หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 56 พิธีมหามงคลสมรส (1-1)
เช้าวันถัดมา มีข่าวส่งมายังโรงเตี๊ยม ท้องฟ้าเหนือแดนลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาด คาดว่าสิ่งล้ำค่ากำลังจะโผล่ออกมา
ประมุขมารและประมุขศักดิ์สิทธิ์พาเยี่ยนเสี่ยวซื่อไปยังแดนลับ
เมื่อพวกเขามาถึงแดนลับ ถึงรู้ว่าเหตุใดหลังจากเลื่อนขั้นขึ้นมาจึงไม่พบใครสักคนในระยะหลายร้อยหลี่ ที่แท้พวกเขาก็มาล่าขุมทรัพย์อยู่ที่นี่กันหมด
มีทั้งศิษย์จากสำนักและผู้บำเพ็ญตนไร้สำนัก ฝั่งแรกแข็งแกร่ง มีจำนวนมากเป็นส่วนใหญ่
ผู้บำเพ็ญตนไร้สำนักที่มาคนเดียวมีไม่มาก บ้างเป็นพันธมิตรกันก่อนมา บ้างก็มาถึงแดนลับแล้วจึงค่อยตั้งกลุ่มชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาทั้งสาม
ทั้งสามไม่ต้องการเข้าร่วมสำนักใดๆ และไม่ได้คิดจะเป็นพันธมิตรกับผู้บำเพ็ญตนไร้สำนักคนใด
ทว่าการปรากฏตัวของทั้งสามโดดเด่นเกินไป เดินไปที่ใดก็อดชวนให้คนมองไม่ได้
“นี่ พวกเจ้าสามคนหยุดก่อน!”
เด็กชายอายุสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งเดินเข้ามา แต่งตัวคล้ายเป็นศิษย์สำนักหนึ่ง
เขาเหลือบมองทั้งสามคนอย่างเย่อหยิ่งและกล่าวว่า “ศิษย์พี่สาวสองท่านของสำนักข้าต้องการพบ”
ทั้งสามมองด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อถามว่า “ศิษย์พี่เจ้าเป็นใคร?”
ศิษย์น้อยเชิดจมูกขึ้นฟ้า “คุณหนูรองกับคุณหนูสี่แห่งนิกายวั่นเจี้ยน!”
ชื่อเสียงของนิกายวั่นเจี้ยนในดินแดนด้านบนเป็นที่รู้จัก คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่ของพวกเขาเป็นดั่งมุกในมือของเจ้าสำนัก เป็นดังองค์หญิงแห่งดินแดนด้านบน
น่าเสียดาย ทั้งสามมาที่นี่เป็นครั้งแรก นิกายวั่นเจี้ยนบ้าบออะไร? ไม่เคยได้ยิน!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อถามว่า “อ้อ พวกนางเชิญเราไปพบด้วยเรื่องใด?”
“จะเรื่องอะไร?” ลูกศิษย์น้อยกล่าวว่า “พวกเจ้าเพิ่งมาใหม่กระมัง? คุณหนูทั้งสองบอกว่า อนุญาตให้พวกเจ้าเข้าร่วมนิกายวั่นเจี้ยนได้”
คำพูดเหล่านี้ไม่น่าฟังเท่าไร พวกเขามาใหม่ก็จริง แต่ยังไม่ทันถามความเห็นพวกเขา ก็บอกว่าจะรับพวกเขาเข้าสำนักด้วยน้ำเสียงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ราวกับว่าพวกเขาโชคดีนักหนา
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราเพิ่งมาใหม่?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเป็นเด็กขี้สงสัย
ศิษย์น้อยเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “กายของพวกเจ้ายังมีไอปราณแห่งมหันตภัยอัสนี พวกเจ้าอาจไม่รู้ตัว ทว่าคนนอกแยกแยะได้ง่ายดายนัก เอาละ หยุดเอ่ยไร้สาระแล้วตามข้ามา!”
“โอ้” เยี่ยนเสี่ยวซื่ออยากรู้เกี่ยวกับนิกายวั่นเจี้ยนนี้นัก อยากไปดูสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่าศิษย์น้อยกลับยืนกั้นนางไว้ “ไม่มีเจ้า แค่พวกเขาสองคนเท่านั้น”
เดิมทีประมุขมารกับประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการไปที่นิกายวั่นเจี้ยนอะไรนั่นอยู่แล้ว ทว่าเห็นแก่เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงยอมไปสักครา แต่พวกเขาไม่ต้องการเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เช่นนั้นก็ดีเลย
ไม่ไปแล้ว
ทั้งสองพาเยี่ยนเสี่ยวซื่อจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
กลุ่มนิกายวั่นเจี้ยนอยู่ไม่ไกล ย่อมมองเห็นฉากนี้
สีหน้าคุณหนูทั้งสองเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยากจะมอง
พวกนางเป็นดั่งมุกในมือแห่งนิกายวั่นเจี้ยน เรียกลมเรียกฝนจนคุ้นเคย พวกนางไม่เคยถูกผู้ใดหักหน้ามาก่อน ทั้งสองจึงตัดสินใจสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขาทันที
“ศิษย์พี่ โปรดระงับโทสะ เรื่องเช่นนี้ให้ศิษย์น้องจัดการ” ศิษย์นิกายวั่นเจี้ยนอีกคนก้าวไปข้างหน้า เขาเป็นบุตรที่เกิดในนิกายวั่นเจี้ยน ทั้งบิดามารดาเป็นผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนแห่งดินแดนล่าง หลังจากเลื่อนขั้นขึ้นมาก็ใช้ความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยมเข้าร่วมกับนิกายวั่นเจี้ยน
นิกายวั่นเจี้ยนมีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ วิชาหลากหลาย อาวุธศักดิ์สิทธิ์อาวุธวิญญาณก็โผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่อยากเก่งกาจสามารถคงไม่ได้
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ไอปราณของทั้งสาม บุรุษชุดดำดูเหมือนจะเป็นผู้บำเพ็ญมาร บุรุษชุดขาวเป็นผู้บำเพ็ญสายตรง ระดับของทั้งสองอยู่ต่ำกว่าเขา ส่วนสตรีผู้นั้น…เขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนใดๆ ในพลังวิญญาณ คาดว่านางไม่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมา ทว่าเป็นคนธรรมดาในดินแดนด้านบน
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ การต่อสู้กับศัตรูสองคนไม่ใช่ปัญหา
เขาเดินไปหาเรื่องทั้งสาม
“รู้หรือไม่ว่ามีกี่คนพยายามดิ้นรนเพื่อจะเข้านิกายวั่นเจี้ยนของเรา? ศิษย์พี่ของข้าเห็นแววพวกเจ้าจะรับเข้าเป็นศิษย์ ไม่เช่นนั้น อย่างพวกเจ้าสองคน การคัดเลือกเข้าสำนักในรอบสิบปี ก็ยังไม่มีปัญญาเข้าไปได้”
เขาเอ่ยอย่างหยิ่งผยอง
ทั้งสามไม่สนใจ ถือเสียว่าเขาพูดไร้สาระ
เขาระเบิดโทสะทันใด ในเมื่อพูดไม่ได้ผล เช่นนั้นคงต้องใช้กำลัง เดิมทีก็คิดจะจัดการพวกเขาอยู่แล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือ ผู้ซึ่งเป็นถึงศิษย์แห่งนิกายวั่นเจี้ยน กลับอยู่ไม่เกินสามกระบวนท่าในกำมือของประมุขมาร
เพื่อไม่ให้ลำบากเยี่ยนเสี่ยวซื่อ เขาใช้หนึ่งกระบวนท่าล่อคนออกไป หลังจากสังหารก็ใช้อีกกระบวนท่าขุดหลุมฝัง รวมเป็นสามกระบวนท่า
ทุกคนตกตะลึงตาค้าง
หลังจากประมุขมารเก็บกวาดคนแล้ว ก็เช็ดมือด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาว และจูงมือเยี่ยนเสี่ยวซื่อออกจากพื้นที่อย่างระแวดระวัง
“พี่รอง พวกมันจะมากเกินไปแล้ว!” คุณหนูสี่แห่งนิกายวั่นเจี้ยนกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
ตอนแรกที่พวกนางเชิญประมุขศักดิ์สิทธิ์กับประมุขมาร อันที่จริงเพราะความงดงามของทั้งสอง ดินแดนด้านบนบุรุษหล่อสตรีงามมีมากมายดั่งเมฆ ทว่าผู้ที่หล่อเหลาคมคายและมีกลิ่นอายเช่นนี้เพิ่งพบเป็นคนแรก
นางชอบบุรุษชุดขาวมากกว่า แต่ท่านพี่รองกลับสนใจบุรุษชุดดำ
เดิมทีคิดว่าใช้สถานะของนิกายวั่นเจี้ยนจะสามารถมั่นใจได้ ไม่นึกว่าพวกเขาจะไม่สนใจแม้แต่น้อย
ดูเหมือนในสายตาของพวกเขาจะมีเพียงสตรีอ่อนต่อโลกผู้นั้น
คุณหนูสี่เอ่ยอย่างดุดัน “ไม่รู้ว่าเป็นเจ้ามารยาที่ใด! หากข้าสืบรู้ ต้องดูหน้านางให้ชัด!”
พี่รองขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ อย่าลืมจุดประสงค์การมาครานี้ของเรา”
ถึงบุรุษจะดี แต่ก็ไม่สำคัญกว่าการไม่ได้สิ่งของล้ำค่า ยิ่งกว่านั้น หากได้สิ่งของล้ำค่ามาให้บิดา บิดาต้องดีใจ ไม่แน่อาจรับปากช่วยนางได้ครอบครองบุรุษก็เป็นได้
เมื่อใดบิดาออกหน้าก็มักสำเร็จเสมอ
ปรากฏการณ์ประหลาดของแดนลี้ลับมักปรากฏเป็นสีรุ้งบนท้องฟ้า หลังฝนตกจึงจะมีรุ้งกินน้ำ แต่ไม่มีฝนในแดนลับ ซึ่งแปดเก้าส่วนในสิบส่วนอาจเกิดจากการผันผวนของพลังงานจากหญ้าหลินจือ
ทุกคนรีบวิ่งไปทางรุ้งกินน้ำ
พวกเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เดินตามฝูงชนไปด้วย
“เมื่อครู่คุณหนูทั้งสองแห่งนิกายวั่นเจี้ยนชื่นชอบพวกเจ้าหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร” ประมุขมารกล่าว
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมุ่ยปาก “อย่าโกหกข้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว หากไม่ชอบพวกเจ้า เหตุใดถึงไม่ต้องการข้าเล่า?”
ประมุขมารลูบหัวของเยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างเอ็นดู “พวกเขาตาบอด”
เมื่อคุณหนูแห่งนิกายวั่นเจี้ยนที่ขี่ดาบอยู่เหนือหัวหลายคนได้ยิน ดาบก็แทบสะดุดล้ม
ได้ยินเช่นนี้แทบไม่มีใครไม่เดินโซเซ!
ไม่ยอมรับเจตนาดีของพวกนางยังพอว่า แต่ยังด่าพวกนางว่าตาบอด?
สตรีแท้ๆ กับนางจิ้งจอกก็ยังแยกไม่ออก ผู้ใดตาบอดกันแน่?
ผู้บำเพ็ญจากทุกทิศทุกทางมารวมตัวกันใต้รุ้งกินน้ำ แม้ว่าปรากฏการณ์ประหลาดจะเกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งล้ำค่าจะโผล่ออกมาจากที่ใด หรือบินแหวกอากาศมา ก็ไม่มีใครบอกได้
ในยามนี้ สิ่งที่ทำได้คือรอ หรือหาที่ใดสักที่เฝ้า ไม่แน่ว่าที่ที่เฝ้าอยู่ อาจมีสิ่งล้ำค่าปรากฏออกมาก็ได้
“พวกเราก็ต้องรอที่นี่หรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองทั้งสอง
ทั้งสองครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าพร้อมกัน
อันที่จริงที่ใดล้วนเป็นเช่นนี้ หากในแดนลับมีสมบัติโบราณอยู่จริง ด้วยความสามารถคนเหล่านี้ไม่อาจเอาชนะสัตว์ผู้พิทักษ์ได้รวดเร็วเช่นนั้น ดังนั้นไม่ว่าสมบัติจะอยู่ที่นี่หรือที่อื่น พวกเขาก็ล้วนไปทันแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงวิ่งไปที่ใด เติมพลังอยู่ตรงนี้จะดีกว่า
ประมุขมารนำกระโจมงดงามมากออกจากแหวนเฉียนคุน ให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้าไปอยู่
จากนั้นก็เขย่าขาแพะขนาดใหญ่ พร้อมกับโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องปรุงออกมาย่าง
ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงตาค้าง
เจ้าแน่ใจหรือว่ามาหาสมบัติ? ไม่รู้คงคิดว่าเจ้ามาพักร้อน!
ประมุขมารไม่ได้ย่างเพียงขาแพะ เขายังย่างไก่ฟ้า โรยด้วยผงยี่หร่า งาขาว และกุ้ยช่าย เนื้อไขมันอวบเด้ง สุดเย้ายวนชวนให้น้ำลายสอ