากมหันตภัยอัสนีของผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนคนอื่น ตราบใดที่เขาควบคุมถูกต้อง พลังอัสนีเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ให้เขาใช้ได้ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าด่านอัสนีของเขาไม่มีสิ่งใดยากเย็น
ทว่า……
หากมหันตภัยอัสนีของเขา ซ้อนทับกับมหันตภัยอัสนีของผู้อื่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่ามหันตภัยอัสนีของโจวจิ่น ไม่ยอมให้ผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนของตนแกล้งยอมแพ้ ที่ฟาดลงบนตัวเจ็บแสบเกินบรรยาย โดยเฉพาะมหันตภัยอัสนีไม่มีตา แต่ทุกที่ซึ่งอยู่ในขอบเขตฟาดลงมาจนโกลาหลอลหม่าน
โดยทั่วไป ก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นเซียน ผู้บำเพ็ญจะดูแตกต่างออกไป พวกเขาจะรู้ตัวว่าถึงเวลาเลื่อนขั้นเป็นเซียนแล้ว และเตือนให้ผู้คนรอบๆ อพยพหนีทันที เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ
มหันตภัยอัสนีวันนี้ดุเดือดรุนแรง อย่าว่าแต่ทั้งสองยังไม่ทันแยกจากกัน แม้แต่นิกายศักดิ์สิทธิ์เองก็ไร้หนทางจะหลบหนีรวดเร็วเช่นนี้
ในใจประมุขหลินกรีดร้องท่าไม่ดี นิกายศักดิ์สิทธิ์กำลังจะถูกสับเป็นเศษซาก
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ อัสนีบนท้องฟ้าราวกับมีตา ฟาดใส่เพียงพวกเขา ละเว้นผู้ไม่เกี่ยวข้อง
หากบอกว่าเมตตาสรรพชีวิต ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ประมุขหลินไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่ราวกับมหันตภัยอัสนีหวงแหนสายฟ้า สายฟ้าทุกเส้นต้องฟาดสัตว์ร้ายสองตัวนี้ให้ตาย
ประมุขมารถูกสายฟ้าฟาดอนาถ!
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขามากนัก เขาดิ้นรนรับมือกับอัสนีของตน บวกกับอัสนีของเผ่ามาร… มหันตภัยอัสนีของเผ่ามาร รุนแรงกว่ามหันตภัยอัสนีของผู้บำเพ็ญสายตรง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับระดับของผู้บำเพ็ญมารที่สูงกว่าผู้บำเพ็ญสายตรง พลังสะท้อนกลับและมหันตภัยอัสนีที่พวกเขาเผชิญก็ย่อมรุนแรงกว่า
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ถูกสายฟ้าฟาดจนกรอบนอกนุ่มใน ควันดำลอยออกจากหัว
คนทั้งนิกายศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยินมหันตภัยอัสนีครั้งนี้หยิบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้ได้มา เตรียมต่อสู้ครั้งรุนแรง แต่…กางเกงก็ถอดแล้ว จะให้พวกเขาดูภาพนี้อย่างนั้นหรือ?
ทุกคนตื่นตะลึงตาค้างมองดูมหันตภัยอัสนีหลีกเลี่ยงพวกเขาอย่างระมัดระวัง และฟาดใส่คนทั้งสองอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต…
ทั้งสองถูกมหันตภัยอัสนีฟาดจนขาดก็แต่เต้นเพลงไห่เฉาอู่เท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? เหตุใดถึงถูกฟ้าผ่าเละเทะเช่นนั้น?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังรู้สึกไม่อยากทนดูต่อ
ประมุขหลินก็สับสนมากเช่นกัน ผีเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรมา เหตุใดถูกอัสนีฟาดจนเป็นเช่นนี้? มหันตภัยอัสนีน่ากลัวเพียงนี้ เอ่ยตามตรง แม้แต่ตำราโบราณยังไม่กล้าเขียนไว้!
แม้ยังสงสัย ประมุขหลินก็ยังอดทนสอนเรื่องมหันตภัยอัสนีและการเลื่อนขั้นเป็นเซียนให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อฟัง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เจ้าหมายความว่าพวกเขากำลังข้ามด่านอัสนี? หลังจากผ่านด่านอัสนี ก็จะเลื่อนเป็นขั้นเซียน?”
“ถูกต้อง” แต่จะผ่านได้หรือไม่ยากจะบอก มหันตภัยอัสนีนี้ต้องการฆ่าพวกเขาชัดๆ
ไม่รู้ว่ามหันตภัยอัสนีนี้กินเวลานานเพียงใดแล้ว ทุกคนชะเง้อจนปวดคอ
ในที่สุดเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ทนดูต่อไปไม่ไหว นางกำลังจะนอน แต่มหันตภัยอัสนียิ่งใหญ่เช่นนี้ หนวกหูจนนอนไม่หลับ!
ทันใดนั้นโทสะก็ปะทุขึ้นในท้องของนาง
จากนั้นไม่รู้ว่าพลังมาจากที่ใด นางเหาะขึ้นไปคว้าสายฟ้าที่กำลังจะฟาดใส่ประมุขมาร สายฟ้าคดเคี้ยวน่ากลัวราวกับมังกรเส้นนั้น ทันทีที่ถูกเยี่ยนเสี่ยวซื่อจับก็กลายเป็นงูแสงน้อยในพริบตา
งูแสงน้อยดิ้นเล็กน้อย
เอ๊ะ?
ดิ้นไม่หลุด?
เมื่อเห็นว่าตนจับสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ทำตาโตด้วยความประหลาดใจ นางไม่คิดสิ่งใดมาก ในเมื่อจับเส้นหนึ่งได้ เช่นนั้นก็ย่อมจับเส้นที่สองได้
ต่อจากนี้ ทุกคนได้เห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ยิ่งกว่าบุรุษสองคนหยิบสบู่จนถูกฟ้าผ่า เยี่ยนเสี่ยวซื่อ ขยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แสดงการจับสายฟ้าด้วยมือเปล่า
เหล่าอัสนีเริ่มต้นยังหยิ่งผยองยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าสหายตนถูกสตรีโง่เขลาจับไว้ ก็รีบพุ่งไปหานางอย่างหยิ่งผยอง ผลก็คือ มาหนึ่งเส้น เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็คว้าไว้หนึ่งเส้น มาสองเส้น เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็คว้าไว้ทั้งคู่
จับไว้กระทั่งเส้นสุดท้าย เยี่ยนเสี่ยวซื่อมีสายฟ้าในมือสองมัดใหญ่ๆ นางโยนสายฟ้าเหล่านี้ขึ้นไปด้านบน!
เสียงดังสนั่นกึกก้องสะเทือนปฐพี เมฆดำทั้งหมดถูกพัดหายไป ฟ้าที่เดิมทีสว่างวูบวาบ พลันเปลี่ยนเป็นไร้เสียง ทั่วทั้งใต้หล้าเงียบสงัดลงทันใด หากไม่ใช่เพราะควันดำบนหัวไหม้เกรียมของคนทั้งสองยังล่องลอยอยู่ในอากาศ เกรงทุกคนคงคิดว่ามหันตภัยอัสนีเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาของพวกเขาเท่านั้น
ประมุขหลินมองไปรอบๆ อย่างตกอกตกใจ ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่ากฎแห่งสวรรค์…หวาดกลัว…
หวาดกลัวหางจุกก้น แม้แต่สัตว์ร้ายที่หยิบสบู่ทั้งสองก็ยอมละเว้น…
“มหันตภัยอัสนีจบแล้วหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเท้าเอวมองด้านบน “หลังผ่านมหันตภัยอัสนีแล้ว ก็จะเปิดสู่เส้นทางเซียนมิใช่รึ? ไม่เห็นมีเส้นทางเลย?”
ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรือ? ผ่านมหันตภัยอัสนีแล้วจึงจะสามารถมีเส้นทาง นี่ก็จบแล้วมิใช่หรือ?
มหันตภัยอัสนีฟาดลงมาครึ่งหนึ่ง ไม่กล้าฟาดลงมาต่อ เป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อรูดแขนเสื้อ
ประมุขหลินรู้สึกฟ้าดินสั่นระริก ราวกับหากตกใจอีกครั้ง เส้นทางของสวรรค์จะเปิดทันที
ประมุขหลิน “…”
ไม่ขนาดนั้นกระมัง ดรุณีผู้นั้นเพียงรูดแขนเสื้อขึ้น ต้องกลัวโดนทุบตีเพียงนี้เชียวรึ…
แต่จะว่าไปแล้ว ดรุณีผู้นั้นมิใช่เด็กไม่เอาไหนพันปีหรอกหรือ?
นางเปลี่ยนไป หรือเขาตาฝาดกันแน่?
ต่อให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อจะโง่เพียงใด นางก็เข้าใจดีว่าการเลื่อนขั้นเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องเลวร้าย การไปยังจุดที่สูงขึ้นไป ก็หมายความว่าสามารถไปเห็นโลกที่กว้างขึ้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าโอกาสเลื่อนขั้นเป็นเซียนของทั้งสองมาได้อย่างไร วี่แววสักนิดก็ไม่มี แต่นางก็ดีใจแทนทั้งสองคน
“เหตุใดพวกเขายังไม่ขยับ? หากยังไม่ขึ้นไป เส้นทางจะถูกปิด!” ประมุขหลินกล่าวอย่างกังวล
เส้นทางเซียนไม่ได้เปิดถาวร มันมีการจำกัดเวลา และจะหายไปเมื่อหมดเวลา
บัดนี้ เพราะเส้นทางเปิดออก ไอวิญญาณด้านบนไหลทะลักเข้ามาไม่ขาดสาย ไอวิญญาณนี้บริสุทธิ์กว่าที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างรับรู้ถึงการเลื่อนขั้นของระดับพลัง
คนเดียวที่ไม่รู้สึกก็คือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
นางมองทางผ่านที่มีขนาดราวๆ ประตูหนึ่งบาน กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “เล็กเพียงนั้น ยัดเข้าไปได้รึ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง เส้นทางก็ขยายออกกว้างราวสวนดอกไม้!
ประมุขหลินซวนเซ แทบเสียสติ!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่มีเวลาสนใจ นางรู้ว่าเหตุผลที่ประมุขศักดิ์สิทธิ์กับท่านพี่เสี่ยวเจาไม่ขึ้นไป ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากไป ทว่าพวกเขาถูกมหันตภัยอัสนีฟาดจนเละ ไม่อาจเคลื่อนไหว
นางจึงเหาะไปคว้ามือพวกเขาคนละหนึ่ง มุ่งสู่เส้นทางผ่าน
ประมุขหลินสีหน้าเปลี่ยน ตะโกนเสียงดัง “ระวัง—”
เส้นทางผ่านมีพลังบีดอัด มีเพียงผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนที่ผ่านมหันตภัยอัสนีแล้วเท่านั้น จะสามารถทนต่อแรงบีบอัดนั้นได้ ทันทีที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นเข้าไปใกล้ จะถูกพลังบีบอัดด้านในทำลาย
ไม่ได้เจตนาพูดให้ตกใจ ทว่ามีคนเคยลองมาก่อน ไม่เช่นนั้น หากผู้ใดก็สามารถผ่านเข้าไปได้ เช่นนั้นมิใช่เพียงผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเปิดมันได้ ผู้บำเพ็ญทุกสำนักทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนกันหมดแล้วหรือ?
ประมุขหลินรอเก็บศพเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เขาเตรียมพร้อมใช้เสื้อผ้ารองรับชิ้นส่วนร่างกายของเยี่ยนเสี่ยวซื่อแล้ว
ผลสุดท้ายเห็นทั้งสามบินเข้าไปในทางผ่านโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ
ประมุขหลิน “…”
หลังจากทั้งสามบินผ่านไป เส้นทางผ่านก็ปิดลง
ทางผ่านปิดลงแล้ว ไอวิญญาณจากด้านบนก็หายไป ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ ไอวิญญาณที่เหล่าศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ได้ดูดซับ ก็มากกว่าที่พวกเขาได้รวมกันในช่วงหลายชั่วอายุคน
แต่สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นคือ ไม่นานหลังจากเส้นทางผ่านนั้นปิดลง ด้านหลังเมฆดำขนาดเล็กที่ห่างออกไปไม่ไกล เส้นทางเล็กๆ จิ๋วๆ ใช้เมฆดำสร้างเป็นสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็ปิดตนเองลงเงียบๆ
เส้นทางเป็นเซียนของผู้บำเพ็ญสายตรง กับเส้นทางเป็นเซียนของเผ่ามาร แน่นอนว่าไม่เหมือนกัน!
ถูกทั้งสามผ่านร่างเข้ามาพร้อมกัน แค่คิดก็เป็นความเจ็บปวดเหลือทนแล้ว
ใหญ่เกินไป รับเข้ามาไม่ไหว
มันยังเป็นเส้นทางผ่านเผ่ามารมือใหม่ที่ไม่เคยถูกผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนคนใดผ่านมาก่อน
……………………
Comments for chapter "บทที่ 53 เลื่อนขั้น"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Lekkkkk
แอดคะ ช่วยลงต่อได้ไม๊คะ รออ่านหลายเรื่องเลย รวมทั้งหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสามด้วยค่ะ